บทนำ
“มิรา !!”
เสียงละเมอเรียกดังขึ้นในความมืด ก่อนที่เจ้าของเสียงจะสะดุ้งตื่น และลุกพรวดขึ้นนั่งหอบหายใจถี่
“ฝันแบบนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วหันไปเปิดโคมไฟบนหัวเตียงเพื่อดูเวลา
...นาฬิกาปลุกเรือนเล็กยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอและเที่ยงตรง อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลา 4 นาฬิกาของวันใหม่ นั่นเองที่ทำให้เขาตัดสินใจปิดสวิชต์นาฬิกา รวมทั้งสวิชต์โคมไฟ เลือกที่จะนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดที่รายล้อมรอบตัว เพื่อทบทวนถึงความฝันประหลาด ซึ่งมักปลุกเขาให้ตื่นขึ้นในตอนเช้ามืด ช่วงเวลาที่คนโบราณเชื่อว่า ความฝันมักจะมีเค้าของความเป็นจริง
ชนะชนจำได้แม่นยำว่า มันเกิดขึ้นครั้งแรกระหว่างที่เขาเดินทางไปเที่ยวประเทศอียิปต์กับพ่อและแม่ ตอนเขาอายุ 21 ปี จวบจนวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว หากแต่เขาก็ยังคงฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เธอ... เป็นใครกันแน่?” เขานึกถึงหญิงสาวเจ้าของดวงหน้างดงาม อ่อนหวาน แต่นัยน์ตากลมโตมีแววโศก สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวสะอาดขลิบดิ้นทองคำอย่างชนชั้นสูงสมัยโบราณ รอบด้านรายล้อมไปด้วยความมืดมิดยิ่งกว่าราตรีที่ไร้แสงจันทร์ เธอค่อยๆ หันหลังเดินห่างจากเขาไป ไกลออกไปเรื่อยๆ ขณะที่เขาเองก็พยายามวิ่งตามเธอ พลางร้องเรียกชื่อของเธอ น้ำเสียงราวกับหัวใจได้แหลกสลายลง
“มิรา...” ชนะชนพึมพำชื่อของเธออีกครั้ง
...หลายต่อหลายครั้งที่เขาสะดุ้งตื่นระหว่างที่กำลังวิ่งตามเธอ แต่ก็มีอีกหลายครั้งที่เธอหยุดเดินและหันกลับมาหาเขา พร้อมๆ กับเลือดสีแดงสดที่หลั่งรินจากนัยน์ตาอาบสองแก้ม
คลิก!
เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินมาบรรจบกับเวลาที่เคยตั้งปลุกไว้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบปลุกให้ชนะชนตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง เดินผ่านกระเป๋าเดินทางใบย่อมแบบมีล้อเลื่อนของตัวเองไปเข้าห้องน้ำ มือใหญ่เปิดสวิชต์ไฟด้วยความเคยชินโดยไม่ต้องคลำหา ก่อนก้าวเข้าไปยืนตรงหน้ากระจกภายในห้องน้ำส่วนตัวของห้องชุดบนคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ซึ่งแม้จะดูคับแคบไปสักหน่อย แต่ชายหนุ่มก็เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้เสียแล้ว
“มัวแต่คิดถึงเขาก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี” ชนะชนส่ายหน้าให้เงาของตัวเองในกระจก มันเป็นเงาของชายหนุ่มลูกครึ่งอาหรับ ทั้งคิ้วเข้ม นัยน์ตาคม จมูกโด่งอย่างชาวตะวันตก ริมฝีปากรูปกระจับ ร่างกายกำยำล่ำสันกับความสูงกว่า 180 ซ.ม. ยกเว้นก็แต่สีผิวที่ดูจะคล้ำขึ้นจากการกรำแดด อันเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพนักโบราณคดี อาชีพที่เขารักและทำให้เขามีโอกาสได้ไปเยือนประเทศอียิปต์อีกครั้งในวันนี้
ตอนที่ 1
ไม่นานรถยุโรปสีขาวมุกของชนะชนก็แล่นออกจากคอนโดมิเนียมไปบนถนน มุ่งหน้าไปยังบ้านสวนหลังเก่าสถานที่ซึ่งเขาเคยอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ก่อนที่ท่านทั้งคู่จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เพื่อรอรับลูกพี่ลูกน้องบุตรสาวของผู้เป็นอาซึ่งจะเป็นคนขับรถของเขากลับมา และขับไปจอดไว้ให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งในวันที่เขาเดินทางกลับ เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ
“มาตรงเวลาเป๊ะๆ เหมือนเดิมเลยนะ”
เสียงทักทายของนิศรา ปลุกชนะชนที่กำลังนั่งมองบ้านในความทรงจำหลังเก่าให้ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มพึ่งขับรถมาจอดเทียบตรงหน้าประตูรั้วไม่ถึง 2 นาที แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วกับการได้เห็นสภาพบ้านที่ยังคงได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี รั้วอิฐและประตูรั้วเหล็กดัดทาสีใหม่ตามรอยเดิมจนสวยงาม เช่นเดียวกับตัวบ้าน 2 ชั้นทรงตะวันตก ส่วนต้นไม้ดอกไม้ก็มีการตัดแต่งดูแลเอาใจใส่ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ผิดเพี้ยน
“คงเพราะยังเช้าอยู่ รถไม่ติด เลยทำให้มาถึงตรงเวลามั้งครับ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มรับลูกพี่ลูกน้องสาวซึ่งเปิดประตูรถขึ้นมานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ และอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงขายาวสีดำ เตรียมพร้อมสำหรับการไปทำงานในเช้าวันใหม่
“ต่อให้รถติดยาวเหยียด 3 ชั่วโมง พี่ก็เห็นชนม์มาตรงเวลาทุกที” นิศรายิ้มล้อนิสัยประจำตัวของเขา จนชนะชนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ รับ เป็นโอกาสให้หญิงสาวได้พูดต่อ “นี่! แม่พี่แพ็คน้ำพริกฝากมาให้ด้วยนะ เผื่ออยู่ที่นั่นหลายวันจะคิดถึงอาหารไทยกัน” เธอพูดพลางอวดถุงผ้าปักลายช้างไทยในมือ
“ผมคงต้องฝากพี่นิดขอบคุณคุณอาไปก่อนแล้วล่ะครับ เช้าขนาดนี้จะเข้าไปเองก็ดูจะเป็นการรบกวนมากกว่า”
“ดูพูดเข้า พวกพี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนชนม์มาตลอด ทุกคนรู้แล้วก็เข้าใจดีอยู่แล้ว รีบไปได้แล้วล่ะน่า เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก!”
คราวนี้ชนะชนเป็นฝ่ายยิ้มขบขันบ้าง เมื่อถูกนิศราดุเหมือนที่เธอดุน้องชายตัวแสบทั้ง 3 คนของเธอ ชายหนุ่มลอบมองบ้านแสนรักอีกครั้ง ก่อนจะขับรถออกไป ขณะที่นิศราลอบมองเขายิ้มๆ คำพูดที่เธอพูดทุกคำล้วนออกมาจากใจ
...ครอบครัวของเธอเป็นหนี้บุญคุณชนะชน เพราะทั้งที่ควรจะเป็นเขาที่ได้พักอาศัยอย่างสุขสบายในบ้านหลังนี้ แต่เขากลับเห็นแก่พวกเธอซึ่งตอนนั้นถูกเวนคืนที่ดินจากทางการ และกำลังเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถหาบ้านที่อยู่ใกล้ที่ทำงานของทุกๆ คนเหมือนอย่างเช่นบ้านหลังเก่าได้ แน่นอนว่าครอบครัวใหญ่ของเธอทำให้บ้านหลังนี้คับแคบ เป็นเหตุให้ชนะชนต้องเก็บข้าวของออกมาอยู่คอนโดมิเนียมสร้างใหม่ใกล้ที่ทำงาน โดยปฏิเสธความคิดของใครต่อใครที่จะให้ตัดถางต้นไม้ดอกไม้บนพื้นที่กว่า 2 งาน ไว้ใช้สำหรับก่อสร้างบ้านอีกหลัง ด้วยเหตุผลที่อยากรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยคุณตา ให้คงอยู่ในสภาพเดิมนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ขับรถดีๆ นะครับพี่นิด คนเริ่มจะออกไปทำงานกันแล้ว” ชนะชนเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน หลังจากขับรถมาถึงอาคารผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรณภูมิ และขนสัมภาระลงจากรถเรียบร้อยแล้ว
“จ้ะ ขอบใจที่เป็นห่วง ชนม์เองก็เดินทางปลอดภัยนะ” นิศรายิ้มให้ชนะชน แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ก่อนที่รถจะค่อยๆ แล่นออกไป โดยมีสายตาของชนะชนมองตามหลัง พลางนิ่วหน้าครุ่นคิด
...จริงอยู่ที่ต้นตระกูลของคุณปู่สืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับ แต่ในบรรดาลูกหลานรุ่นหลังก็มีเพียงเขาและนิศราเท่านั้นที่ปรากฏยีนของบรรพบุรุษเมื่อหลายร้อยปีก่อนเด่นชัด นิศราเองก็เป็นสาวนัยน์ตากลมโต จมูกโด่ง ผมปล่อยยาวดำขลับเป็นเงางาม และเพราะอาชีพวิศวกรคุมไซต์งาน ทำให้ผิวของเธอคล้ำลงพอๆ กับเขา จนหลายคนเอ่ยปากแซวว่า ยิ่งดูยิ่งคล้ายพี่น้องท้องเดียวคลานตามกันมา
“คงไม่ใช่ว่า...” ชนะชนกำลังคิดว่า บางทีทั้งเขา นิศรา และผู้หญิงในฝัน อาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในเมื่อเธอคนนั้นก็มีส่วนละม้ายคล้ายชาวอาหรับ ชื่อ ‘มิรา’ ของเธอก็เป็นภาษาอียิปต์โบราณ รวมทั้งการแต่งกายก็เป็นแบบชนชั้นสูงในยุคที่ฟาโรห์เป็นจักรพรรดิ แน่นอนว่าการที่เขาเพียรพยายามศึกษาค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาณาจักรอียิปต์โบราณ ก็มีสาเหตุมาจาก ‘เธอ’ อีกเช่นกัน
“คิดมากไปเองมั้ง” ชายหนุ่มสลัดหน้าไล่ความคิดเหล่านั้น แล้วลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปภายในอาคารผู้โดยสารขาออก ตรงไปยังจุดนัดพบซึ่งผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี หัวหน้าคณะในการเดินทางในครั้งนี้ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
...วันนี้ชนะชนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีคราม กางเกงขายาวสีดำ คาดเข็มขัดหนัง และสวมรองเท้าหนังสีดำมันวับ เข้ากับกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลข้างตัว ท่าทางขรึมๆ หากแต่แลดูสง่างาม ยิ่งเสริมให้เขาโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนภายในสนามบิน สะดุดตาคนที่กำลังรอคอยเขาโดยไม่ต้องกวาดตามองหา
“เฮ้! ชนม์ๆ” ใครคนหนึ่งเรียกพลางโบกมือพลาง กระทั่งชนะชนม์หันไปเห็นและเดินยิ้มเข้าไปหา
“ผอ.มาเช้าจังครับ” ชนะชนยกมือไหว้ผู้อาวุโสร่างท้วม ผมบาง ท่าทางใจดี ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี ซึ่งยืนยิ้มยู่ข้างๆ เจ้าของเสียงเรียกเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของชนะชน
“พอดีรถเสียกะทันหัน ก็เลยขอติดรถจตุรงค์มาด้วย แต่แหม...” ผอ.สำนักโบราณคดีซึ่งอยู่ในชุดสูทสากลเต็มยศ ตอบพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า
“ฉันเห็นว่าป๋ารีบ ก็เลยให้เจ้าเจนจบเป็นคนมาส่งน่ะ” จตุรงค์เจ้าของนัยน์ตาคม จมูกโด่งอย่างลูกครึ่งอาหรับ กับผิวสีแทนจากการจงใจอาบแดดเสริมหล่อ ผู้ถูก ‘ป๋า’ ผอ.สำนักโบราณคดีพาดพิงถึง ขยายความหน้าระรื่น
“น้องสุดท้องตีนผีประจำบ้านเลยล่ะครับ ผอ.” ชนะชนหันไปบอกผู้อาวุโสพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ ตาชำเลืองมองจตุรงค์ จะว่าไปคนที่ยีนลูกครึ่งเด่นชัดผิดพี่ผิดน้องก็ยังมีหมอนี่อีกคน แต่เขากลับลืมนึกถึงไปซะได้
“มิน่า ขับทีหัวใจแทบวาย” คนเป็นผอ.ส่ายหน้าพลางปาดเหงื่ออีกรอบ เมื่อนึกถึงลีลาการขับปาดซ้ายปาดขวาของโชเฟอร์
“จะว่าไปเจ๊แหม่มไปนานจังนะครับเนี่ย” จตุรงค์เปลี่ยนเรื่อง ด้วยการทำทีเป็นมองหาผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ผู้อาวุโสรองจากหัวหน้าคณะ ซึ่งออกไปรับสมาชิกอีก 2 คนที่มีเค้าว่าจะเดินหลงอยู่ภายในสนามบิน
“คงยังหาเด็ก 2 คนนั้นไม่เจอล่ะมั้ง สนามบินตั้งกว้างนี่” ผอ.สำนักโบราณคดีตอบ และพลอยกวาดตามองหาไปด้วยอีกคน
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมจะออกไปรับให้ เจ๊แหม่มก็ไม่เอา”
“ตุ อย่าไปเรียกเจ๊ เรียกป๋าต่อหน้าเจ้าหน้าที่คนอื่นเขานะ เดี๋ยวเขาก็เอาไปเรียกตามกันหมด มันไม่ดีรู้หรือเปล่า” ชนะชนเอ่ยเตือนเพื่อนสนิท
“คุณหัวหน้าเองก็เลิกเรียกผม ตุ สักทีสิครับ ผมก็บอกแล้วว่าให้เรียกรงค์” จตุรงค์ย้อนงอนๆ
“ครับ ทราบแล้วล่ะครับว่ากลัวสาวๆ เมิน คุณเพื่อนก็เลิกเรียกผมหัวหน้า นอกเวลางานเสียทีสิครับ” ชนะชนยิ้มขำท่าทางของจตุรงค์
“ครับ ทราบเหมือนกันแหละครับว่า กลัวสาวๆ จะรุมตอมเพราะตำแหน่ง” จตุรงค์ดักคอกลับอย่างเพื่อนสนิทที่ต่างรู้ทันกัน จนแม้แต่ผู้อาวุโสอย่างผอ.สำนักโบราณคดียังอดอมยิ้มไม่ได้
“โอ... มากันครบแล้วหรือคะ ขอโทษที่ทำให้ต้องรอค่ะ” ผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ฉายา ‘เจ๊แหม่ม’ เจ้าของสรีระอ้วนเตี้ย ในชุดเสื้อลูกไม้แขนยาว กระโปรงบาน รองเท้าคัทชูสีหวาน และสวมหมวกปีกบานติดดอกไม้ คล้ายหลุดออกมาจากยุคจอมพล.ป พิบูลสงคราม เดินนำหญิงสาว 2 คนเข้ามาตรงที่พวกชนะชนยืนอยู่ นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก
...ไม่ใช่เพราะลีลาการเลือกเครื่องแต่งกายของเจ๊แหม่ม แต่เป็นหญิงสาว 1 ใน 2 คนซึ่งเดินตามหลังมา และใบหน้าถอดแบบ ‘ มิรา ’ ผู้หญิงในความฝันของเขาออกมาราวกับพิมพ์เดียวกัน
“มิ... รา...” ชนะชนพึมพำชื่อของเธอ เสียงขาดหายไปในลำคอ นัยน์ตาเบิกกว้างคล้ายกำลังเจอเรื่องเหนือธรรมชาติจากอีกห้วงมิติ
...ไม่ผิดแน่! ชายหนุ่มบอกตัวเอง พร้อมกับจับจ้องเธออย่างไม่วางตา หญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารัก แต่นัยน์ตากลมโตมีแววโศก เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีม่วงอ่อน กับแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน สวมขายาวกางเกงสีกรมท่า และรองเท้าส้นเตี้ย ผมยาวเกือบถึงกลางหลังรวบไว้เรียบร้อย แล้วก็อาจเป็นเพราะชนะชนจ้องมองเธอนานเกินไป หญิงสาวจึงรู้สึกตัวและหันมามองเขา ถึงอย่างนั้นลึกๆ ข้างในแววตาของเธอก็ไม่ได้ปรากฏสิ่งที่บ่งบอกว่า เธอเคยรู้จักกับเขามาก่อนเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักกันไว้นะคะ” เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ยิ้มแย้มบอกทั้งสองฝ่าย ก่อนจะเริ่มต้นแนะนำ 1 คนชรากับ 2 หนุ่มให้ 2 สาวรู้จักก่อน “ทางซ้ายมือสุดคือ ผอ.วิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีจ้ะ ถัดมาคนกลางก็พี่ชนะชนเป็นหัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดี แล้วก็ท้ายสุดพี่จตุรงค์ รองหัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดี”
“สวัสดีค่ะ” สองสาวยกมือไหว้ทั้ง 3 คนตามลำดับ ขณะที่อีกฝ่ายก็รีบรับไหว้ โดยชนะชนยังคงจับจ้องเพียง ‘เธอ’ คนเดิม ส่วนจตุรงค์ซึ่งมั่นใจนักหนาว่า เสื้อเชิ้ตลายทางสีขาว – น้ำเงิน กับกางเกงขายาวสีขี้เถ้าที่พึ่งควักกระเป๋าซื้อมาใหม่ จะช่วยเสริมหล่อให้เขาพอสูสีกับชนะชนได้ ก็เล็งเป้าหมายไปที่สาวหมวยหน้าหวานเจ้าของผมม้าสไลด์ ในชุดแซกลายสก๊อตผูกเอว ดูทันสมัยเหมือนหลุดจากนิตยสารแฟชั่น
“ส่วนคนสวย 2 คนนี้ มินตรากับเกสรี เจ้าหน้าที่กลุ่มประวัติศาสตร์ เป็นน้องใหม่พึ่งเข้ามาทำงาน มีอะไรก็ช่วยๆ กันแนะนำหน่อยนะคะ” เจ๊แหม่มแนะนำ 2 สาวให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายชายรู้จักบ้าง
“ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ” จตุรงค์ฉีกยิ้มบอกสองสาว ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ยิ้มฝืดตอบขอบคุณ
“เป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก ถ้าอย่างนั้นช่วยเอาพาสปอร์ตของทุกคน ไปเช็คอินตั๋วทีนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มแก้เผ็ดความกะล่อนของจตุรงค์ พร้อมกับส่งพาสปอร์ตของตัวเองกับสองสาวให้ โดยได้รับความร่วมมือจาก ‘ป๋า’ ผอ.สำนักโบราณคดี และชนะชนซึ่งพร้อมใจกันหยิบพาสปอร์ตส่งให้จอมกะล่อนเช่นกัน
“แหะๆ ไม่มีปัญหาครับ” จตุรงค์หน้าเจื่อนลงไปนิดหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังฉีกยิ้มสู้
“ดีมากจ้ะ งั้นฝากกระเป๋าของสองสาวไปด้วยนะจ๊ะ จตุรงค์คนเก่งช่วยเข็นไปทีนะ” เจ๊แหม่มฉวยกระเป๋าเดินทางในมือมินตรากับเกสรีวางลงบนรถสำหรับเข็นกระเป๋า ซึ่งมีกระเป๋าเดินทางของสองผู้อาวุโสวางอยู่ก่อนแล้ว “ชนะชนก็เอากระเป๋ามาวางไว้ด้วยกันซะสิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องเดินลาก สบายออก”
“เอ่อ... ครับ” ชนะชนวางกระเป๋าของตัวเองลงบนรถเข็นกระเป๋าตามที่เจ๊แหม่มบอก ยิ่งทำให้จตุรงค์หน้าซีดเป็นไก่ต้ม มุมปากที่เคยชี้ขึ้นฉีกยิ้มแบบสู้ตายค่อยๆ ตกลงๆ กระทั่งไม่เหลือแม้รอยยิ้มฝืด เพราะแค่สัมภาระของเจ๊แหม่มชนิดแทบจะขนบ้านไป ก็คงทำให้หนุ่มร่างบางสูงโปร่งอย่างเขาแทบจะสะบักสะบอมแล้ว เรื่องนั้นชนะชนเองก็รู้
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก เดี๋ยวฉันช่วยเข็นไปให้” ชายหนุ่มตบบ่าเพื่อนสนิท ก่อนจะเป็นฝ่ายเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินนำไปก่อน กระทั่งสิ้นสุดการเช็คอินตั๋ว และชั่งน้ำหนักกระเป๋าซึ่งสองหนุ่มต่างช่วยกันขนสัมภาระของคนทั้งคณะ ลงจากรถเข็นกันอย่างแข็งขันเสียเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง
“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับหัวหน้า” จตุรงค์โค้งให้ชนะชนท่าทางนอบน้อม จนถูกอีกฝ่ายถลึงตาใส่
“บอกว่านอกเวลางานไม่ต้องเรียกหัวหน้าไง เดี๋ยวขากลับให้เข็นกระเป๋าคนเดียวซะเลยนี่”
คำพูดของชนะชนเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ยกเว้นจตุรงค์ที่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มรอบสอง เมื่อนึกถึงของฝากจากอียิปต์ที่เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา จะขนกลับมาอีกพะเรอเกวียน
“โห โหดร้ายกับเพื่อนตาดำๆ ได้ไงเนี่ย”
“ทีแบบนี้ล่ะอยากเป็นเพื่อนขึ้นมาเชียวนะ”
ทั้งคำพูดและท่าทางหงอๆ ของจตุรงค์ กับสีหน้าเอือมระอาของชนะชน ยิ่งทำให้ทุกคนพากันขบขัน ไม่เว้นแม้แต่สองสาวน้องใหม่อย่างมินตราและเกสรี นั่นเองที่ทำให้ชนะชนชะงักไปอีกครั้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงสาว
“เฮ้ๆ จะตกหลุมรักสาวทั้งที ก็เก็บอาการนิดนึงสิ แบบนี้น้องเขาก็รู้หมด” จตุรงค์สะกิดเตือนเพื่อน หลังจากที่เห็นชนะชนเอาแต่คอยชำเลืองมองรุ่นน้องสาวแทบทุกอิริยาบถ ตั้งแต่อยู่ภายในสนามบินจนกระทั่งขึ้นมานั่งบนเครื่องบิน เตรียมมุ่งหน้าสู่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์
“ทีนายเองยังทั้งส่งสายตา ทั้งแสดงออกว่ากำลังขายขนมจีบรุ่นน้องแบบไม่เกรงใจผู้ใหญ่เลยนี่ เลยโดนแกล้งซะ” ชนะชนย้อนขำๆ ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับแต่โดยดีว่า ตัวเองตกหลุมรักมินตราเจ้าหน้าที่น้องใหม่เข้าอย่างจังเบ้อเร่อ โดยเฉพาะรอยยิ้มของเธอที่ทำให้หัวใจแข็งๆ ของเขาอ่อนยวบลงในทันที ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และทั้งที่ยังไขปริศนาเกี่ยวกับตัวเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ก็นั่นมันเอกลักษณ์ของฉัน แต่เอกลักษณ์ของนายมันไม่ใช่นี่ มันต้องขรึม ขรึม และขรึม ถึงจะสมกับเป็นนาย” จตุรงค์แจกแจง ขณะที่ชนะชนรับฟัง พลางชำเลืองมองมินตราซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายมือของเขา และกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนสนิทของตัวเองเช่นกัน
“นี่! มิน ฉันว่ารุ่นพี่ที่ชื่อชนะชนอะไรนั่นน่ะ ต้องแอบชอบเธอแน่ๆ เลย” เกสรีกระซิบบอกเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าเจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันจะได้ยินเข้า
“พูดอะไรน่ะเกด ไปเอามาจากไหน เดี๋ยวเขารู้ก็ซวยกันหมดหรอก” มินตราเอ็ดเพื่อนเสียงเบา นัยน์ตากลมโตราบเรียบ ไร้แวววูบไหว เพราะไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง
“เธอไม่สังเกตหรือรู้สึกตัวบ้างเหรอว่า เขามองเธอแทบจะตลอดเวลา ฉันยังเห็นเลย” เกสรียืนยัน พลางชำเลืองมองจับผิดชนะชนซึ่งกำลังชำเลืองมองมินตราอยู่เช่นกัน “นั่นไง! ลองหันไปดูสิมิน” เพื่อนสาวหน้าหมวยพยักเพยิดหน้าให้มินตราหันไปมองชนะชน เป็นเวลาเดียวกับที่จตุรงค์สะกิดชนะชนให้ตั้งใจฟังที่เขาพูด
“เขาก็คุยอยู่กับเพื่อนของเขานี่ เธอดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่าเกด” มินตราหันไปมองชนะชนแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาหาเกสรี ส่ายหน้าให้กับคำพูดของเพื่อน จึงไม่เห็นว่าชนะชนหันมาชำเลืองมองเธออีก
“ก็อีตารองหัวหน้าติ๊งต๊องนั่น ดันสะกิดให้เขาหันไปพูดด้วยตอนที่เธอหันไปมองพอดีนี่ อ๊ะ! นั่นไงๆ หันมามองเธออีกแล้ว หันไปดูสิมิน” เกสรีสะกิดเพื่อนให้หันไปมองชนะชนอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่แอร์โฮสเตสสาวประจำเครื่องสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ชนะชนจึงหันไปฟังสิ่งที่แอร์โฮสเตสพูด รวมทั้งก้มลงมองสำรวจความเรียบร้อยของอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัว
“ก็ไม่เห็นว่าเขาจะหันมามองฉันเลยนี่เกด เธอน่ะดูหนังดูละครมากเกินไปจริงๆ ด้วย” มินตราส่ายหน้าเอือมระอาอีกรอบ แล้วหันไปฟังแอร์โฮสเตสพูดบ้าง ปล่อยให้เกสรีนั่งโมโหหัวเสียกับการที่ชนะชนแคล้วคลาด หลุดรอดจากการจับผิดของเธอไปเป็นครั้งที่ 2
ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ เธอหมายมั่นปั้นมือที่จะจับผิดชนะชนให้ได้คาหนังคาเขา ในระยะเวลาการเดินทางไปอียิปต์ 5 วัน 4 คืนนี้ โดยลืมจุดประสงค์ในการเดินทางของคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยไปเสียสนิท