ตอนที่ 5 จารึก

3786 Words
“นามของข้าคือซาร์ ฟาโรห์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งนี้ กระนั้นข้าก็คือผู้สมควรได้รับการถอดยศออกจากบัลลังก์ บัลลังก์ที่ข้าไม่สมควรขึ้นไปนั่งตั้งแต่แรก...” ชนะชนอ่านจารึกด้วยลักษณะท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนทุกคนตรงนั้นพากันแปลกใจ ยกเว้นเซเรียที่ยืนกอดอกยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ “องค์ฟาโรห์เมนเคอเรทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้ว หากแต่ข้าก็ยังได้รับพระเมตตาจากองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟ จนได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฟาโรห์ที่ 7 ทั้งที่ควรจะเป็นพระองค์มากกว่า และทั้งที่ข้าควรจักปฏิบัติตนเยี่ยงฟาโรห์ควรปฏิบัติ แต่ข้าก็กลับประพฤติในสิ่งตรงข้าม ข้าทำลายธรรมเนียมกับทั้งกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่เก่าก่อนด้วยมือของข้าเอง ข้าขอยอมรับผิดและขอรับโทษทัณฑ์ที่เบื้องบนจะทรงลงโทษข้า แม้ด้วยชีวิตของข้า ข้าก็ยอมถวายแก่พระอาญา เช่นที่ข้าได้เคยถวายเทิดทูนให้แก่ความรักของข้า ความรักต้องห้ามที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางอันเป็นที่รักของข้า และหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้กับข้า ข้าไม่อาจอยู่อย่างไร้หัวใจได้ หากแต่หัวใจของข้าก็ได้มอบให้นางจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน แม้นว่านางจักไม่ยอมรับและปฏิเสธมัน แม้นว่านางจักโกรธและเกลียดข้า แต่ข้าก็จักขอจดจำไว้ในทุกภพชาติที่ผ่านพ้น ข้าจักมีชีวิตเพื่อได้พบและรักนางอีกสักครั้ง มิรา... นางอันเป็นที่รักเพียงผู้เดียวของข้า เป็นเหมือนชีวิตทั้งชีวิตของข้า ข้าขอถวายชีวิตเพื่ออาญาของเจ้าเช่นกัน” ชายหนุ่มจบการอ่านจารึกทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะขาดหายไปในลำคอ แท้จริงแล้วเขาแทบไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ แต่เป็นการพูดมันออกมาจากความทรงจำ เมื่อครั้งที่เขาได้ให้บริวารจารึกคำพูดเหล่านั้นลงไปบนผนังพีระมิด ภายในห้องชั้นในสุดที่ใช้เก็บรักษาร่างของมิรา ก่อนที่เขาจะตรอมใจตายตามนางไป ถึงอย่างนั้นก็เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ซึ่งความรักและหัวใจ ราวกับเบื้องบนได้ทรงลงโทษเขาแล้ว “ประพฤติตนไม่สมกับที่เป็นฟาโรห์ ก็สมควรแล้วที่จะไม่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์” เซเรียกอดอกพูดยิ้มๆ นั่นเองที่ทำให้ทุกคนหันไปจ้องหน้าเธอ เพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าลบหลู่ดูหมิ่นองค์ฟาโรห์ในสถานที่ของพระองค์เช่นนี้ “ทำไมพูดแบบนั้นเซเรีย ขอขมาพระองค์ซะ เดี๋ยวก็ได้โดนคำสาปของพระองค์ไปชั่วชีวิตหรอก” หนึ่งในนักโบราณคดีอาวุโสของทีมงานผู้ค้นพบพีระมิดแห่งนี้ หันไปดุหญิงสาวเป็นภาษาอาหรับ แต่แทนที่จะสำนึก เซเรียกลับเชิดหน้าใส่พร้อมกับตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า “ดิฉันพูดความจริงมันผิดด้วยหรือ แล้วคำสาปอะไรนั่นก็มีแต่พวกมนุษย์หน้าโง่เท่านั้นแหละที่คิดกลัวไปเอง” “ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครร้ายกาจขนาดนี้เลย องค์ฟาโรห์ทรงน่าสงสารจะตาย ยังไปซ้ำเติมพระองค์อีก แบบนี้ต้องให้โดนคำสาปซะให้เข็ด” เกสรีกระซิบกระซาบกับมินตรา นินทาเซเรียเป็นภาษาไทยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายฟังรู้เรื่อง แต่มินตรากลับหันไปตอบโต้เซเรียเป็นภาษาอังกฤษแบบซึ่งๆ หน้า “ทรงผิดในฐานะที่ทรงเป็นฟาโรห์ที่ไม่ทรงรักษาจารีตของฟาโรห์เท่านั้น ไม่ได้ทรงกระทำสิ่งใดที่ผิดจากความเป็นมนุษย์ หากพระองค์ทรงเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ก็ควรที่จะทรงได้รับการยกย่องในความกล้าที่จะรับผิดและความรักเดียวใจเดียวของพระองค์ด้วยซ้ำ” “มิรา...” ชนะชนเบิกตากว้าง พึมพำชื่อเก่าในอดีตชาติของมินตรา ด้วยความยินดีที่เธอไม่ได้โกรธเกลียดเขาเหมือนอย่างที่เขาเคยกังวลมาตลอด ในทุกภพชาติที่เขาเพียรพยายามตามหาเธอ “พูดได้ดีนี่ องค์ฟาโรห์คงรักเธอมากขึ้นอีกเป็นกองเลยนะ” เซเรียพูดพลางยิ้มเยาะมินตรา “พระองค์จะทรงมารักดิฉันทำไมกัน ในเมื่อพระองค์ทรงมีรักเดียว แล้วก็ไม่ทรงรู้จักดิฉันด้วย” คำตอบของมินตราทำให้รอยยิ้มยินดีของชนะชนจางลงในทันที ตรงข้ามกับเซเรียที่ยิ่งหัวเราะขบขันเหมือนได้ฟังเรื่องตลก เสียดแทงใจชนะชนจนเขาต้องกำหมัดแน่น เพื่อระงับอารมณ์โกรธและเจ็บแค้นที่พลุ่งพล่าน ขณะที่คนอื่นๆ พากันงุนงงกับอาการแปลกๆ ของเซเรีย “แล้วมัวยืนเฉยกันทำไม อยากสำรวจอะไรก็เชิญนะคะ หรือถ้าไม่อยากสำรวจแล้วก็เชิญด้านนอกค่ะ จะได้ให้ทีมอื่นเข้ามาต่อ” เซเรียบอกคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยเป็นภาษาอังกฤษ ท่าทางหยิ่งจองหองได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างทนเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ กระทั่งทั้งหมดกลับออกมาถึงด้านนอกพีระมิด “แย่จริงๆ เลยนะคะ ทางเราอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ พอใช้เสร็จก็ถีบหัวส่งกันเลย!” เจ๊แหม่มบ่นขึ้นเป็นคนแรก ด้วยอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ทางเขาเองก็แปลก เหมือนไม่กล้าตำหนิคนของตัวเองเท่าไหร่ คงเป็นพวกลูกเศรษฐีหรือไม่ก็ลูกเจ้าใหญ่นายโตล่ะมั้ง เฮ้อ! เป็นแบบนี้ทุกประเทศเลยสินะ” ป๋าวิบูลย์ส่ายหน้าอย่างปลงๆ “แถมยังมาหาเรื่องมินด้วยนะคะ พูดอะไรแปลกๆ ด้วยก็ไม่รู้ อาจจะเป็นโรคจิตเลยไม่มีใครกล้าว่าอะไรก็ได้ค่ะ” เกสรีออกความเห็นบ้าง “อย่าไปว่าเขาแบบนั้นสิเกด เดี๋ยวเขารู้ก็โกรธเอาหรอก” มินตราปรามเพื่อน “เขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้” “เธอก็มองโลกในแง่ดีแบบนี้เสมอแหละ มีเรื่องอะไรก็ยอมเขาตลอด พวกนั้นเลยยิ่งได้ใจ" สาวหมวยเปลี่ยนมาบ่นเพื่อนสนิทของตัวเองบ้าง แต่เพราะคำพูดของเกสรีนั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับยืนนิ่งอึ้ง “ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำรอย เพราะคราวนี้ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิตที่ฉันมี!” ชนะชนพึมพำ มือที่กำหมัดสั่นระริกจนจตุรงค์นึกสงสัยในอาการแปลกๆ ของเพื่อน “เอ่อ... เชิญทีมต่อไปเลยนะครับ” จอมกะล่อนหันไปบอกบรรดานักโบราณคดีจากประเทศอื่น ซึ่งต่างกำลังปัดทรายออกจากผมและเสื้อผ้า บ้างก็กำลังใช้น้ำล้างนัยน์ตาที่มีทรายปลิวเข้าไป สร้างความงุนงงให้แก่พวกชนะชนเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะท้องฟ้าที่กลับมาแจ่มใสเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ลิบลับ “ภายในพีระมิดมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างไหมครับ?” นักโบราณคดีจากประเทศอเมริกาคนหนึ่งตรงเข้ามาถามป๋าวิบูลย์และเจ๊แหม่ม ด้วยท่าทีที่ยังตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกตนเมื่อครู่ และไม่มีนักโบราณคดีจากประเทศไหนยอมเข้าไปภายในพีระมิดเป็นคณะต่อไปแม้แต่คนเดียว “เอ... ไม่มีนะครับ ทุกอย่างปกติดีครับ” ป๋าวิบูลย์ตอบงงๆ “นั่นสิคะ ทุกอย่างก็ปกตินะคะ หรือด้านนอกมีอะไรเกิดขึ้นคะ?” เจ๊แหม่มตั้งคำถามกลับ “เกิดพายุทรายเฉพาะในรัศมีพีระมิดครับ พวกเราก็นึกว่าเกิดอะไรในพีระมิดด้วยเสียอีก” “ใช่ค่ะ ท้องฟ้าก็ดำทมิฬ น่ากลัวมาก” นักโบราณคดีจากประเทศออสเตรเลียเข้ามาช่วยพูดเสริมด้วยอีกคน ถึงอย่างนั้นสองนักโบราณคดีอาวุโสจากประเทศไทยก็ยังยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในพีระมิด ...แต่คนที่รู้ดียิ่งกว่าใครๆ ว่าแท้จริงแล้วมีบางอย่างเกิดขึ้นก็คือ ชนะชน!! “เซเรีย... นี่คิดจะทำอะไรอีกกันแน่!?” ชายหนุ่มพึมพำหน้าเครียด ...สิ่งหนึ่งที่รู้แน่ชัดก็คือ การที่เซเรียจงใจให้เขาอ่านจารึกภายในพีระมิด มันไม่ใช่เพราะเธอไม่สามารถแปลความหมายของอักษรทั้งหมดได้ แต่เป็นเพราะเธอต้องการให้เขาได้อ่านมัน เพื่อกระตุ้นความทรงจำในอดีตชาติซึ่งอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นให้ฟื้นคืนมาทั้งหมด เช่นเดียวกับตัวเธอที่สามารถ ‘ระลึกชาติ’ ได้แล้วก่อนหน้านี้จากพีระมิดแห่งนี้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเพื่ออะไรกัน นั่นคือสิ่งที่อดีตฟาโรห์อย่างเขายังไม่สามารถคาดเดาได้ เพียงรู้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ โดยเฉพาะกับมิราหรือมินตราในปัจจุบัน “เป็นอะไรหรือเปล่าชนม์ สีหน้าไม่ดีเลยนะ?” จตุรงค์อดรนทนไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง อาจดูเป็นความห่วงใยที่มากเกินกว่าความเป็นเพื่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะความเคยชินที่ฝังแน่นสืบต่อกันมาทุกภพทุกชาติ “ไม่มีอะไรหรอก อย่าห่วงเลย” ชนะชนตอบยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มอย่างจริงใจที่มีให้กับคนที่เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายเพียงคนเดียวของเขา “แน่นะ นายน่ะชอบเก็บไปคิดมากอยู่คนเดียวเรื่อยแหละ บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร แต่ข้างในใจน่ะมีเต็มไปหมดจนแทบระเบิดออกมานอกอกใช่ไหมล่ะ มีอะไรก็บอกสิ จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย แล้วฉันก็พร้อมจะเป็นเพื่อนตายของนายอยู่แล้ว ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็น...” จตุรงค์บ่นเพื่อนเสียยืดยาวเป็นตาแก่ จนชนะชนอดขำไม่ได้ “ฉันเชื่อ ไม่ต้องพิสูจน์หรอก” ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะขบขัน แม้คำพูดของจตุรงค์จะแทงใจดำหลายอย่าง แต่นั่นก็แสดงถึงความเป็นเพื่อนแท้ที่รู้จักรู้ใจกันเป็นอย่างดี สมกับช่วงเวลายาวนานในความเป็นเพื่อน แน่นอน... เขาเองก็รู้จักจตุรงค์เป็นอย่างดี และรู้ว่าเพื่อนแท้คนนี้ยินดีจะตายแทนเขาได้ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์แห่งอียิปต์แล้ว แต่ในเวลานี้ ปัญหาและความกังวลในใจยังคงเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในความนึกคิด ยังไม่มีสิ่งใดปรากฏชัดเจนว่าจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะเบาบางกว่าหรือร้ายแรงยิ่งกว่าก็ได้ แล้วก็คงจะมีแค่เพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในหัวใจและความคิดของเซเรีย ผู้หญิงที่ไม่มีใครอ่านความคิดของเธอออก จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย !! หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมพีระมิดแห่งใหม่แล้ว คณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศก็เดินทางออกจากพื้นที่เขตทะเลทรายด้วยรถโฟร์วีล และเพราะเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ทั้งหมดจึงแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย ก่อนเข้าเขตเมืองเล็กน้อย “เชิญเลยค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ” เจ้าของร้านสาวสวยในชุดแบบสาวพื้นเมืองอาหรับ ออกมาต้อนรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ประจำวันนี้ ด้วยภาษาประจำชาติของลูกค้าจากต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาเลียน และแม้แต่ภาษาไทย “ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ คุณเจ้าของร้านพูดภาษาไทยได้ด้วยหรือคะเนี่ย?” เจ๊แหม่มถามหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ก็... นิดหน่อยค่ะ” เธอยิ้มแย้มตอบ แล้วหันไปยิ้มให้คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยทุกคน กระทั่งได้สบตากับชนะชน และต่างคนต่างชะงักไป ...สำหรับหญิงสาว เขาเป็นเหมือนรักแรกพบที่ทำให้หัวใจดวงเล็กของเธอสั่นไหว และเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่สำหรับชนะชนแล้ว เธอคือหญิงสาวผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อนในครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์ ผู้ที่เขาไม่อาจลืมได้ พอๆ กับที่เขาไม่สามารถลืมสิ่งที่เซเรียทำไว้กับเขาได้ ไม่ผิดแน่ ! ชนะชนบอกตัวเองระหว่างที่ยังคงจ้องมองเธอ เจ้าของนัยน์ตาสีนิล กับประกายตาที่ดูเหมือนบริสุทธิ์ใสซื่อ ใบหน้ารูปไข่ จมูกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากบาง รวมทั้งผมดำขลับที่ปล่อยยาวเกือบถึงกลางหลังเช่นเดียวกับเซเรีย และผิวที่ขาวกว่าใครในบรรดา 3 พี่น้อง ผู้ที่ทำให้เซเรียย่ามใจจนวางแผนฆ่ามิราในที่สุด ! ! “ขอโต๊ะที่นั่งแล้วมองเห็นทิวทัศน์นอกร้านนะคะคุณน้อง” เสียงพูดของเจ๊แหม่มที่ดังขึ้นปลุกคนทั้งคู่ให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวเจ้าของร้านรีบกุลีกุจอจัดหาที่โต๊ะและที่นั่งสำหรับนักโบราณคดีจากประเทศไทยตามที่ถูกร้องขอ ขณะที่ชนะชนหันขวับไปจ้องหน้าเซเรียซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ “เซเรีย เธอนี่มัน...” เขากำหมัด กัดฟันกรอด ตรงข้ามกับเซเรียที่เชิดหน้ายิ้มเยาะ พร้อมๆ กับที่ลุกขึ้นประกาศ “ร้านนี้เป็นร้านของพี่สาวดิฉันเอง เพราะฉะนั้นขออนุญาตเป็นเจ้ามือนะคะ เชิญทุกท่านรับประทานอาหารกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ” เธอพูดพลางกวาดตามองทุกคนในร้าน ก่อนจะจบลงที่การสบตายิ้มเยาะท้าทายชนะชนอีกครั้ง “เธอมันงูพิษจริงๆ” ชายหนุ่มพึมพำ ความเจ็บปวดและเจ็บแค้นเต้นเร่าในดวงตา ถึงยังไงเขาก็ไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน! “เอ้า! สองหนุ่ม ไหนสั่งอาหารทีซิ โชว์ฝีมืออ่านภาษาอาหรับหน่อย อ่านภาษาอังกฤษไปก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออาหารอะไร” ป๋าวิบูลย์ส่งเมนูอาหารให้ชนะชนและจตุรงค์ โดยมีเสียงจ๋อยๆ ของเกสรีดังต่อท้าย “ยังไงก็เห็นใจเกดนิดนึงนะคะ ไม่เอาอาหารแบบบนเครื่องบินวันนั้นนะ” “จ้ะๆ พี่รู้ พี่ไม่แกล้งน้องเกดหรอก” จตุรงค์หันไปยิ้มหวานให้เกสรี ถึงอย่างนั้นก็ยังคงลอบมองท่าทางแปลกๆ ของชนะชนด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดานักโบราณคดีจากประเทศต่างๆ ยกเว้นชนะชนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขาจ้องมองการตกแต่งร้านที่เลียนแบบสมัยอียิปต์โบราณมาเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนังอิฐที่ทาด้วยสีเหลืองนวลอมน้ำตาลแบบสีพีระมิด ประตูหน้าต่างและแผ่นฝ้าที่สลักลวดลายคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟฟิค เฟอร์นิเจอร์สีทองเลียนแบบของส่วนพระองค์ในพระราชวัง รวมทั้งของตกแต่งร้านโบราณๆ อย่างโคมไฟ เครื่องถ้วยชาม และพรมสีเหลืองทองที่ปูลาดบนทางเดิน “ไม่น่าเชื่อนะว่า แม่คนนั้นจะลุกขึ้นประกาศตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงคนตั้งเกือบครึ่งร้อย ถึงจะเป็นร้านพี่สาวก็เถอะ น้ำใจหรือเลศนัยกันแน่นะเนี่ย” เกสรีแอบตั้งข้อสงสัยกับมินตรา “ไม่เอาน่าเกด ไปว่าเขาแบบนั้นอีกแล้ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายสิ” มินตราดุเพื่อนด้วยคำพูดแบบเดิมๆ จนสาวหมวยนึกเซ็ง “เธอต่างหากล่ะมินที่มองโลกสวยงามเกินเหตุ” เกสรีย่นหน้า ส่วนมินตราก็ทำแก้มป่องแบบงอนๆ ดูน่ารัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมอดีตมเหสี ชนะชนบอกตัวเองและนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว ...เขาเห็นด้วยกับเกสรี เพราะรู้จักนิสัยของเซเรียดีว่าไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล และเหตุผลของเธอก็ไม่เคยเป็นเรื่องดีเสียด้วย ยิ่งถ้าพี่สาวของเธอเกิดระลึกชาติขึ้นมาได้อีกคนล่ะก็ เขาไม่อยากคิดเลยว่ามินตราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวซึ่งดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวกับอดีตชาติของตัวเองด้วยความกังวล “หัวหน้ากับรองหัวหน้านั่งทานอาหารอียิปต์แล้ว ยิ่งดูเหมือนคนอียิปต์เลยนะคะ” มินตรายิ้มขำสองหนุ่มซึ่งนักตักกับข้าวบนโต๊ะกินกัน ‘เอช’ แผ่นโรตีที่ชาวอียิปต์ใช้กินแทนข้าวและขนมปัง ชำนิชำนาญราวกับเป็นชาวอียิปต์จริงๆ “คงเพราะเคยมาอียิปต์แล้วด้วยล่ะมั้ง ก็เลยทำอะไรคล่อง” ชนะชนตอบยิ้มๆ ทั้งที่ในใจกำลังวิตกกับอาหารบนโต๊ะซึ่งไม่รู้ว่าเจือยาพิษลงไปบ้างหรือไม่ จนต้องทำทีเป็นบริการตักกับข้าวให้คนทั้งโต๊ะ ระหว่างที่ใช้แหวนเงินที่สวมอยู่ตรวจสอบพิษไปด้วย “เคยมาหลายครั้งแล้วหรือคะ มาดูงานโบราณคดีน่ะหรือคะ?” เกสรีถามขึ้นอย่างสนใจ “เปล่าจ้ะ มาเที่ยวน่ะ คุณพ่อคุณแม่ของหัวหน้าชนะชนท่านพามา พี่เองก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย” จตุรงค์ตอบแทนชนะชน ซึ่งดูจะไม่ค่อยอยากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับประเทศอียิปต์นัก เพราะหากมินตราเกิดระลึกชาติได้อีกคน เขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องถูกนางอันเป็นที่รักหมางเมินใส่ “แสดงว่ามาตอนที่ยังเรียนอยู่สินะคะ” เกสรีซักถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ดีจังเลยค่ะ เกดกับมินพึ่งจะเคยมาต่างประเทศเป็นครั้งแรก เลยทำตัวไม่ค่อยถูก” “มาตอนเรียนปี 3 น่ะจ้ะ หลังจากกลับไป หัวหน้าชนะชนก็รีบไปลงเรียนภาษาอียิปต์ กับพวกวัฒนธรรมอียิปต์โบราณเพิ่ม สงสัยจะประทับใจมาก” “รองหัวหน้าจตุรงค์ครับ...” ชนะชนเรียกเพื่อนเสียงขรึม และกระแอมเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะพูดมากเกินไปแล้ว อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตของคนพูดได้ “ขอโทษด้วยคร้าบ จะไม่พูดแล้วคร้าบ จะไม่เรียกหัวหน้านอกเวลางานแล้วคร้าบ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วคร้าบ” จอมกะล่อนรีบละล่ำละลัก จนทุกคนในโต๊ะพากับหัวเราะขบขัน “เซรี!” เสียงเรียกชื่อพี่สาวของเซเรียดังขึ้น ระหว่างที่โต๊ะของนักโบราณคดีจากประเทศไทยกำลังครื้นเครงแข่งกับโต๊ะอื่น “ขอเมนูพิเศษให้โต๊ะนั้นทีนะ” เซเรียบอกเซรี พลางพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะของชนะชน “อ๋อ ได้สิ” เซรียิ้มรับ ท่าทางดีใจที่จะได้เดินโฉบไปที่โต๊ะของชายหนุ่มอันเป็นรักแรกพบอีกครั้ง ขณะที่เซเรียนั่งยิ้มกริ่มอย่างพอใจในแผนการของตัวเอง “ขออนุญาตเสิร์ฟเมนูพิเศษของทางร้านนะคะ” ไม่นานนัก เซรีก็ยกเนื้ออบควันฉุยในถาดสีทองใบใหญ่มาที่โต๊ะของพวกชนะชน ทำเอาทุกคนตื่นเต้น ยกเว้นชนะชนที่ลอบมองเธออย่างจับพิรุธ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหน ในเมื่อมีเพียงโต๊ะของเขาเท่านั้นที่ได้รับการเสิร์ฟอาหารจานนี้ “เนื้ออบหรือคะ กลิ่นหอมดีนะคะ” เจ๊แหม่มยิ้มให้เซรี “เป็นเมนูพิเศษของทางร้านน่ะค่ะ รับประกันความอร่อยค่ะ” “แล้วทำไมเลือกที่จะเสิร์ฟให้โต๊ะนี้โต๊ะเดียวล่ะครับ เดี๋ยวโต๊ะอื่นเขาจะมองว่าลำเอียงเอาได้นะครับ” ชนะชนถามขึ้นเสียงขรึม สีหน้าเรียบเฉย จนดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “คือ... เจ้ามือมื้อนี้เธอสั่งมาน่ะค่ะ เซเรียน้องสาวดิฉันไงคะ” เซรียิ้มแย้มตอบ แต่นั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับชะงัก ความหวาดระแวงพุ่งพรวดขึ้นสมองอีกระลอก ซ้ำยังดูจะมากกว่าเดิมหลายเท่าด้วย “อ้อ! ฝากขอบคุณเธอด้วยนะครับ มือนี้เธอคงต้องจ่ายหนักทีเดียว” ป๋าวิบูลย์หันไปพูดกับเซรีบ้าง “แหม! ดิฉันคงไม่กล้ารีดไถน้องสาวตัวเองหรอกค่ะ อย่างมากก็คิดราคาทุนกับเซเรียน่ะค่ะ” เซรียิ้มให้ทุกคนในโต๊ะ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายลอบมองชนะชนอย่างหลงใหล “พิลึกนะคะ หรือจะเกิดสำนึกผิดขึ้นมา” เกสรีพูดขึ้น หลังจากที่เซรีคล้อยหลังไปแล้ว “จุ๊ๆ หนูเกด พี่สาวเธอรู้ภาษาไทยนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มปราม ทำเอาสาวหมวยจ๋อยสนิท รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเสียงอ่อย “จะว่าไปเนื้ออบนี่คือเนื้อวัวใช่ไหมคะ?” “ไม่น่าจะใช่นะ น่าจะเป็นเนื้อแพะมากกว่า ถ้าเป็นเนื้อวัวน่าจะสีคล้ำกว่านี้” คำตอบของชนะชนพาให้ทุกคนนั่งตัวแข็งค้าง เนื่องจากแต่ละท่านล้วนไม่มีประสบการณ์ในการบริโภคเนื้อแพะมาก่อน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ เพราะในเมื่อมันคือเมนูพิเศษที่เซเรียสั่งมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการอะไรบางอย่างของเธอด้วย “นั่นสินะ เอ่อ... คนอียิปต์เขากินเนื้อแพะกันด้วยนี่ ที่จริงบ้านเราก็มีบางคนที่กินนะ ไม่แปลกหรอกเนอะ ไหนๆ เขาก็ปรุงมาเพื่อพวกเราแล้ว ก็ต้อง... เอ่อ ช่วยกันทานให้หมดนะคะ เดี๋ยวเขาจะเสียใจ” เจ๊แหม่มยิ้มปลอบทุกคน ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทีนับตั้งแต่เจ๊เคยยิ้มมา “ข้างในคงจะใส่เครื่องเทศไว้ด้วย เดี๋ยวผมจะเป็นคนตัดแบ่งให้ทุกๆ คนแล้วกันนะครับ” ชนะชนขันอาสา เพราะมันคือจุดประสงค์ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ...แม้จะเคยเป็นฟาโรห์ มีบริวารคอยรับใช้ทุกอย่าง แทบไม่ต้องทำอะไรเอง แม้แต่จะย่างเดิน แต่เขาก็ไม่คิดถือสากับเรื่องแค่นี้ ขอเพียงมิราและทุกคนปลอดภัยจากคนอย่างเซเรีย ผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัว ต่อให้ต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องสักกี่คนก็ตาม แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะกลับประเทศไทยแล้ว เธอก็ยังหาเรื่องตามไปรังควานได้หากหัวใจของเธอต้องการ ชนะชนแอบนิ่วหน้าเครียดอยู่คนเดียวระหว่างที่ลุกขึ้นตัดแบ่งเนื้ออบในถาด โดยไม่รู้ว่าเซเรียกำลังนั่งมองเขาพลางนึกขบขันที่ชายหนุ่มหลงติดกับแผนการปั่นหัวของเธอเข้าอย่างจัง ใช่! แค่ปั่นหัวเท่านั้นสำหรับวันนี้ หญิงสาวส่งกระแสจิตบอกเขา ขณะที่นั่งยิ้มให้กับแผนการต่อไปที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD