Double : 07

3637 Words
หมับ!  “อ๊ะ… เอริค” ฉันสะดุ้งกอดรัดรอบลำคอแกร่งแน่นขึ้นเมื่อฝ่ามือหนาลูบไล้จุดเสียงกลางกายผ่านชั้นในลูกไม้สีดำไปมาแผ่วเบา ฉันอยากจะหุบขาที่แยกออกกว้างแต่ก็ติดร่างกายสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาใกล้มาขึ้น แถมเขายังดันขาเรียวให้มันอ้ากว้างมากกว่าเดิมซะอีก สายตาคมดุดันวาววับจ้องมองใบหน้าที่เห่อร้อนของฉันแล้วยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนนิ้วเรียวยาวจะแตะจุดอ่อนไหวของฉันไปจนฉันต้องเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงครางน่าอาย “หึ ว่าไง” กึก! “อื้อ!” ดวงตากลมโตที่หลับพริ้มในตอนแรกเบิกโพรงขึ้นอีกครั้งทันทีที่ความเจ็บหน่วงช่วงล่างกลางกายทำให้ฉันอยากจะร้องไห้ออกมา ฉันกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนมันเจ็บไปหมด แขนทั้งสองข้างกอดรอบลำคอแกร่งแน่นกว่าเดิม และเผลอจิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังกำยำจนขูดเป็นทางยาวเพื่อคลายความเจ็บหน่วง ให้ตายสิ ทำไมมันเจ็บแบบนี้เนี่ย! “แน่นจังวะ โมนา นี่เธอ..” เอริคขบสันกรามพลางพึมพำเสียงต่ำข้างใบหู แล้วเขาก็ชะงักและมองหน้าฉันด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามข่มอารมณ์เร่าร้อนและเจ็บหน่วงกลางกายเอาไว้ไม่ต่างกัน นี่เอริคคงคิดว่าฉันเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนหรือไง เหอะ ฉันมีแฟนมาก่อนก็จริงแต่ขนาดจูบฉันยังไม่เคยจูบแบบลึกซึ้งดูดดื่มถึงขั้นสอดลิ้นแบบที่เขาทำมาก่อนเลยนะ “อึก… อึดอัด” แต่สักพักความเจ็บหน่วงก็เริ่มหายไปกลายเป็นความอึดอัดปนจุกแปลกๆ ขึ้นมาแทน ฉันพูดเสียงแหบพร่า เมื่อมันเจ็บหน่วงจนบอกไม่ถูก และแอบเห็นว่าเอริคพยายามข่มอารมณ์ไว้จนเหงื่อซึมตามไรผม ขนาดห้องทำงานเปิดแอร์จนเย็นไปถึงกระดูกฉันกับเขายังมีเหงื่อซึมด้วยกันทั้งคู่ ให้ตายเถอะ ร่างกายฉันร้อนรุ่มไปหมดแล้ว… “เดี๋ยวก็หาย”   แล้วฉันก็ชะงักกึกทันทีที่นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยับเข้าออกในตัวฉันช้าๆ  ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนฉันจะงับที่ไหล่กว้างจนสุดแรง เพื่อคลายความเจ็บปนอึดอัดที่เกิดขึ้น “เอริค ฉันเจ็บ… อื้อ!” “ดีขึ้นยัง”  “อะ... อื้อ” นิ้วเรียวยาวขยับเข้าออกเร็วขึ้น ความเจ็บที่ฉันได้รับในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านแปลกใหม่แทน สมองของฉันมึนเบลอ ลำคอก็เปล่งเสียงน่าอายออกมาเบาๆ จนต้องเม้มริมฝีปากไว้ “มันยังไม่จบ โมนา” พรึ่บ! แต่จู่ๆ เอริคก็เอานิ้วเรียวยาวของเขาออก ฉันสบกับสายตาคมดุดันด้วยดวงตาหรี่ปรืออย่างมึนเบลอ หอบหายใจแรง เมื่อร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มไปทุกส่วน ก่อนฉันจะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองทันทีที่เอริคถอดเสื้อยืดของเขาออกโยนลงพื้นอย่างไม่แยแส กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขากับซิกแพกแน่นๆ ที่น่าหลงใหลนั่นก็ทำให้ฉันเกือบลืมหายใจ และพอมองลงมาเรื่อยๆ ฉันก็เห็นตรงช่วงเอวของเขามีรอยแผลแผลถลอกของส้นรองเท้าอยู่บนนั้น กว่าจะรู้ตัวฉันก็ยื่นมือออกไปสัมผัสแผลนั้นซะแล้ว แผลนี้คงมาจากตอนที่ฉันถีบเขาแน่ๆ เลย…  “เอริค…” หมับ! “โมนา” ฝ่ามือหนาจับมือฉันที่กำลังลูบไล้บนแผลของเขาแผ่วเบาไว้แน่น เอริคสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับสายตาคมเจ้าเล่ห์จ้องมองฉันไม่วางตา ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะบอกเขาด้วยเสียงแหบพร่าอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเป็นแผล…” “อือ รู้แล้ว” เอริคตอบรับเพียงสั้นๆ แล้วเขาก็โน้มลงมาคร่อมร่างกายฉันไว้ สัมผัสจากมือหนาที่ค่อยๆ ถอดชั้นในตัวจิ๋วของฉันออก ฉันหันหน้าไปมองอีกทางด้วยความประหม่า นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ สมองตีกันยุ่งเหยิงไปหมด และกว่าจะได้สติฉันก็ได้ยินเสียงรูดซิบกางเกงยีนลง นั่นทำให้ฉันชะงักพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกพร้อมกับหัวใจเต้นตึกตักรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ และไม่นานริมฝีปากอุ่นก็ประกลบลงมาบนริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อหน่อยๆ ของฉันอีกครั้ง เอริคดูดกลืนความหอมหวานจากฉันอย่างเร่าร้อนรุนแรง ลิ้นเปียกชื้นตวัดลิ้นเล็กไปมาด้วยความช่ำชองยิ่งทำให้ฉันห้ามเสียงครางหวานเอาไว่ไม่ได้ ”อื้อ” กึก! ”อึก… อื้ออ!” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ความเจ็บจุกในครั้งนี้ทำให้ฉันน้ำตาคลอหน่วย มันเหมือนร่างกายฉันจะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน มันเจ็บหน่วง… คับแน่นเกินกว่าจะอธิบายได้ ก่อนฝ่ามือหนาจะบีบเค้นและนวดคลึงหน้าอกเต่งตึงพร้อมกับนิ้วเรียวยาวสกิดยอดอกที่แข็งชูชันจนมันกลบความเจ็บตรงจุดอ่อนไหวกลางกายของฉันให้ดีขึ้น และพอความเจ็บผ่านไป… ความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนในที่สุด “โมนาอย่างเกร็ง” เอริคผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งพลางเอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำแหบพร่าชิดริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา มือหนาอีกข้างจับเอวบางแล้วดันให้ร่า งกายฉันเข้าไปใกล้เขามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้แก่นกายกายใหญ่เข้าไปในตัวฉันมากกว่าเดิมจนจุกปนเสียวซ่านเกินบรรยาย “อื้อ เอริค… ฉันจุก… อ๊ะ” “เดี๋ยวก็ดีขึ้น” ฉันเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงครางเมื่อริมฝีปากอุ่นดูดดึงยอดอกพร้อมกับนิ้วเรียวยาวสกิดยอดอกอีกข้างอย่างเย้าแหย่ เอริคทำให้สมองของฉันพร่าเบลอ ความรู้สึกเริ่มสับสนไปหมด มือบางขยุ้มผมของเขาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็จิกเล็บลงไปบนไหล่กว้างเพื่อคลายความเสียว และเมื่อเอริคเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ เนิบๆ ฉันก็สูดหายใจแรงทุกครั้งตามจังหวะกระแทกกระทั้นจากเขา “อ๊ะ... อื้อ” “โมนา” หลายนาทีที่เอริคขยับแก่นกายเข้าออกในตัวรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันต้องกัดลงไปบนหัวไหล่กว้างเพื่อไม่ให้เสียงครางของตัวเองดังจนเกินไป ก่อนร่างกายฉันเกร็งเล็กน้อยเมื่อภายในตอดรัดแก่นกายใหญ่ถี่ยิบ ฉันหอบหายใจแรง โอบแขนกอดรอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น พร้อมกับเอริคขบสันกรามและพยายามข่มอารมณ์ไว้จนเหงื่อซึมไรตามขมับเล็กน้อย… “เอริค อื้อ ฉัน… อ๊ะ!” พรึ่บ! ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดเอวบางแล้วดึงตัวฉันขึ้นจนกลายเป็นฉันกำลังนั่งคร่อมร่างสูงใหญ่แทน แต่ท่านี้มันยิ่งทำให้แก่นกายของเขาเข้ามาในตัวฉันลึกซึ้งกว่าเดิม แถมใบหน้าฉันยังเห่อร้อนและอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ให้ตายสิ! ก๊อกๆ “คุณเอริคคะ มีช่อดอกไม้จากหุ้นส่วนสาขาฝรั่งเศสส่งมาค่ะ” ฉันชะงักกึก บีบบ่ากว้างและดวงตาหรี่ปรือกะพริบปริบอย่างมึนงงปนตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของเลวี่ดังขึ้นหน้าห้องทำงาน ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ นั่งนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่บนตักของเอริคอย่างทำตัวไม่ถูก “โมนา อย่าเกร็ง” มือหนาทั้งสองข้างจับรอบเอวบางแน่นพร้อมกับเสียงทุ้มเอ่ยบอกแหบพร่าอย่างข่มอารมณ์เร่าร้อน เอริคคำรามต่ำในลำคอแกร่งเมื่อภายในตัวฉันยังคงตอดรัดแก่นกายเขาไม่หยุด ฉันกัดริมฝีปากด้วยความอายและประหม่ามากกว่าเดิม แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที บ้าจริง นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย! “ฉันว่าเรา… เอริค อื้อ” ฉันขยับตัวเล็กน้อยและยังพูดไม่ทันจบประโยค เอริคก็จับยึดเอวบางไว้แน่นไม่ยอมให้ฉันลุกออกไปจากตัก จากนั้นเขาก็หันไปตะโกนตอบเลวี่ผ่านบานประตูที่ยังปิดอยู่ “เดี๋ยวฉันออกไปเอาเอง” ฉันรวบรวมสติแล้วพยายามดึงมือหนาออกจากเอวบางแต่แอริคกลับกอดแน่นกว่าเดิมแถมยังก็ไม่ยอมปล่อยจนฉันต้องหันหน้าหนีสายตคมเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองอย่างหื่นๆ ไปอีกทางอย่างรวดเร็ว    “ปล่อยได้แล้วคุณเอริค… อื้อ” “เดี๋ยว” ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮอือกใหญ่ แล้วหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาอย่างขุ่นเคืองหน่อย ก่อนจะง้างมือก็ทุบแผงอกกำยำแรงๆ สองสามทีเพื่อให้เขาปล่อยสักที บ้าชะมัด เอริคจะให้ฉันอยู่ท่านี้ไปอีกนานแต่ไหนกันน่ะ น่าอายชะมัดเลย! “คุณเอริคปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” “เอริค”   “คะ?” ฉันชะงักมือที่กำลังจะทุบแผงอกกำยำอีกครั้งให้หายเคืองแล้วกะพริบตามองเขาด้วยความงุนงง เอริคจะพูดชื่อตัวเองออกมาทำไมไม่ทราบยะ?! “ให้เรียกแค่เอริค… ต่อไปนี้เรียกฉันว่าเอริค” ฉันกระพริบตาปริบๆ มองเอริคอย่างมึนงงไม่หาย แล้วเริ่มหน้าแดงขึ้นมาทันทีที่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เอริคจะไม่ให้ฉันเรียกเขาโดยมีคำว่า’คุณ’ แต่ให้เรียกแค่ชื่อของเฉยๆ เนี่ยนะ? “แต่คุณเป็นเจ้านายฉันนะ จะให้เรียกแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ…” และพอบอกกับเขาออกไปแบบนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกผิดนิดๆ พร้อมกับความไม่สบายใจที่ทำให้ฉันถึงกับอยากตบหน้าตัวเองให้ตายไปเลย บ้าจริง… ตอนนี้เอริคเป็นเจ้านายของฉัน แถมเขายังมีคู่หมั้นอยู่แล้วด้วย แต่ฉันยังมีหน้ามาทำน่าอายกับเขาในห้องทำงานนี่อีกงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ! ฉันนี่มันหน้าไม่อายชะมัด… ฉันขมวดคิ้วมุ่นและคิดฟุ้งซ่านกับตัวเองจนไม่นานเอริคที่คงสังเกตเห็นว่าฉันมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาถึงจับปลายคางให้ฉันหันไปสบกับสายตาคมของกับตรงๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเข้มต่ำอย่างคาดคั้นคำตอบ “โมนา เป็นอะไร” ฉันสูดหายใจแรงเรียกสติตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากตักของเอริค เขาไม่ได้จับยึดฉันไว้อย่างตอนแรก ทำให้ฉันต้องหลับตาพร้อมกับกัดริมฝีปากจะได้ไม่เผลอร้องครางขณะที่แก่นกายใหญ่ค่อยๆ เลื่อนออกจากในตัวฉัน บ้าชะมัด น่าอาย… น่าอายจริงๆ “ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” พอบอกเอริคจบฉันก็รีบจัดชุดให้เรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม และไม่ลืมที่จะคว้าชั้นในลูกไม้สีดำของตัวเองที่ตกอยู่บนพื้นใกล้โซฟาขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็พยายามเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำถึงให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่ากลางกายของฉันมันกำลังปวดหนึบและเจ็บแสบมากแค่ไหนก็ตาม ฉันไม่หันกลับไปมองเอริคเพราะไม่รู้ว่าเขารูดซิปกางเกงหรือแต่งตัวหรือยัง แถมตอนนี้ฉันยังอยากทึ้งหัวตัวเองเพื่อเรียกสติกลับคืนมามากกว่าอะไรทั้งนั้น ให้ตายสิ นี่ฉันทำอะไรลงไปน่ะ! กุกกักๆ “ออกมาคุยกันหน่อยโมนา” หลังจากที่ฉันยืนรวบรวมสติและจัดระเบียบทรงผมกับร่างกายตัวเองในห้องน้ำอยู่นาน เสียงบิดลูกบิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มเข้มอยู่หลังประตู ฉันเม้มปาก หันกลับมาส่องกระจกแล้วมองใบหน้าตัวเองนิ่ง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ และพยายามไม่คิดมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่าฉันกับเอริค ทุกอย่างมันไม่มีอะไรไปกว่าอารมณ์ชั่ววูบของเราสองคน ฉันก็แค่ต้องทำตัวตามปกติ เป็นเลขาของเขาตามปกติ... แต่ทำไมมือของฉันถึงกุมกันแน่นอย่างประหม่าแบบนี้ได้ล่ะยะ ทำตัวปกติสิยัยโมนา เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วยสิ เหอะ! “คุณ... คุณมีอะไรเหรอคะ?” พอรวบรวมสมาธิได้อีกครั้ง ฉันก็ค่อยๆ เปิดประตูห้องน้ำออกแล้วเดินไปทางเอริคที่ยืนจ้องใบหน้าฉันเรียบนิ่ง คิ้วเข้มขมวดมุ่นทันทีที่ฉันถามออกไป “เรื่องเมื่อกี้...” ”เอ่อ... ฉันลืมไปว่าฉันต้องไปเอาช่อดอกไม้กับเลวี่ เดี๋ยวฉันไปเอาให้นะคะ…” หมับ! “โมนา” “คะ?” ฝ่ามือหนาคว้าข้อมมือบางเอาไว้แน่น ก่อนเสียงเข้มที่เอ่ยบอกจะต่ำลงอย่างจริงจังกว่าทุกครั้ง ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง จากนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเงยหน้ามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ฝืนหน่อยๆ ทั้งๆ ที่หัวใจของฉันเต้นตึกตักรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง แต่ฉันจะต้องทำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ้าชะมัด ฉันอยากหนีหายออกไปจากตรงนี้ชะมัดเลย…  “จะหนีไปไหน เราต้องคุยกัน” และไม่ทันที่ฉันจะถามอะไรต่อจู่ๆ เอริคก็เดินลากฉันไปทางโซฟาตัวเดิม ตัวที่เราเพิ่งทำเรื่องที่ไม่ควรทำด้วยกันลงไป... ฉันมองแผ่นหลังกว้าง แผ่นหลังแสนอบอุ่นที่ฉันเพิ่งโอบกอด... ฉันชะงักและสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง หยุดเดี๋ยวนี้ยัยโมนา เลิกคิดเรื่องไร้สาระสักที! “คุณจะคุยเรื่องอะไรคะ? ถ้าเป็นเรื่องเมื่อกี้… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ซีเรียส” ทั้งๆ ที่ปากฉันก็พูดไปเหมือนไม่แคร์อะไรเท่าไหร่นัก แต่ทำไมในใจมันกลับรู้สึกหน่วงแปลกๆ ก็ไม่รู้ และพอฉันพูดจบ เอริคก็หันมามองฉันด้วยสายตาคมดุดันที่ดูเหมือนเขาจะหัวร้อนมากกว่าเดิมซะอีก เขาจะจ้องฉันแบบนั้นทำไมกัน ฉันยิ่งทำตัวไม่ค่อยถูกและรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ด้วย บ้าจริง “หึ ไม่ซีเรียส? ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกน่ะเหรอ” “ชะ… ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นครั้งแรกหรือไม่ใช่ ฉันก็ไม่ซีเรียสหรอก…” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเคลือหน่อยๆ ลำคอแห้งผากอย่างควบคุมไม่ได้ จะว่าไป… ครั้งแรกของฉัน เอริคเป็นคนเอามันไปแล้วสินะ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันมันใจง่ายเองน่ะสิ แล้วความคิดฉันก็หยุดกึกทันทีที่เอริคเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเม้มริมฝีปาก ก่อนจะถอยหนีเขาด้วยความประหม่า เอริคคิดจะทำอะไรน่ะ… เขามองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นทำไมกันยะ! “จริงดิ?” ฉันรีบยกมือไปดันแผงอกกำยำไว้เพื่อไม่ให้เอริคเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมด้วยความรวดเร็ว “คุณ… คุณจะทำอะไรน่ะ ถอยออกไปนะ” “มองหน้าฉัน โมนา” ฝ่ามือหนาจับปลายคางฉันแล้วบังคับให้เงยขึ้นไปสบกับสายตาคมดุดันคู่สวยของเขา ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเมื่อหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั้ง นี่ฉันเป็นอะไรไป...ใจสั่นกับเอริคทำไมกันน่ะ?! “คุณเอริค...” “เรียกแค่เอริค” “แต่ว่า...” ฉันกำลังจะปฏิเสธแต่มือหนาก็บีบปลายคางฉันแรงขึ้นจนฉันต้องนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนเอริคจะยกยิ้มมุมปากพลางจดจ้องมองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์วาววับ ให้ตายสิ นั่นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดเมื่อกี้ของเขา และเริ่มลังเลว่าถ้าไม่เรียกตามที่เอริคต้องการเขาอาจจะทำเรื่องกวนประสาทใส่ฉันอีกก็ได้ แต่เรื่องที่เขาจะให้ฉันเรียกแบบนั้นมัน… “โมนา เธอกลัวอะไร? ทำไมต้องลังเล เรื่องแค่นี้เอง”    “แต่คุณก็น่าจะรู้นะคะว่าฉันเป็นเลขา จะให้พูดสนิทสนมแบบนั้นกับคุณได้ยังไงกันล่ะ…” “หึ เราก็สนิทสนมกันแล้วไม่ใช่รึไง มากด้วย” เอริคโน้มลงมาใกล้ฉันมากขึ้นจนปลายจมูกโด่งเกือบแตะผิวแก้มฉัน แถมฉันยังได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสมกับกลิ่นโคโรญที่เขาใช้ประจำอย่างชัดเจนอีกต่างหาก แต่คำพูดของเอริคกลับทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันกัดริมฝีปากล่างแล้วรีบหันหน้าหนีหลบสายตาคมคู่สวยของเขาทันที ให้ตายเถอะ เอริคจะดื้อด้านเกินไปแล้วนะ! “เรา… เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะค่ะ ฉันจะคิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ระหว่างเราไม่มีอะไรทั้งนั้น โอเคมั้ยคะ?” นั่นแหละ… แบบนี้แหละมันดีที่สุดสำหรับเราสองคนที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวยที่ฉันกับเขาก็แค่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น... ก็แค่นั้นเอง “หึ” เอริคขมวดคิ้วเข้มมุ่น เขาจ้องใบหน้าของฉันเรียบนิ่ง แต่สักพักเขาก็ยอมปล่อยมือหนาออกจากปลายคางของฉันแล้วเดินที่ระเบียงห้องทำงานพลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาสูบท่าทางหงุดหงิดไม่เลิก ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มือบางทั้งสองข้างที่กำกันไว้แน่นเริ่มคลายออก แต่หัวใจมันยังคงเต้นแรงปนหน่วงหน่อยๆ ด้วยความสับสนไม่หยุด นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือไงน่ะ! “งั้น… ฉันไปเอาช่อดอกไม่ให้นะคะ” “โมนา เดี๋ยว” และก่อนที่ฉันจะเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา เสียงเข้มต่ำก็เอ่ยเรียกไว้ ขาเรียวชะงักกึกอยู่หน้าบานประตูพร้อมกับฉันหันกลับไปมองเอริคอีกครั้งด้วยความสงสัย “คะ?” เอริคมองฉันเหมือนกำลังสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สักพักเขาก็ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ส่ายหน้ากลับมาให้เบาๆ แทนคำตอบแล้วหันไปสูบบุหรี่ต่อหน้าตาเฉย ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ได้แต่ยักไหล่แล้วเดินออกไปหาเลวี่โดยไม่คิดมากเท่าไหร่นักว่าแต่… ทำไมเอริคต้องจ้องร่างกายฉันขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้ แล้วยังมาบอกว่าไม่มีอะไรอีก… หรือเขาแค่อยากกวนประสาทฉันเล่นงั้นเหรอ เหอะ น่าหงุดหงิดไม่เปลี่ยนเลย! “คุณเลวี่คะ โมนามารับช่อดอกไม้ให้คุณเอริคค่ะ” ฉันสูดหายใจลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์จากหงุดหงิดเอริค แล้วหันไปบอกเลวี่ด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมตลอดทางที่เดินมาฉันต้องคอยเก็บสีหน้าที่เจ็บหน่วงช่วงล่างกลางกายเอาไว้ให้เป็นปกติอีกต่างหาก บ้าชะมัด ทำไมมันยังเจ็บไม่หายเนี่ย! “นี่ค่ะ เอ่อ... คุณโมนาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” “อ้อ… ไม่เป็นไรค่ะๆ สบายมาก” ฉันยืนอึกอักเล็กน้อย มือก็เผลอกำช่อดอกไม้ที่เพิ่งได้มาจากมาเลวี่แน่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใสไฉไลไปให้เธอมากกว่าเดิม เลวี่ที่เห็นว่าฉันไม่เป็นไรก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาให้อย่างเป็นมิตรเช่นเคย แต่สักพักคิ้วเรียวสวยของเธอก็ขมวดมุ่นอย่างสงสัยอีกครั้ง “คุณโมนาเป็นภูมิแพ้หรืออะไรหรือเปล่าคะ” และคำถามของเลวี่ก็ทำเอาฉันมึนงงขึ้นมาทันที “ทำไมคะเหรอ?” “คือแถวคอคุณดูแดงๆ น่ะค่ะ เยอะด้วยสิ แพ้อะไรมาหรือเปล่าคะ? หรือว่าให้เลวี่ไปเอายามาให้มั้ย” ฉันยื่นนิ่งตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงอย่างตื่นๆ  จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปิดลำคอพลางทำท่าทางลูบไปมาจนมือแทบจะพันกัน “เอ่อ... ไม่ค่ะๆ สงสัยคงแพ้อากาศน่ะ ช่วงนี้ยิ่งร้อนๆ อยู่ด้วย แต่สักพักคงหายแล้วล่ะค่ะ แหะๆ“ ฉันอธิบายอย่างร้อนรนพร้อมกับยิ้มแห้งให้เลวี่เพื่อกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่ก มือก็ยกช่อดอกไม่มาแกล้งๆ บังลำคอไว้จนมันแทบจะทิ่มหัวอยู่แล้ว ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ทำท่าพัดหน้าตัวเองประกอบคำพูดไปด้วย เลวี่เลิกคิ้วมองฉันอย่างงุนงงหน่อยๆ แต่เธอก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ พอเห็นแบบนั้นฉันเลยแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เอ่อ… ก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่เลวี่เป็นห่วงเป็นใย แต่ทำไมเธอต้องมาเป็นห่วงฉันตอนนี้ด้วยล่ะเนี่ย แล้วนี่ขนาดฉันทาแป้งทับปกปิดรอยแดงที่เอริคเป็นคนทำแล้วนะ เธอยังอุตส่าห์เห็นอีกเรอะ?! แต่เดี๋ยวสิ... แล้วที่เอริคเรียกฉันไว้แล้วยังมองสำรวจร่างกายฉันทั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนที่ฉันจะออกจากห้องทำงานของเขามารับช่อดอกไม้นั่น… ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขาเห็นรอยแดงเป็นจ้ำพวกนี้แล้วหรอกเหรอ? ให้ตายสิ ต้องใช่แน่ๆ เพราะฉันเห็นเอริคแอบยิ้มมุมปากด้วย บ้าจริง! เขาจงใจไม่บอกฉันจนคนอื่นสงสัยสินะ เชื่อเขาเลย กวนโมโหชะมัด อย่าให้ฉันเอาคืนได้นะยะ ฉันจะทำให้เขาปวดประสาทเพิ่มเป็นสองเท่าเลยคอยดู!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD