3. เริ่มงานวันแรก (1)

1508 Words
“เธอเป็นคนแรกและจะเป็นคนเดียวของผม” คำพูดของควินน์ทำเอาฉันอยากกลั้นหายใจแล้วหายตัวไปจากตรงนี้เสียจริงๆ พร้อมกับคำถามในใจที่ว่า ทำไงดียัยรสา...คิดสิคิด “ผมล้อเล่นครับ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้นสิ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับผู้จัดการวง...คนใหม่” เขาพูดจบก็ค่อยๆเดินออกไปจากห้องประชุม สิ่งที่ควินน์พูดออกมาทำเอาฉันถึงกับอารมณ์ค้างกับความตกใจอยู่อย่างนั้นสักพัก เพราะความรู้สึกของฉันมันบอกกับฉันว่า เขาไม่ได้ล้อเล่นอย่างที่พูดออกมาเลยสักนิดและเหมือนว่าเขาจะจำเรื่องราวของเราในคืนนั้นได้ จนเมื่อมองไปรอบๆห้องแล้วไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ฉันจึงได้มีโอกาสถอนหายใจออกมากับความอึดอัดที่เพิ่งได้เจอ ว่าแต่ เดี๋ยวนะ จากประวัติของเขาที่พี่วาวให้ฉันมาอ่านนั้น บอกมาว่าเขาแทบจะไม่ค่อยพูดคุยกับใครเลยนะ แล้วเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในวงแล้ว แต่ไอ้การที่เขามาหยอกล้อเล่นกับฉัน จนฉันเกิดอาการกลัวนี่มันคืออะไร ถ้าไม่พูดถึงอดีตที่ผ่านมา นี่เราสองคนเพิ่งรู้จักกันวันแรกเองนะคะ เขาก็ทำเอาฉันเครียดไปแล้ว เฮ้ย แบบนี้จะไหวไหมนะรสา เวลาต่อมา @สวนสาธารณะ หลังจากที่พี่วาวได้ทำการลอยแพฉันเป็นที่เรียบร้อย โดยให้ฉันต้องลุยงานเองกับเหล่าคนหล่อที่ดังระดับเอเชียตั้งแต่วันแรก ทำเอาฉันมีอาการเกร็งอยู่ไม่น้อยเวลาที่ต้องสื่อสารและพูดคุยกับพวกเขาให้ทำตามที่ทางลูกค้าที่ว่าจ้างมาต้องการให้ทำ “คุณโรสคะ คือทางทีมงานคุยกันแล้วว่าอยากให้ควินน์ยิ้มออกมาหน่อยน่ะค่ะในเซตการถ่ายชุดต่อไป เพราะเช็ตต่อไปจะเป็นตรีมวันเดอฟูล แบบสนุกสนานน่ะค่ะ คุณโรสช่วยบรีฟควินน์ตามนี้ให้ได้ไหมคะ” หนึ่งในทีมงานเดินเข้ามาบอกฉันด้วยสีหน้ากังวลและขอร้องอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ถ่ายแบบเซตที่สองจบไป ซึ่งเหลือถ่ายอีกสองเซตก็จะจบงานนี้ “เมื่อกี้ฉันก็เห็นพวกคุณเข้าไปบรีฟงานให้ทุกคนเองไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมกับควินน์ต้องมาบอกให้ฉันช่วยบรีฟควินน์อีกล่ะคะ” ฉันเอ่ยถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เมื่อถ่ายมาสองเซตฉันก็เห็นทีมงานคุยกับพวกเขาทั้งห้า ไม่ใช่สิ จากที่สังเกตเหมือนแค่สี่คน ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับควินน์เลยสักคน แต่ควินน์ก็ทำงานออกมากลมกลืนกับทุกคนเหมือนกับว่าพวกเขาทั้งห้าคนทำงานแบบมองตาก็เข้าใจกันว่าต้องทำอะไรกันบ้าง “เอ่อ คือว่า เอ่อ” “คือยังไงคะ” “ไม่มีใครกล้ายุ่งกับควินน์ค่ะ อันที่จริงวงแบดกายแทบจะไม่รับงานถ่ายแบบนี้เลยโดยเฉพาะควินน์ ควินน์น่ะเรื่องถ่ายแบบจะไม่เอาเลย แต่ทางเจ้าของบริษัทที่เป็นลูกค้าไปขอร้องคุณพิศิษฐ์ให้ช่วยพูดกับพวกเขาทั้งห้าคนให้มาถ่ายแบบครั้งนี้ ถึงได้เกิดการถ่ายแบบลงปกนิตยสารที่รวมสมาชิกทุกคนขึ้นครั้งแรกเลย ยังไงช่วยพวกเราหน่อยได้ไหมคะคุณโรส ช่วยบรีฟงานนี้ให้ควินน์หน่อยแค่เซตนี้เซตเดียวเท่านั้นค่ะ” “อืมม จะลองพูดให้นะคะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยอมฟังฉันหรือเปล่า เพราะวันนี้เป็นการทำงานวันแรกของฉันเหมือนกันค่ะในฐานะผู้จัดการของวงแบดกาย” ฉันเน้นหนักเสียงตอนเอ่ยคำว่าแบดกายออกมาอย่างหนักใจก่อนจะเดินไปหาบุคคลที่เหล่าทีมงานส่งตัวแทนมาบอกให้ฉันช่วย “ขอบคุณมากเลยนะคะคุณโรส” หนึ่งในทีมงานเอ่ยขอบคุณฉันเสร็จก็รีบวิ่งไปแจ้งทีมงานของเขาทันที ทำให้ฉันถอนหายใจอีกครั้งซึ่งไม่รู้ว่ามันครั้งที่เท่าไหร่แล้วก่อนจะเดินไปหาควินน์ที่นั่งพักรอคิวถ่ายเซตต่อไป “น้องควินน์คะ” ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาไม่พอใจแบบนั้นตอนฉันเรียกชื่อเขา “ผมลูกคนเดียว” อ้อ ไม่ชอบให้ใครเรียกน้องอีก เป็นคนหล่อที่เอาใจยากชะมัด “คุณควินน์คะ” คราวนี้ฉันเปลี่ยนสรรพนามด้านหน้าให้เขาใหม่ดูเป็นทางการขึ้น “เรียก ควินน์ เฉยๆก็ได้ไม่ต้องพูดเป็นทางการขนาดนั้นหรอกครับ” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับสายเย็นชาของเขาทำเอาฉันไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว ทำให้ฉันยืนมองหน้าเขานิ่งแทนที่จะพูดในสิ่งที่ถูกไว้วานมา “ว่าไงครับ มีอะไรกับผมหรือเปล่า” ประโยคคำถามต่อมาของเขาทำให้ฉันได้สติขึ้นมาทันที “เอ่อ คือว่า ทางทีมงานเขาอยากให้คุณ เอ๊ย ควินน์ ยิ้มในเซตที่จะถ่ายต่อไปหน่อยค่ะ” “ยิ้ม?” เขามีสีหน้าไม่เข้าใจตอบกลับใส่ฉันมาทันทีหลังจากที่ฉันพูดออกไป ที่ฉันพูดไปมันเข้าใจยากเหรอ “คือตอนที่ถ่ายน่ะ อยากให้ควินน์ฉีกยิ้มนิดนึง แบบประมาณนี้จะได้มั้ยคะ” ฉันฉีกยิ้มให้เขาดูเป็นตัวอย่างยิ้มบางๆแบบถ้าเป็นเขายิ้มคงดูมีเสน่ห์มากๆ “ทำไมผมต้องยิ้มแบบนั้น” เขาเดินเข้ามาใกล้ตัวฉันจนฉันได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากตัวเขา พร้อมกับคำถามที่ใบหน้าเข้ามาชิดจนจมูกเราเกือบชนกัน ฉันต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวและในขณะที่กำลังจะก้าวถอยอีกก้าว อยู่ๆมือของเขาก็คว้ามาที่เอวของฉันอย่างไม่ตั้งตัวจนหน้าอกของเราปะทะชนกันโดยที่ฉันไม่ตั้งใจ ส่วนอีกฝ่ายตั้งใจไหมดูจากสีหน้าฉันก็มองไม่ออก “ข้างหลัง” เขาพูดออกมาทั้งที่ฉันยังจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่องที่มาทำอย่างนี้กับฉัน จนฉันหันหลังไปมองก็เจอตอไม้เตี้ยๆ ซึ่งถ้าฉันก้าวไปอีกก้าวเดียวอาจจะสะดุดล้มไปได้ “ขอบคุณค่ะ ช่วยปล่อยได้ไหมคะ ยืนเองได้แล้ว” เขาปล่อยแขนออกจากเอวของฉันหลังจากที่ฉันพยายามทรงตัวให้ไม่ล้มโดยไม่พูดอะไรตามสไตล์เขาเหมือนเดิม “ตกลงทำได้ไหมคะที่ทางทีมงานขอให้ทำ” ฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หวานที่สุดในชีวิตอย่างใจเย็นพร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติจากที่ไม่พอใจ “อืมม จะพยายาม มีเท่านี้ใช่ไหมครับ” “ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันบอกออกไปก่อนจะเดินออกมาจากมุมพักของเขาที่ไม่ได้ห่างจากมุมถ่ายแบบเท่าไรนัก “ทุกคนคะ ถ่ายเซตต่อไปได้แล้วค่ะ” หนึ่งในทีมงานตะโกนบอกให้ทุกคนเตรียมตัว ส่วนเหล่าสมาชิกวงแบดกายก็ค่อยๆเดินมารวมตัวโดยมีเหล่าช่างแต่งหน้าเข้าไปรุมซับหน้า เติมแป้งให้เพื่อให้ได้ภาพตามที่ผู้กำกับต้องการ “คุณโรสคะ เป็นไงบ้างคะ ควินน์ยอมทำให้ไหม” ทีมงานคนเดิมที่ขอมาให้ฉันช่วยเข้ามาเอ่ยถามในขณะที่คนอื่นๆกำลังจัดฉากและเซ็ตมุมกล้อง “บอกว่าจะพยายามนะคะ” “จริงเหรอคะ ขอบคุณมากนะคะคุณโรส” แล้วทีมงานคนนั้นก็เดินไปบอกผู้กำกับด้วยสีหน้าดีใจจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเธอต้องดีใจขนาดนี้ “สำหรับเซตนี้นะครับ ขอเป็นแบบสนุกสนาน มีความสุขกับธรรมชาติ คือว่ายิ้มให้กับกล้องแบบมีความสุขนะครับ” หลังจากผู้กำกับพูดจบ เขาก็เดินมานั่งที่จอมอนิเตอร์ก่อนที่เริ่มถ่าย “เซตสอง...เริ่มค่ะ” เสียงชัตเตอร์จากกล้องสามตัวที่ระดมกดไปยังกลุ่มคนห้าคนอย่างรัว พร้อมแสงแฟลตที่สาดเข้าไปที่ใบหน้าพวกเขาแต่ละคนที่มีสีหน้าราวกับรูปปั้นกรีก ฉันไม่รู้ว่าสีหน้ามีความสุขและมีรอยยิ้มของพวกเขาทั้งห้าคนนั้นมันคือความรู้สึกจากข้างในจริงๆหรือเปล่า แต่มีแววตาของคนคนหนึ่งในกลุ่มห้าคนนั้นที่ฉันรู้สึกว่ามองมาที่ฉันอย่างไม่วางตา ฉันว่าฉันไม่ได้คิดหรือเข้าข้างตัวเองไปเองนะ ฉันรับรู้ได้ถึงแววตานั้นมองมาที่ฉันจริงๆ จนกระทั่งการถ่ายแบบของวันนี้ได้จบลงไป แต่งานของฉันวันนี้ยังไม่จบน่ะสิ พวกเขาทั้งห้าคนยังต้องไปอัดรายการของรายการรายการหนึ่งต่ออีก เฮ้อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD