“มินนนน!!”
เกสรีร้องเรียกเพื่อนสุดเสียงด้วยความตกใจ ขณะที่มินตราได้แต่ยืนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งใครคนหนึ่งดึงแขนเธอกลับขึ้นมาบนฟุตบาท แรงเสียจนทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้นก็รอดพ้นจากการถูกรถชนได้อย่างหวุดหวิด
“ชิ!”
หญิงสาวสวมแว่นดำผู้นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัย เหลือบตามองกระจกมองหลังอย่างไม่สบอารมณ์ และยังคงเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง เปล่าเลย ! ไม่ใช่เพื่อการหลบหนีเพราะกลัวความผิด แต่เพื่อระบายอารมณ์ที่คั่งแค้นมาแสนนาน โดยเฉพาะกับการที่สิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่บรรลุเป้าหมาย
“มิน! หัวหน้า!”
“ชนม์! น้องมิน! เป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บหรือเปล่า!?”
ทั้งเกสรีและจตุรงค์รีบเข้ามาดูอาการของคนทั้งคู่ ฝ่ายมินตราดูจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะล้มลงไปบนตัวของชนะชน แต่สำหรับชนะชนซึ่งตั้งใจใช้ตัวเองเป็นเบาะรองให้เธออยู่แล้วนั้น ไม่ใช่เพียงแขนเสื้อขาดอย่างเดียวแน่ !
“ตายแล้ว! ข้อศอกหัวหน้า เลือดออกเยอะเลยนะคะ” เกสรีปิดปากอุทาน ระหว่างที่เข้าไปช่วยพยุงมินตราและบังเอิญสังเกตเห็นบาดแผลของเขาเข้า
“หัวหน้าคะ ดิฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” มินตราไหว้ขอโทษชนะชนอยู่หลายครั้ง นัยน์ตาโศกเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตา จนชายหนุ่มชะงัก
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ” เกสรีบอกมินตรา แล้วหันกลับมาไหว้ขอโทษชนะชนอีกคน “ขอโทษนะคะหัวหน้า เกดไม่น่าบ้าจี้แกล้งผลักมินแรงขนาดนั้นเลย ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องคิดมากกันหรอกนะ มินตราปลอดภัยก็ดีแล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แผลแค่นี้เอง” ชนะชนบอกสองสาว ขณะที่ยันตัวลุกขึ้นยืนโดยมีจตุรงค์เข้ามาช่วยปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าให้ “พอได้แล้วรงค์ แล้วดูทำเข้า บอกให้ส่งของมาจะช่วยถือ” ชายหนุ่มเอ็ดเพื่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหอบหิ้วถุงพะรุงพะรังด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่หนักหนาอะไรหรอก”
“เอ่อ... เดี๋ยวพวกเราถือเองดีกว่าค่ะ ที่จริงของเกือบทั้งหมดก็ไม่ใช่ของของหัวหน้ากับรองหัวหน้าเลยด้วยซ้ำ” มินตรารีบรับถุงใส่ของคืนมาจากจตุรงค์ โดยมีเกสรีช่วยอีกแรง ด้วยเพราะข้าวของส่วนใหญ่ก็มาจากการช้อปกระจายของสาวหมวยแทบทั้งสิ้น
“Excuse me.” เสียงกล่าวขอโทษเพื่อเกริ่นนำเข้าสู่ประโยคคำถาม เรียกพวกชนะชนให้หันไปมองเจ้าของชุดฟอร์มสีกรมท่า กับปืนกระบอกใหญ่สมฐานะ ‘ตำรวจอียิปต์’
“หูไวตาไวจริงแฮะ” จตุรงค์พึมพำเบาๆ ด้วยภาษาไทย พร้อมกับทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ประกอบ เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายได้ยินเข้า อาจจะใช้มัจจุราชสีดำในมือเป็นตัวช่วย บังคับให้เขาแปลมันออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังก็ได้
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ชนชะนบอกเพื่อน และมองเลยไปยังสองสาวที่ยืนตระหนกคล้ายจะสื่อคำพูดนั้นถึงพวกเธอด้วย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ชาวอียิปต์
แน่นอนว่าอีกฝ่ายชี้แจงว่าได้รับแจ้งเรื่องอุบัติเหตุในละแวกนี้ และเดาว่าพวกชนะชนน่าจะเป็นเจ้าทุกข์ของคดี ในขณะที่ชนะชนอธิบายว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก และไม่คิดติดใจเอาความ ชายหนุ่มย้ำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมกลับไป ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน เพราะการมีคดีความระหว่างดูงานที่ต่างประเทศอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าแต่ละคนจะไม่ติดใจสงสัยเอาเสียเลย เกี่ยวกับการเร่งความเร็วรถของคนขับราวกับจงใจจะขับชนมินตรา
“ล้างแผลหน่อยดีกว่านะครับ แล้วค่อยกลับไปทำแผลที่บ้านพักทีหลัง” สมชายหยิบขวดน้ำดื่มในรถส่งให้ชนะชน หลังจากที่ทั้งหมดมาถึงจุดนัดพบ และเกสรีเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“แย่จริงๆ เลย ขับรถภาษาอะไรกัน อย่าให้เจอเชียวนะ” สาวหมวยยังไม่หายโมโห
“ช่างเถอะน่าเกด เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกมั้ง เพราะฉันเองก็ไม่เคยมาอียิปต์ แล้วก็ไม่เคยมีเรื่องกับคนอียิปต์ด้วย” มินตราบอกเพื่อน แล้วเดินมาหาชนะชนซึ่งกำลังเปิดขวดน้ำ เตรียมจะล้างแผลอยู่ “หัวหน้าคะ ดิฉันล้างแผลให้นะคะ”
“อย่างนั้นก็ได้ ขอบใจมากนะ” ชนะชนยิ้มให้มินตรา แล้วส่งขวดน้ำในมือให้เธอ ส่วนมินตราเมื่อรับขวดน้ำมาแล้วก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในกระเป๋าเสื้อออกมารินน้ำใส่จนชุ่ม และค่อยๆ ใช้มันทำความสะอาดแผลให้ชนะชนอย่างเบามือ ทำเอาจตุรงค์ เกสรี และคนรถสมชายมองกันตาค้าง
“ถ้าแสบหรือเจ็บก็บอกนะคะ” มินตราบอกเขา โดยที่ยังคงง่วนอยู่กับการทำความสะอาดแผล จึงไม่เห็นรอยยิ้มกับแววตาอ่อนโยนของชนะชนที่จ้องมองมา ตรงข้ามกับเกสรีซึ่งจ้องจับผิดอยู่ และได้เห็นทุกอิริยาบถของชายหนุ่ม ถึงอย่างนั้นสาวหมวยก็ไม่ได้คิดจะต่อต้านหรือขัดขวาง
เธอได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเขาสามารถดูแลและปกป้องเพื่อนรักของเธอได้ แน่นอนว่าผู้ชายแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และเธอก็ยินดีมากที่จะช่วยให้เขาได้ลงเอยกับมินตรา ถึงขั้นแต่งงานมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง
...ความคิดของเกสรีเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามจากเดิมแล้วในขณะนี้ ทั้งที่เธอเองก็รู้ดีว่ามินตราไม่ได้คิดอะไรกับชนะชนเลยแม้แต่นิดเดียว และที่ช่วยทำความสะอาดแผลให้เขาก็เพราะความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งหมดกลับมาถึงบ้านพักเอกอัครราชทูตแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหารเย็นที่แม่บ้านได้จัดไว้รอแล้ว
“คนขับอาจจะหลับในก็ได้ อย่างมินตราน่ะเหรอจะไปมีเรื่องกับใคร ถ้าเป็นเกสรีก็ว่าไปอย่าง” เจ๊แหม่มออกความเห็น ระหว่างที่นั่งดูมินตราทำแผลให้ชนะชนด้วยกล่องปฐมพยาบาลที่ทางสถานทูตจัดมาให้
“แหม! ผอ.ก็พูดเกินไปนิดนึงนะคะ เกดไม่ได้ชอบไปวิวาทกับใครสักหน่อย” เกสรีอุทธรณ์งอนๆ จนทุกคนพากันขบขัน
“แล้วนี่ซื้ออะไรกันมาบ้างล่ะ เห็นถุงมากมายอย่างกับไปเหมามาทั้งตลาด” ป๋าวิบูลย์ถามขึ้นบ้าง แต่นั่นก็ยังไม่พ้นเรื่องแทงใจดำเกสรีอยู่ดี “ชนะชนกับจตุรงค์กลายเป็นนักช้อปไปกับเขาด้วยแล้วเหรอเนี่ย”
“ผมเปล่านะครับ ซื้อแค่น้ำหอมขวดเดียวเอง ส่วนชนม์ก็ซื้อของไปฝากพวกญาติๆ นิดหน่อย ของตัวเองไม่มีเลยล่ะครับ” จตุรงค์รีบแก้ต่างให้ตัวเองกับเพื่อน แจ็คพ็อตจึงไปตกอยู่ที่เกสรีกับมินตรา
“แหม! ราคาก็ไม่แพง แถมมีแต่ของน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยนี่คะ เกดก็เลยมันมือ เอ้ย! ซื้อเพลินไปหน่อย” เกสรียิ้มแห้งยอมรับ พร้อมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ ยิ่งหัวหน้าชนะชนไปด้วย พอพ่อค้าเขาเห็นหน้าหัวหน้า เขาก็ลดแลกแจกแถมกันใหญ่ ของมันก็เลยเยอะอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ ”
“ต๊าย! จริงเหรอจ๊ะเนี่ย” เจ๊แหม่มได้ฟังแล้วตื่นเต้นกว่าใคร รีบหันขวับไปทางชนะชนจนชายหนุ่มสะดุ้ง “เดี๋ยววันกลับไทย ไปร้านค้าในสนามบินไคโรกับพี่หน่อยนะจ๊ะชนะชน พี่ว่าจะซื้อตุ๊กตาอูฐไปฝากหลานๆ เผื่อเขาจะลดแลกแจกแถมให้พี่บ้าง”
“เอ่อ... ได้ครับ” ชนะชนยิ้มเจื่อนๆ แต่คนที่ยิ้มเจื่อนๆ ยิ่งกว่ากลับเป็นจตุรงค์ ซึ่งกำลังจินตนาการวาดภาพเจ๊แหม่มกับตุ๊กตาอูฐฝูงใหญ่ไม่ต่ำกว่า 1 โหล ยิ่งถ้าคนขายเกิดคิดสั้นลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลให้แบบซื้อ 1 แถม 1 ด้วยล่ะก็ ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา คงยินดีปรีดาขนาดซื้อกระเป๋าเดินทางใบยักษ์อีกใบมาใส่ตุ๊กตาอูฐทั้งร้านเป็นแน่
“ตุ๊กตาอูฐหรือคะ ผอ. ดีจังค่ะ เกดขอไปด้วยนะคะ เกดก็อยากได้ตุ๊กตาอูฐเหมือนกันค่ะ” เกสรีบอกผู้บังคับบัญชาของเธอ นัยน์ตาเป็นประกาย
“จ้า ไปด้วยกันหมดนี่ก็ได้ ไปเยอะๆ อุ่นใจดีนะ จริงไหมจ๊ะจตุรงค์”
“อุ่นใจจริงๆ ด้วยค่ะ ผอ.”
สองสาวต่างวัยหัวเราะชอบใจเป็นเสียงประสาน เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่นั่นกลับทำให้จตุรงค์นั่งเหงื่อตกจากจินตภาพเรื่องสองสาวกับตุ๊กตาอูฐ เพราะมันอาจไม่จบลงแค่การเหมาตุ๊กตาทั้งร้าน แต่ทั้งคู่อาจร่วมหุ้นกันเปิดร้านนำเข้าตุ๊กตาอูฐ ไม่สิ ! อาจถึงขั้นเปิดฟาร์มอูฐในไทยเลยก็ได้ แล้วนี่เขาต้องเป็นคนเลี้ยงอูฐด้วยหรือเปล่า จอมกะล่อนคิดฟุ้งซ่านไปใหญ่ กระทั่งเสียงของแม่บ้านประนอมดังขึ้น
“อาหารเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงให้มาเรียนเชิญทุกท่านไปที่ห้องอาหารได้เลยค่ะ”
“จ้ะ ขอบใจมากนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มยิ้มหวานให้แม่บ้าน ก่อนจะหันไปทางป๋าวิบูลย์ “เรียนเชิญ ผอ. ก่อนเลยค่ะ ในฐานะหัวหน้าคณะ”
“ครับๆ ขอบคุณมาก” ป๋าวิบูลย์ ผอ.สำนักโบราณคดียิ้มรับ แล้วเดินตามแม่บ้านประนอมไปเป็นคนแรก ต่อด้วยเจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ รองหัวหน้าคณะ ถัดมาเป็นสองหนุ่ม ชนะชน จตุรงค์ และปิดท้ายด้วยสองสาว มินตรากับเกสรี ตามลำดับอาวุโสและตำแหน่งหน้าที่การงาน
“โอ... ห้องอาหารของที่นี่อยู่ชั้นใต้ดินหรือคะเนี่ย” เจ๊แหม่มมองสำรวจไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เช่นเดียวกับสมาชิกคณะคนอื่นๆ ที่ต่างรู้สึกประทับใจในห้องอาหารของบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยหลังนี้
บันไดทางลงจากห้องโถงปูด้วยพรมกำมะหยี่สีน้ำตาลอ่อน ราวบันไดไม้แกะสลักงดงามอ่อนช้อยอย่างไทยๆ เรื่อยมาจนถึงตัวห้องอาหารขนาดใหญ่ซึ่งปูพื้นด้วยปาเก้อย่างดี ผนังห้องประดับประดาด้วยรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวทั้งของไทยและอียิปต์สลับกันไป ขณะที่บนเพดานก็มีโคมไฟระย้าสำหรับให้แสงสว่าง โต๊ะอาหารสีโอ๊คเข้าชุดกับเก้าอี้ชวนให้รู้สึกอบอุ่น แม้ว่าขนาดของโต๊ะและจำนวนเก้าอี้จะมากกว่าจำนวนคนทั้งหมดภายในห้อง ยิ่งมองไปบนโต๊ะแล้วได้เห็นจานชามช้อนส้อมและแก้วน้ำจากเมืองไทย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่ที่บ้าน จะมีก็แต่อาหารที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้วเท่านั้นที่ดูแปลกตาไปสักหน่อย
“วัตถุดิบของที่นี่อาจจะแตกต่างจากบ้านเราบ้างนะคะ แต่ก็บอกประนอมว่าให้พยายามทำออกมาให้คล้ายอาหารไทยมากที่สุด ถ้าไม่ถูกปากอย่างไรก็ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ” คุณหญิงอัญชันบอกคณะนักโบราณคดีจากไทย แทนคุณประสิทธิ์ผู้เป็นสามีซึ่งกำลังหลบมุมคุยโทรศัพท์บ้านหน้าตาโบราณๆ อยู่
“Yes... Yes... Yes...” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร เจ้าของร่างท้วมเล็กน้อยถึงปานกลางซึ่งอยู่ในชุดสูทแบบสากล พยักหน้าส่งสำเนียงอังกฤษใส่โทรศัพท์สักพักก็วางสาย หันมายิ้มให้แขกทั้ง 6 คน พลางขยับแว่นตากรอบทองบนสันจมูกให้เข้าที่ “เชิญเลยครับ เชิญนั่งเลยครับ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลยนะครับ ตามสบายเลยครับ”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก” ป๋าวิบูลย์ในฐานะหัวหน้าคณะกล่าวขอบคุณ เช่นเดียวกับเจ๊แหม่มที่ยิ้มแย้มของคุณเจ้าบ้านทั้งคู่ ในขณะที่สองหนุ่มและสองสาวต่างกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณ ตามธรรมเนียมไทยที่ผู้อ่อนวัยกว่าควรปฏิบัติ ก่อนที่ทั้งหมดจะทยอยกันเข้ามานั่งลงที่โต๊ะอาหาร โดยมีแม่บ้านประนอมเดินอุ้มโถข้าวหอมมะลิควันฉุยตักใส่จานของทุกคนจนครบทั้งโต๊ะ
“ก่อนอื่นต้องขอโทษเป็นอย่างมากเลยนะครับ เรื่องความไม่สะดวกในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้ผมไปเคลียร์เรื่องเรียบร้อยแล้ว แล้วก็รับบัตรประชาชนของทุกท่านคืนมาแล้วนะครับ เดี๋ยวหลังรับประทานอาหารผมจะรีบนำไปส่งคืนให้ทันทีครับ ต้องขออภัยจริงๆ” คุณประสิทธิ์บอกแขกทุกคน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ทางเราเองก็แจ้งเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันด้วย” ป๋าวิบูลย์ตอบ พลางนึกในใจว่ากลับประเทศไทยเมื่อไหร่จะไล่เบี้ยหาตัวการที่ทำให้พวกตนต้องนั่งแบนเป็นกล้วยฉาบกว่า 1 ชั่วโมง อยู่ภายในรถคันเล็กที่ไม่น่าจะบรรทุกคน 7 คนมาจนถึงที่หมายได้
“อันนี้อะไรน่ะคะ?” เกสรีถามแม่บ้านประนอม หลังด้อมๆ มองๆ ชามแก้วลายกุหลาบซึ่งบรรจุอาหารคล้ายน้ำพริก แต่วัตถุดิบหลักกลับดูไม่เหมือนหอม กระเทียม หรือปลา
“น้ำพริกถั่วค่ะ พอดีคนอียิปต์นิยมทานถั่วกันมาก นอมก็เลยลองใช้ถั่วลิสงมาทำน้ำพริกดู”
“น่าทานดีนะคะ” มินตรายิ้มให้แม่บ้านประจำสถานทูต และเป็นหน่วยกล้าตายลองชิมอาหารจานแปลกนี้เป็นคนแรก แน่นอนว่าทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของชนะชนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และคอยชำเลืองมองเธออยู่ตลอดเวลา
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะมินตรา ชามนั้นเป็นยังไงบ้าง?” เจ๊แหม่มชะโงกหน้ามาถาม เช่นเดียวกับคนทั้งโต๊ะที่แทบจะหันมาฟังคำตอบจากเธอกันเป็นหูเดียว
“อร่อยดีค่ะ”
คำตอบของมินตราทำเอาแม่บ้านประนอมยิ้มออก และหลังจากนั้นอาหารทุกอย่างบนโต๊ะก็พร่องลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกถั่ว ซุปมะเขือเทศ เนื้อหมักเครื่องเทศอบ สลัดข้าวโพดหวาน แกงกระหรี่ไก่ ไข่เจียวทรงเครื่อง ผัดผักรวมมิตร รวมไปถึงน้ำพริกจากเมืองไทยของชนะชน โดยมีผักสดคือแตงกวาเป็นเครื่องเคียง และปิดท้ายด้วยส้มหวานๆ ผลไม้ขึ้นชื่อของดินแดนพีระมิดและทะเลทรายแห่งนี้
“แกะยากจังนะคะ เปลือกหนามากๆ” เกสรีบ่นอุบ ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาแกะเปลือกส้มสีสดผลใหญ่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่! ลองแกะแบบนี้ดูสิเกด” มินตราแกะส้มในมือให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง พลอยให้คนอื่นๆ ในโต๊ะทำตามไปด้วย
“อื้ม! ทำแบบนี้แล้วแกะไม่ยากเท่าไหร่ ไปรู้วิธีนี้มาจากไหนจ๊ะมินตรา หรือชาติก่อนเป็นคนอียิปต์ ดูไปดูมาหน้าตาให้เหมือนกันนะเนี่ยเราน่ะ” เจ๊แหม่มล้อ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่แทงใจดำชนะชนอย่างแรง และยิ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าเธอกับ ‘มิรา’ คือคนคนเดียวกัน แต่... เพราะอะไรล่ะ?
“หน้าตามินคล้ายคนอียิปต์หรือคะ หัวหน้ากับรองหัวหน้ายังคล้ายกว่าอีกนะคะ” มินตราตอบเขินๆ ลึกลงไปในดวงตาไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ ที่บ่งบอกว่าเธอพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงในใจ
“อู๊ย! สองคนนั้นน่ะของตายอยู่แล้ว เดี๋ยวคอยดูพรุ่งนี้สิ ต้องมีนักโบราณคดีอียิปต์หน้าแตก เพราะคิดว่าแขกสองคนนี้เป็นคนของตัวเองแน่ๆ” เจ๊แหม่มเปลี่ยนมายิ้มล้อสองหนุ่มบ้าง
“แหม! ที่จริงพวกผมอาจจะเป็นคนอียิปต์เมื่อชาติปางนู้นก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้” จตุรงค์พูดเล่นไปเรื่อย แต่กลับยิ่งทำให้ชนะชนเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด
...หรือทั้งเขา จตุรงค์ นิศรา และมินตราเคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อนจริงๆ จู่ๆ ความคิดนี้ก็แวบกลับเข้ามาในสมอง แล้วทำไมไม่ใช่แค่เขากับผู้หญิงในความฝันอย่างมินตราเล่า ทำไมต้องมีจตุรงค์กับนิศราเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชนะชนถามตัวเองพลางนิ่วหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องประหลาด อย่างความฝันของเขา กับการที่คนหน้าแขกมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กัน หรือมัน... จะเป็นแค่ความบังเอิญ
“เอ่อ... หัวหน้าคะ”
เสียงเรียกของใครคนหนึ่งปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มเลิกผ้านวมออก และรีบลุกขึ้นนั่งจนรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลตรงข้อศอก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแสดงมันออกมาแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งบนใบหน้า สาเหตุก็เพราะหญิงสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ที่นอนปิกนิกของเขาในเวลานี้
“กลางคืนมันหนาวมาก ดิฉันกลัวว่าหัวหน้าจะปวดแผล ก็เลยไปขอยาพาราฯจากแม่บ้านมาให้น่ะค่ะ” มินตราส่งแผงยาพาราเซตามอลให้ชนะชนด้วยสองมือ หญิงสาวอยู่ในชุดนอนแบบกางเกงสีชมพูอ่อน มีลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวแต่งแต้มอยู่ทั่วดูน่ารัก และสวมทับด้วยเสื้อหนาวแขนยาวสีน้ำเงินอีกชั้น ผมยาวที่เคยรวบไว้ปล่อยลงมาเคลียบ่า และเพราะพึ่งผ่านการสระผม อาบน้ำชำระล้างร่างกายมา จึงมีเส้นผมบางส่วนที่ยังคงเปียกน้ำ ทำเอาชนะชนชะงักไปนิดหนึ่ง
“เอ่อ... ขอบคุณมากครับ” เขายิ้มให้เธอ แล้วรับแผงยาแก้ปวดมาวางไว้เหนือที่นอนปิกนิก
“แล้วนี่ก็ขวดน้ำกับแก้วน้ำค่ะ หัวหน้าจะได้ไม่ต้องลุกเข้าไปในครัว ถึงจะไม่ได้ทานยาก็อาจจะเกิดคอแห้งตอนกลางคืนได้”
“เตรียมให้พร้อมทุกอย่างเลยเหรอ ลำบากแย่ ขอบคุณมากๆ นะ” ชนะชนรับแก้วน้ำพลาสติกและขวดน้ำจากมือมินตราไปวางไว้บนหัวนอนอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อหันกลับมา...
“หัวหน้าต่างหากล่ะคะที่ต้องมาลำบาก... เพราะดิฉัน” มินตรานั่งน้ำตาคลอ ไม่กล้าสบตาชนะชน นอกจากก้มหน้ามองแผลบริเวณข้อศอกของชายหนุ่ม ซึ่งเขาพึ่งแกะผ้ากอซออกหลังการอาบน้ำ และพับแขนเสื้อของชุดนอนสีเทาที่สวมอยู่ขึ้น เพื่อไม่ให้เลือดเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า รวมทั้งเพื่อไม่ให้แผลอักเสบจากการบ่มเพาะความร้อนอยู่ภายในเสื้อผ้าด้วย
“คิดมากน่ามินตรา ผมเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุด้วย” ชนะชนพูดปลอบหญิงสาว ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอ เพราะนอกจากจะดูไม่เหมาะสมแล้ว เวลานี้ยังมีมนุษย์สอดรู้สอดเห็นคนหนึ่งกำลังแอบดูอยู่ด้วย
“ไม่ต้องแอบดูหรอก ออกมายืนดูเลยก็ได้มา จะได้เห็นชัดๆ” ชายหนุ่มชะโงกหน้าบอกใครคนหนึ่งซึ่งยืนแอบอยู่หลังเสาภายในมุมมืดของบ้าน พลอยให้มินตราหันไปมองด้วย
“แอบดูอะไรกัน ก็แค่ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ เลยมายืนแอบอยู่หลังเสาเนี่ย ยังอุตส่าห์ตาดีมองเห็นอีกนะ คิดว่าเป็นชัยภูมิเหมาะแล้วเชียว” จตุรงค์ซึ่งพึ่งกลับจากอาบน้ำ และอยู่ในชุดนอนลายทางสีขาว – ฟ้า กับมีผ้าขนหนูคลุมศีรษะอยู่ ค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังเสาพลางบ่นอุบ “ว่าทำตัวกลมกลืนกับเสาแล้วเชียวนะ นายตาดีเกินไปหรือเปล่า”
“แอบมิดตายล่ะ แล้วดูทำเข้า เอาผ้าขนหนูสีขาวมาคลุมหัวตอนกลางคืน แน่ใจนะว่าดูคล้ายเสาไม่ใช่อย่างอื่น” ชนะชนส่ายหน้าเอือมระอา
“อย่าพูดสิ ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่ มาอยู่ไกลบ้านด้วย นอนก็ผิดที่ผิดทาง บรื๋ออออ!!” จอมกะล่อนโวยวาย พร้อมกับจ้ำอ้าวมายังที่นอนปิกนิกของตัวเอง กระโดดลงไปนอนคลุมโปง ประนมมือไหว้พระสวดมนต์งึมงำ ตัวสั่นงันงกอยู่ในผ้านวม
“ทำเหมือนไม่เคยนอนนอกบ้านเลยอย่างนั้นแหละนะ” ชนะชนส่ายหน้าให้เพื่อนอีกรอบ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเพื่อเปิดโอกาสให้ตนได้คุยกับมินตราต่อ หากแต่เวลานี้ก็ดึกมากแล้วเกินกว่าที่ควรจะทำแบบนั้น เรื่องนี้มินตราเองก็รู้ดี
“หัวหน้าคะ เอ่อ... ดิฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” หญิงสาวเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เมื่อชายหนุ่มหันกลับมาหาเธอ แต่ครั้งนี้เป็นคำพูดพร้อมรอยยิ้มขบขัน กลั้วเสียงหัวเราะ ผลพลอยได้จากบทสนทนาของสองหนุ่ม กับท่าทางราวกับไม่เต็มเฟื้องของจตุรงค์
“ครับ ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชนะชนพลอยยิ้มขำไปด้วย และยังคงนั่งยิ้มอยู่กับตัวเอง ถึงแม้ว่ามินตราจะกลับห้องของเธอไปแล้วก็ตาม
...แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ชายหนุ่มก็ภาวนาให้ผู้หญิงในความฝันเป็นคนคนเดียวกับเธอ และได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เช้าทุกคนคงไม่ต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงละเมอของเขา ซึ่งดูราวกับจะเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เข้ามาแทนที่นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงเสียแล้ว มันคงเป็นเช่นนี้จนกว่าเขาจะค้นหาคำตอบของความฝันได้ แต่คำตอบนั้นมันคืออะไรกันล่ะ ชนะชนครุ่นคิดระหว่างที่ลุกขึ้นเดินไปปิดสวิชต์ไฟ และเดินกลับมาล้มตัวลงนอน ก่อนจะหลับไปพร้อมกับเรื่องเดิมๆ ที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว