เพราะอาการเจ็บป่วยของมู่ซูเจินดีขึ้น เจิ้งซวีจูจึงได้รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตใหม่ที่เก็บมาได้นี้ มู่ซูเจินตอนนี้อายุสิบเจ็ดปีแล้ว นางเป็นบุตรคนที่สามของใต้เท้ามู่เหิน ซึ่งดำรงตำแหน่งองครักษ์ติดดาบทองขั้นหนึ่ง เป็นคนข้างกายของเจ้าผู้ครองแคว้น พี่ชายใหญ่เกิดจากฮูหยินใหญ่เช่นเดียวกับนาง ชื่อ มู่หยาง ตอนนี้เป็นองครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาท นางยังมีพี่น้องต่างมารดาอีกสองคนนั่นคือ พี่ชายรอง มู่อวี้เหอเป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำวังหลวง ตำแหน่งไม่ได้น้อยไปกว่าพี่ชายใหญ่เลย และก็มีน้องสาวอยู่ผู้หนึ่งคือ มู่ซูอวี๋ น้องสี่ของนางผู้นี้อายุสิบหก อ่อนกว่านางอยู่หนึ่งปี รูปร่าง หน้าตา กิริยามารยาทล้วนงดงามอ่อนช้อย
มารดาของนางกับพี่ชายใหญ่คือจุ่ยจื้อชิง เป็นคุณหนูตระกูลคหบดีแห่งเมืองหลวง ร้านรวงในฝั่งบูรพาแทบทั้งหมดเป็นของตระกูลฝั่งมารดาของนางทั้งสิ้น ส่วนฮูหยินรองคือ เหวินเหลียนอัน เป็นบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังซึ่งเป็นสหายของบิดา กินตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งที่เจ้าผู้ครองแคว้นไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลเหวินจึงมีหน้ามีตาอยู่ในเมืองหลวงไม่แตกต่างจากตระกูลจุ่ยของมารดาเลยสักนิด
นับตั้งแต่สุขภาพเริ่มดีขึ้น ก็เฝ้าทบทวนทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ สายตาอิจฉาและอยากให้นางตายที่สัมผัสได้ในคราวนั้นมาจากใครกัน จนป่านนี้ก็ยังไม่กระจ่างใจเลย เพราะเหตุนี้จึงอ้างเหตุเจ็บป่วยเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพำนัก แถมยังไม่ยินยอมให้ใครมาเยี่ยมเยือน แม้แต่บิดากับมารดา ก็ยังไม่กล้าพบหน้าพวกท่าน
อาจเป็นเพราะนางกลัว...กลัวเหลือเกินว่าจะแสดงท่าทีอะไรที่ต่างไปจากมู่ซูเจินที่ทุกคนรู้จัก บางทีกระทำผิดพลาดเพียงนิดเดียว กระบี่จากตระกูลที่ดำรงตำแหน่งองครักษ์ข้างกายของผู้ครองแคว้นมาหลายชั่วอายุคนอาจเปลี่ยนทิศทางมาปลิดชีวิตตนก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันเรื่องผิดพลาด นางต้องเป็นมู่ซูเจินที่ทุกคนไม่มีวันจับพิรุธได้
แต่จะทำได้ดีสักแค่ไหน ในเมื่อก่อนจบชีวิตลงนางมีอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น การทำความรู้จักกับเรื่องภายนอกยังเป็นเรื่องไกลตัว นอกจากกิริยามารยาทที่ท่านแม่สอนสั่งแล้วแทบทำอะไรไม่เป็น และก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
พิณ หมาก กลอน ร่ายรำ คัมภีร์สตรี จรรยามารยาทพวกนั้นแม้จะเรียนมาบ้างแต่มันจะใช้ได้สักแค่ไหนกันเชียว ในเมื่อร่างนี้เป็นถึงบุตรสาวคนที่สามขององครักษ์เฒ่า คนสนิทข้างกายของเจ้าผู้ครองแคว้น ผู้คนมากมาย หรือแม้แต่ขุนนางนับไม่ถ้วนก็ยังให้ความเคารพยำเกรง ตำแหน่งของท่านพ่อไม่ได้แตกต่างจากอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาขั้นหนึ่งเลยสักนิด
หลายชั่วยามมานี้ สาวใช้คนสนิทอย่างเสี่ยวเหยาจึงเอาแต่ลอบมองท่าทีของคุณหนูสามอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเห็นคุณหนูเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนตั่งตัวยาวข้างหน้าต่างเช่นนั้นก็ยิ่งปิดความเป็นห่วงเป็นใยไว้ไม่มิด
นับตั้งแต่คุณหนูหายจากอาการป่วย ทุกๆ วันไม่เพียงไม่ก้าวออกจากเรือน สีหน้าท่าทางก็ยังไม่สดใส ยิ่งตอนนี้คุณหนูสวมเพียงอาภรณ์สีขาว ปล่อยเส้นผมยาวสลวยทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตกสีดำ ยิ่งมองก็ยิ่งดูบอบบางราวกับกิ่งหลิวที่พร้อมปลิดปลิวไปตามลม จนสุดท้ายถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความห่วงใยเอาไว้ไม่ไหว
เสี่ยวเหยารีบหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวซึ่งผ่านการตัดเย็บอย่างดีแล้วเดินเข้าไปหา
“คุณหนู แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็เย็นนักท่านนั่งข้างหน้าต่างนานๆ เช่นนี้ เดี๋ยวจะกลับไปล้มป่วยได้นะเจ้าคะ” ว่าพลางคลุมเสื้อลงบนบ่าให้อย่างเบามือ เมื่อคุณหนูสามเงยหน้าขึ้นมองก็ได้แต่ยิ้มด้วยตาแดงๆ “ถ้ายังไงให้บ่าวปิดหน้าต่างดีหรือไม่”
“ช่างเถิด”
มู่ซูเจินโบกมือห้าม เพราะต่อให้นางขังตัวเองอยู่ในเรือนเช่นนี้ก็ยังอยากทอดสายตามองด้านนอกอยู่ดี หวังเหลือเกินว่าทิวทัศน์รอบๆ เรือนพำนักที่มีชื่อว่า เรือนเร้นจันทร์แห่งนี้จะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจให้ดีขึ้นบ้าง หรือต่อให้ไม่ช่วยอะไรเลย อย่างน้อยๆ ก็เชื่อว่ากลิ่นหอมของดอกหลิงเซียวที่เกาะเกี่ยวกับภูเขาหินจำลองตรงมุมกำแพงจะช่วยให้ผ่อนคลายบ้าง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำเอาสับสนเหลือเกิน เจิ้งซวีจูไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะใช้ชีวิตในร่างของมู่ซูเจินได้ดีสักแค่ไหน หรือสุดท้ายแล้วนางอาจเป็นคนทำร้ายชีวิตของผู้อื่นให้เจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้
แต่ความคิดทั้งหลายพลันหยุดลง เมื่อน้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักใคร่ที่ปิดไม่มิดของใครคนหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในหู “เจินเอ๋อ แม่เข้าไปหาลูกได้หรือไม่”
ฝ่ามือบางนุ่มภายใต้ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวสั่นเทาเล็กน้อย มือทั้งสองข้างกำแน่นจนชื้นเหงื่อไปหมด นางหลุบตาลงพยายามซุกซ่อนสีหน้าตื่นตกใจไม่ให้เสี่ยวเหยาเห็น แต่ถึงกระนั้นก็รู้ว่ายังทำได้ไม่ดีนัก
“คุณหนู ฮูหยินใหญ่มาเจ้าค่ะ”
อยากจะบอกปัด ไม่ให้สตรีที่ใกล้ชิดเจ้าของร่างเข้ามาหา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความหวาดหวั่นลงคอ แล้วเดินไปหาสตรีที่เป็นนายหญิงตราตั้งขั้นหนึ่งผู้นั้น
“ลูกคารวะท่านแม่” เพียงเดินอ้อมฉากไม้แกะสลักลายดอกไห่ถังออกมาได้ ก็ยอบกายคำนับมารดาเจ้าของร่างอย่างอ่อนช้อย อาจเป็นเพราะใบหน้าซูบเซียว ร่างกายผ่ายผอมเพราะป่วยหนักมานานหลายปีจึงทำให้ร่างกายดูบอบบางยิ่งกว่าที่เคยเป็น ท่าทีคล้ายลมพัดเพียงครั้งร่างกายก็จะแหลกสลายทำให้ จุ่ยซื่อต้องรีบคว้าแขนบุตรสาวอย่างรวดเร็ว
“เจินเอ๋อ เป็นเช่นไรบ้าง หลายวันมานี้เจ้าไม่ยอมให้แม่มาดูอาการเลย เจ็บป่วยที่ใดอีกหรือไม่ ให้แม่ตามหมอมาดูอาการเจ้าอีกครั้งดีไหม”
เจิ้งซวีจูในร่างของมู่ซูเจินยังคงก้มหน้า น้ำตาอุ่นร้อนรื้นขึ้นจนหยาดไหลอาบพวงแก้ม เพียงได้ยินถ้อยคำห่วงใยก็พลันนึกถึงท่านแม่ของนาง ท่านแม่ที่ต้องตายอย่างอนาถ แม้แต่พิธีฝังศพก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำให้ท่านเลย
“ท่านแม่” เสียงที่เอ่ยออกมาจึงสั่นสะอื้นชัดเจน
จุ่ยจื้อชิงรีบประคองบุตรสาว พาไปนั่งยังตั่งตัวยาวแถมยังรีบร้อนปิดหน้าต่างให้อีก “ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรงดีนัก เหตุใดถึงปล่อยให้ลมเย็นๆ ด้านนอกพัดเข้ามาในนี้ได้เล่า ถ้าร่างกายถูกความเย็นเข้าจะไม่ป่วยอีกหรือ”
“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลูกดีขึ้นแล้ว” ถึงจะตอบออกมาแต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าสบตากับมารดาเจ้าของร่างเท่าไรนัก ตอนนี้สิ่งที่ฮูหยินใหญ่เห็นจึงเป็นภาพบุตรสาวนั่งตัวสั่น ท่าทางดูเวทนาน่าสงสารยิ่ง
“เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ลูกไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ”
“แม่ดีใจนัก ดีใจที่ได้เห็นเจ้าพูดคุยกับแม่เช่นนี้”
“ท่านแม่...”
“ถ้ายังไง เจ้าเงยหน้าให้แม่ดูหน่อยได้หรือไม่ แม่ไม่ได้มองเจ้าให้ชัดมานานแล้ว”
คำเรียกร้องจากมารดาเจ้าของร่างทำให้เจิ้งซวีจูได้แต่กลั้นหายใจ ความหวาดหวั่นที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า นางหวาดหวั่นเสียจนมือที่อยู่ใต้ชายแขนเสื้อสั่นเทายิ่งกว่าเดิม กระทั่งฝ่ามืออบอุ่นข้างหนึ่งทาบหลังมือของนาง ส่วนอีกข้างค่อยๆ แตะแก้มซีดเซียวด้วยท่าทีทะนุถนอมอ่อนโยนยิ่ง
“เจินเอ๋อของแม่”
น้ำเสียงแผ่วเบาปะปนมาพร้อมกับการขอร้องนั้นทำให้เจิ้งซวีจูไม่อาจปฏิเสธได้ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตากลมโตราวกับพระจันทร์เต็มดวง ผิวแก้มแม้จะยังซีดเซียวแต่ก็ดูขาวเนียนละเอียดราวกับผิวไข่มุกล้ำค่า จมูกของนางรับกับริมฝีปากสีระเรื่ออมชมพูคล้ายกับกลีบดอกเหมยยังคงดูเย้ายวนเสมอ แม้จะเพิ่งหายจากอาการป่วยไข้แต่ก็เผยให้เห็นประกายมีชีวิตชีวาและความงามล้ำชัดเจน