ฉูปินไห่นึกครึ้มใจขึ้นมาร่ายรำเพลงกระบี่ในลานดอกเหมยแล้ว ดื่มสุราราดรดกายตนพร้อมทั้งฝึกท่วงท่าวิชายุทธที่สืบทอดกันมานานในสกุลฉู ด้วยชาติก่อนนั้นหล่อเหลามิเท่าเทียมในชาตินี้ จึงมิใคร่ได้ร่ายรำมัน แต่ในชาตินี้นั้นฉูปินไห่ผู้นี้หล่อเหลายิ่ง เมื่อมีความหล่อเหลาล่อลวงสตรีได้เช่นนี้ ฉูปินไห่จึงใช้ร่างกายที่สง่างามหล่อเหลานี้ให้พอ ร่างกายสูงโปรงใบหน้างดงามแบบบุรุษยั่วเมืองร่ายรำกระบี่อย่างอ่อนช้อยพริ้วไหวดั่งสายลม ร่ายรำจนแขนเสื้อนั้นโบยบินตามท่วงท่าร่ายรำกระบี่ตามไปด้วย ผู้ใดในจวนฉูมาพบเข้า ล้วนย่อมล่ะสายตาไปมิได้เลย ท่านอาเก้าฉูหมิงเหิงยืนมากอดอกมองแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างชื่นชม ส่วนท่านอาสิบฉูไท่ชิงนั้นมายืนกอดเสาเรือนต้นหนึ่งแล้วหัวเราะดังขึ้นมาสิ้น “ฮร้า มิเสียแรง มิเสียแรงที่พวกเรานั้นสั่งสอนเสี่ยวปินเอ๋อร์มามากมาย นี่มิใช่ว่าเสี่ยวปินเอ๋อร์นั้นร่ายรำออกมาจนครบทุกกระบวนท่าแล้วเช่นนั้นหรือ แบบน