บทที่2.อุบัติเหตุ
มารดาของเธอกลับมาหลังหายไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ตระกร้าว่างเปล่าอัดแน่นไปด้วยของสด ตอนที่ปรางเดินขึ้นบ้าน ทับทิมได้ยินเสียงบ่นเบาๆ
“อีพวกนี่ โขกราคาเสียแทบไม่อยากซื้อคราวหน้า”
หญิงสาวโผล่หน้าออกมาจากห้อง “ให้ทิมช่วยไหมแม่?”
ปรางส่ายหน้า “ไปตามไอ้จ้อยให้แม่แทนเถอะ ให้มันไปดูลอบที่พ่อเอ็งวางไว้น่ะ มีปลาติดลอบบ้างหรือเปล่า แม่จะเอามาย่าง”
จ้อยคือเด็กกำพร้าที่มารดาขอหลวงตาที่วัดมาเลี้ยงดู เด็กชายผู้นั้นฉลาดและทำงานเก่ง เสียอย่างเดียว จ้อยชอบไปขลุกอยู่ที่วัด...คงเพราะชินกับการอาศัยวัดอยู่มาตั้งแต่เด็ก และยังไม่ชินกับการมีผู้ปกครอง ทัพไม่ได้บ่น เพราะดีกว่าการไปขลุกอยู่ที่ร้านเกม ปรางเองก็เห็นดีด้วย เขาสองคนให้เวลาจ้อยปรับตัว...คงอีกไม่นานหรอก เพราะจ้อยเองก็เพิ่งมาอยู่ที่บ้านเธอ ได้ไม่เต็มสองปีดี ทับทิมสอบติดมหาวิทยาลัยในเมืองบิดาคงเหงาเลยไปขอจ้อยจากหลวงตามาเลี้ยง
ทับทิมเดินลงจากบ้าน เธอมองมอเตอร์ไซน์สลับกับจักรยานมารดา วัดกับบ้านไม่ไกลกันเท่าไหร่ เธอควรออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานแทนการผลาญน้ำมันด้วยการขับมอเตอร์ไซค์
หญิงสาวเดินไปฉวยจักรยานของมารดา ปั่นออกไปหาเด็กชายผู้นั้น เธอชมบรรยากาศพื้นบ้าน กับความเป็นธรรมชาติที่ที่ยังไม่หายไปเพราะความเจริญ
ท้องนาที่เคยมีแต่สีเขียวขจีของต้นข้าว เปลี่ยนเป็นนาว่างๆ ที่มีแต่ซังข้าวหลังฤดูเก็บเกี่ยว อีกไม่นานก็คงมีการเริ่มทำนาในรอบใหม่ นาเหล่านี้จะถูกพลิกฟื้น และเปลี่ยนให้เหมาะสำหรับปลูกข้าวอีกครั้งหนึ่ง
ทับทิมถอนใจ สมัยที่เธอเป็นเด็กๆ ขั้นตอนการทำนายุ่งยาก แต่สนุกที่สุดสำหรับเด็ก หลังเก็บเกี่ยว ต้นข้าวสีทองอร่ามจะถูกเกี่ยวและทยอยนำไปตั้งตามลานว่าง ตากแดดให้แห้งและลงมือนวดด้วยควายหรือรถไถนา แต่นั่นมันนานมากแล้วกับวิธีโบราณ สมัยนี้ขั้นตอนลดลงมาเยอะ เธอไม่เห็นการใช้แรงงานคนสำหรับเกี่ยวข้าวอีกเลย มีรถอเนกประสงค์ที่เกี่ยวข้าวพร้อมกับแปรรูปออกมาเป็นเมล็ดข้าวเปลือกได้เลย จากที่เคยเห็นกองฟอน ตอนนี้เหลือแค่กระสอบป่านที่บรรจุข้าวเปลือกตั้งไว้ริมคันนาแทน
บรรยากาศแสนสนุกหมดลง
พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นของเธอ
แม้แต่การกำจัดซังข้าวในนายังเปลี่ยนเลย หากเป็นสมัยก่อน น้ำจะถูกสูบเข้าไปขังไว้ในนาและรอเวลาให้ตอซังข้าวเปื่อยยุ่ยเป็นปุ๋ยให้นาเหล่านั้น
สมัยนี้มีแค่ควันกับตอดำๆ ของตอข้าวที่ถูกเผาด้วยกองเพลิง ถึงแม้จะรู้ดีว่านั่นคือการทำลายหน้าดิน แต่เท่าที่เห็น ชาวนาส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนี้ เมื่อมันประหยัดเวลา จากที่เคยขังน้ำไว้เป็นเดือนๆ ก่อนจะไถกลบ เปลี่ยนเป็นแค่เสียเวลาแค่วันเดียว หนึ่งเดือนหลังพักนา คือเวลาว่างของพวกเขา
ทับทิมถอนใจอีกครั้ง...เธอเป็นลูกชาวนา แต่ไม่เคยแตะงานเหล่านั้นเลย แม้จะไม่เห็นด้วยกับวิธีที่บิดาทำนัก แต่เธอจะแย้งก็ไม่ได้
วัดเป็นศูนย์รวมของชาวบ้าน แต่ถ้าไม่ใช่วันพระ วัดก็จะเงียบสงบ
บรรยากาศร่มรื่น ดูน่ากลัวนิดๆ หากมาวัดในตอนค่ำ
ทับทิมไม่เชื่อเรื่องผี หรือเรื่องโลกหลังความตาย แต่นั่นแหละเธอเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ถึงไม่เคยเห็นก็กลัวไว้ก่อน
“จ้อยอยู่ไหนนะ?” หญิงสาวบ่นเบาๆ ตอนที่กวาดตามองหาเด็กชาย
เหมือนนกรู้จ้อยโผล่หน้ามาให้เห็นพร้อมกับตะโกนถาม
“มีอะไรเหรอพี่ทิม?”
“แม่ให้ไปดูลอบ มีปลาติดไหม แม่อยากได้ปลาสักตัวน่ะ” หญิงสาวตอบ จ้อยรีบวิ่งตรงมา
“พี่ทิมไปกับจ้อยไหมล่ะ?” จ้อยชวน
“ไปสิ” หญิงสาวตอบ “ไกลไหม แล้วจ้อยมายังไง” แล้วก็ถามต่อ
“เดินมา พี่ทิมไปด้วยจ้อยจะได้ซ้อนท้ายพี่ทิมไปไง”
เด็กชายตอบพร้อมกับยิ้มแป้น
“ขึ้นมาเลยไปทางไหนล่ะ” ทับทิมตอบ ยิ้มกว้างขึ้น เธอยันเท้ากับพื้น...ทรงตัวรอ หากเด็กชายจะนั่งที่เบาะด้านหลัง
“ออกจากวัดเลี้ยวซ้าย ไม่ไกลหรอกพี่ทิม พ่อไม่เคยวางลอบไกลบ้าน” จ้อยตอบ ขยับตัวนั่งตรงๆ ที่เบาะด้านหลัง
“ตัวหนักเหมือนกันนะเรา”
ทับทิมบ่น ตอนที่ออกแรงปั่นจักรยานไปในทิศทางที่จ้อยบอก
เสียงหัวเราะแผ่วๆ ไม่มีเสียงตอบ จ้อยอายุเกือบ10ปี อีกไม่นานคงตัวใหญ่กว่าเธอ
ถึงระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่เหมือนที่จ้อยบอก...แต่คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายก็เลยถึงกับหอบแฮ่กๆ “ขากลับเดี๋ยวจ้อยถีบเอง พี่ทิมจะได้พัก”
จ้อยลงไปยืนเมื่อมาถึงจุดที่ทัพเอาลอบไม้ไผ่มาวางไว้...
เด็กชายถอดเสื้อวางไว้ที่ยอดหญ้า...เดินลุยน้ำลงไปดูอุปกรณ์หาปลาที่ทัพเอามาวางดักปลาไว้
“หู!! ปลาติดเต็มเลยพี่ทิม” จ้อยเงยหน้ายิ้มให้ทับทิม เขายกลอบไม้ไผ่ขึ้นชูให้หญิงสาวดู ปลาตัวใหญ่ๆ ดิ้นไปมาในลอบนั่น
“เยอะเหมือนกันนะ”
ทับทิมขยับลงไปดูใกล้ๆ เพราะจ้อยเอาลอบไม้ไผ่วางไว้ที่ตลิ่ง
“ไม่ได้เอาข้องมา เอากลับไปทั้งแบบนี้แหละเนอะพี่ทิม”
ข้องคือพาชนะใส่ปลาที่ทำจากไม้ไผ่เช่นกัน
ขากลับทับทิมเป็นคนซ้อน จ้อยออกแรงปั่นจักรยานพาเธอมุ่งหน้ากลับบ้านท่าทางสบายๆ จ้อยแข็งแรงเหลือเชื่อ ความเร็วรถจักรยานที่วิ่งดูจะเร็วกว่าตอนที่เธอเป็นคนปั่นเสียอีก
กำลังชื่นชมอยู่ดีๆ ตัวจักรยานก็เอียงวูบ
เธอล้มลงไปนอนแอ้งแม้งริมถนน ดีทว่าบริเวณนั้นหนาแน่นไปด้วยต้นหญ้าเธอเลยไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่...
เธอล้มลงไปพร้อมกับเสียงท่อไอเสียที่ดังแสบแก้วหู
กับฝุ่นที่ลอยตลบ ไอ้คนขับมอเตอร์ไซค์บิ้กไบท์คันนั้นนั่นเอง คนขับใจดำขนาดไม่เหลียวกลับมาดูด้านหลังด้วยซ้ำ เขาขับรถเหมือนอยู่กลางสนามแข่ง ไม่ได้ดูข้างทางว่ามีรถคันอื่นแล่นอยู่หรือเปล่า มันเป็นเพราะความตกใจของจ้อย เด็กชายเลยหักหน้ารถหลบ จนรถจักรยานล้มนั่นเอง
“ไอ้บ้านั่นมันจะรีบไปตายหรือไงหะ!!” ทับทิมบ่น เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดเศษหญ้าบนตัว
“พี่ทิมไม่เจ็บนะ?” จ้อยถาม สีหน้าสลดลงเลย
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าให้เจอนะ พี่จะเฉ่งหมอนั่นให้หูชาเลย” หญิงสาวตอบพร้อมกับบ่นมอเตอร์ไซค์บิ้กไบท์คันนั้นต่อ