หญิงสาวใบหน้าเรียวรูปไข่สวมเสื้อสเวตเตอร์ตัวหนา ใบหน้าสวยนั้นแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนบาง เลยทำให้เธอผู้นั้นแลดูมีผิวหน้าเด็กลงว่าอายุจริงอยู่มากโข หญิงสาวยืนเกาะรถเข็นกระเป๋าเดินทางซึ่งมีหลายใบด้วยกัน ก่อนชะเง้อคอยืดยาวกวาดตามองหาญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว
“เฮ้อ!...เมมารอนานแล้วนะคะคุณลุงขา เมื่อไหร่จะมารับเมเสียทีล่ะคะ จะให้รออีกนานสักแค่ไหนกัน...”
มายาวีอดบ่นในใจไม่ได้ พลางระบายลมหายใจหนักหน่วงออกมานับครั้งไม่ถ้วน ตัดสินใจเดินลากทั้งขาอ่อนเปลี้ยพร้อมด้วยรถเข็นบรรจุกระเป๋าเดินทางแสนหนักอึ้ง ออกมานั่งพักขายังเก้าอี้ทรงกลมด้านนอกของห้องผู้โดยสาร ชะเง้อคอยาวมองทางเดินตลอดเวลา หากยังไม่ปรากฏญาติผู้ใหญ่ที่รับปากว่าจะมารับสักที
เมื่อปลายสายที่เธอเพียรพยายามโทรหามาราวครึ่งชั่วโมง กดโทรหาเท่าไหร่ฝั่งนั้นกลับไม่ยอมเปิดตัวเครื่อง ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี จนสีหน้านั้นชักเริ่มเปลี่ยนสี
“เอ...ทำไมคุณลุงถึงไม่ยอมเปิดเครื่องล่ะ นี่ก็เลยเวลานัดมาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง”
มายาวียกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นดูเวลา ใบหน้าเรียวรูปไข่ประดับด้วยแพขนตางอนงามอยู่เหนือดวงตากลมโตวาวใส ปลายจมูกเล็กรั้นโด่งพอดีรองกับเรียวปากอิ่มรูปกระจับ ทุกองค์ประกอบบนหน้าของหญิงสาว ล้วนช่วยส่งเสริมให้มายาวีกลายเป็นผู้หญิงสวยหวานอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
หญิงสาวเม้มกลีบปากเข้าหากัน ใจคอเริ่มนึกเป็นห่วงคุณลุงขึ้นมาตงิด ท่านไม่น่าจะลืมนัด หรือว่าคุณลุงจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่า?นะ
ทั้งที่ความจริง ตามเวลานัดหมาย คุณลุงบวรต้องมารับเธอที่สนามบินเดอรัมแห่งนี้ได้นานแล้วนี่นา หรือว่าท่านเกิดติดธุระไปที่อื่นก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมารับเธอ แต่ท่านก็ไม่น่าจะปิดมือถือนี่นา ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตัวคุณลุงก็สมควรส่งข้อความมาบอกเธอเอาไว้ก่อนก็ยังดี
มายาวีลุกยืนเดินกระสับกระส่าย รู้สึกไม่ค่อยสู้ดีกับสถานการณ์เช่นนี้สักเท่าไหร่ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกของการเดินทางไกล ชนิดข้ามน้ำข้ามทวีป มาต่างถิ่นต่างแดนคนเดียวก็ว่าได้
ประเทศอังกฤษ...
เป็นประเทศที่เธอเคยใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เป็นเด็ก เธออยากลองมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงสักครั้ง เธอหลงใหลในความงดงาม ความละลานตาของธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมทั้ง ศิลปะ วัฒนธรรมของประชากรที่นี่ และที่สำคัญ มีคนไทยจำนวนไม่น้อย นิยมส่งบุตรหลานให้มาศึกษาต่อยังมหาลัยชื่อดัง ภายในประเทศที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งสายหมอกก็มากมายเช่นเดียวกันด้วย
นับว่าถือเป็นใบเบิกทางชิ้นสำคัญ เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของชีวิต ตัวเธอเองก็เช่นเดียวกัน ใจนั้นอยากลองหาประสบการณ์ความแปลกใหม่ สวนอีกใจนะเหรอ มายาวีมีสีหน้าสลดลง เธอต้องการวิ่งหนีความจริงบางประการที่มันคอยสร้างแต่ความเจ็บปวดต่อหัวใจเธอมากกว่านะสิ
แม้ในตอนแรกคุณประพรตบิดาของเธอ ท่านนั้นไม่ได้ให้การสนับสนุน ท่านต้องการให้เธอเรียนที่ประเทศไทย ถึงขั้นออกปากสั่งห้ามเด็ดขาด ทว่าตัวเธอหาได้สนใจไม่ ถึงอย่างไรเธอยังยืนยันกับท่านเสียงหนักแน่น เธอต้องการเดินทางมาเรียนต่อยังประเทศอังกฤษเท่านั้น และจะไม่ขอใช้เงินของท่านแม้สักสตางค์แดงเดียว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
เธอมีเงินส่วนตัวในบัญชีธนาคาร เป็นเงินของมารดาที่ท่านทำพินัยกรรมแยกไว้ให้เธอต่างหาก ไม่มีใครสามารถแตะต้องเงินจำนวนนี้ได้ แม้กระทั่งบิดาของเธอเอง
โดยเดิมทีหญิงสาววางแผนเอาไว้ในใจเสร็จสรรพ หลังจากตนเองเรียนจบปริญญาโท แล้วเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ เธอจะขอพี่รบิลเข้าทำงานที่บริษัทเดียวกันกับเขา จะไม่ขอรับตำแหน่งงานใดๆในเครือของโรงแรมที่มีบิดานั่งเก้าอี้ผู้บริหารอยู่ โดยเธอจะให้เหตุผลกับท่าน ขอลองหาประสบการณ์จากการทำงานให้กับบริษัทอื่นดูก่อนแล้วค่อยว่ากันถึงเรื่องอนาคตอีกที ถึงวันนั้นเธอยังจะอยากนั่งเก้าอี้เป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงแรมอีกหรือไม่...
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้น ชายหนุ่มที่เธอมอบหัวใจรักทั้งหมดให้เขาจะได้แต่งงานกับน้องสาวต่างมารดาของเธอแล้วหรือยัง พอนึกถึงเรื่องนี้...
พลอยทำให้นัยน์ตาเจิดจรัสนั้นดูหม่นมัวลงทันที...
ความจริงที่เธอกำลังวิ่งหนีมัน เป็นความเจ็บปวดเดียวที่เธอไม่สามารถกำจัดมันทิ้งได้
ความจริงที่ว่านั้น คือ... พี่รบิลไม่ได้รักเธอ แต่เขารักโมนา น้องสาวต่างมารดาของเธอหมดทั้งหัวใจต่างหาก...
มายาวีปล่อยความคิดให้ล่องลอยกับความเศร้าหมอง ก่อนหญิงสาวจะรีบดึงมันกลับมาแล้วรวบรวมตั้งสติใหม่ เธอเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ซึ่งเขาเป็นคนไทยเหมือนกัน ชายหนุ่มคนนั้นกำลังเดินตรงมาทางนี้ที่เธอนั่งอยู่ น่าจะเป็นคนของคุณลุงส่งมารับเธอ
มายาวีรีบผุดลุกขึ้นยืน แล้วเปิดเผยรอยยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกโล่งใจ
“เอ่อ!...” แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นมีอันต้องเจือนลงในเวลาต่อมา เมื่อชายหนุ่มคนดังกล่าว เขากลับเดินเลยจุดที่เธอนั่งไปหาสาวฝรั่ง เจ้าหล่อนกำลังนั่งตรงม้านั่งถัดห่างจากเธอไปไม่ถึงสองเมตร ทั้งคู่สวมกอดกันกลมดิก
เขาไม่ใช่คนของคุณลุงบวร...เฮ้อ!แล้วเมื่อไหร่ท่านจะมา หญิงสาวยกมือขึ้นยันศอกก่อนประกบกันแล้วลองใต้คาง เอียงใบหน้ามุ่ยด้วยความรู้สึกเซ็งสุดชีวิต
หากมายาวีนั่งเหงาอยู่เพียงไม่นาน เสียงเรียกด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว ทักทายเธอมาจากเบื้องหน้า
“คุณครับ...”
“คะ? ...”
มายาวีขานรับเสียงฉงน ก่อนร่างกลมกลึงจะสะดุ้งตกใจตอนเธอเงยหน้าขึ้น แล้วพบเข้ากับชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่มากคนหนึ่งเข้า เขาสูงชนิดที่เรียกได้ว่าถ้าหากยืนเทียบกัน ตัวเธอคงเล็กเหลือเพียงช่วงอกเขาเท่านั้น
หญิงสาวย่นใบหน้างาม กดหัวคิ้วโก่งมองชายหนุ่มต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาเอาการ แล้วเม้มกลีบปากเข้าหากัน เขาน่าจะสูงเกินสองเมตรขึ้นไป เลยพลอยทำให้เธอต้องแหงนใบหน้าขึ้นสูง เพื่อสนทนากับเขา
มายาวีเลื่อนสายตาสงสัยผ่านหน้าอกผึ่งผายของเขา มาจนถึงสันคางบึกบึน ริมฝีปากหยักได้รูปสีเข้มจัด บ่งบอกว่าเขาเป็นคนสูบบุหรี่ ปลายจมูกโด่งจนเห็นเป็นสันคมยาวรับกับดวงตาสีควันบุหรี่ที่มองมายังเธอแววตาเป็นประกาย ทำเอาหญิงสาวรีบถอยเท้าออกห่างจากร่างสูงอย่างอัตโนมัติ
“คุณคือ คุณมายาวี วิจิตรนานุเคราะห์...” เขาใช้ภาษาอังกฤษได้ดี อาจเพราะเขาเป็นคนที่นี่
“เอ่อค่ะ...ฉันมายาวี แล้วคุณล่ะคะ เป็นใคร...” มายาวีย้อนถามเขากลับ คิ้วเรียวสวยคลายตัวเป็นเส้นตรง เพราะคิดว่าเขาอาจเป็นคนของลุงบวรส่งให้มารับตนเอง ในเมื่อเขาเองก็รู้จักชื่อของเธอดี
เดวิสไม่ได้แนะนำตัวเอง เขาเพียงแจ้งจุดประสงค์
“ผมมารับคุณแทนคุณบวร...” เขาเฉลยในสิ่งที่หญิงสาวคิดเอาไว้อยู่ก่อน มายาวีจึงพยักหน้า ไม่ได้เอะใจถึงอันตราย
“และนี่เป็นจดหมาย เขาฝากผมมาให้กับคุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณ พร้อมยื่นมือรับแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมมาเปิดอ่านถึงรายละเอียดด้านในรวดเดียวจนจบ
ใจความสำคัญนั้น คือตอนนี้ลุงบวรได้บินไปทำงานยังประเทศฝรั่งเศส ยังไม่รู้จะกลับมาถึงประเทศอังกฤษวันไหน เพราะงานที่นั่นยังสะสางไม่เสร็จเรียบร้อย เจอปัญหาสำคัญต้องรีบแก้ไขเป็นการเร่งด่วน ให้เธอเดินทางกลับมาพร้อมกับคนที่มารับได้เลย ส่วนที่พักให้มาค้างยังคอนโดส่วนตัวของท่านไปพลางๆก่อน เอาไว้ท่านกลับมาจากฝรั่งเศสเมื่อไหร่ ท่านจะพามาหาบ้านเช่า ซึ่งอยู่แถวมหาวิทยาลัยตามที่เธอแจ้งความต้องการกับท่านก่อนจะบินมาถึง
และผู้ชายตัวโตคนนี้ เขาเป็นคนของท่านเอง ให้เธอไว้ใจชายหนุ่มคนนี้ได้เลย เขาจะเป็นคนพาเธอไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินแห่งนี้พอสมควร และจะช่วยเธอจัดการเกี่ยวกับทุกเรื่องตอนท่านไม่อยู่
มายาวีผ่อนลมหายใจตอนพับจดหมายเก็บใส่กระเป๋าสะพาย จิตใจมันรู้สึกว้าวุ่นแปลกๆ และพอเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกที เธอจึงเห็นเจ้าของร่างสูงกว่าสองเมตรกว่า เขาคว้าเอารถเข็นกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากของเธอเข็นมารอเธอด้านหน้า ดวงตาเรียวยาวคล้ายสายตาของเหยี่ยว จับตามองมาทางเธอเขม็ง ก่อนเขาเอียงคอเป็นการส่งสัญญาณ
“ไปกันได้แล้วครับ รถของผมจอดอยู่ตรงนู้น”
“อ้อ...ค่ะ...”
หญิงสาวสะดุ้งตอนเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับดวงตาเรียวใหญ่คล้ายเม็ดผลอัลมอนด์ เลยต้องทำทีรีบพยักหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการเงอะงะของตัวเอง แล้วก้าวเท้าตามร่างสูงที่เดินลากรถเข็นนำหน้าเธอไปอย่างเงียบเชียบ ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าเขาดูไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา และเธอสมควรอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้เป็นดีที่สุด...
*********************