“ก็อร่อยจริงๆนี่” นางยิ้มแล้วหันไปมองทางชายหนุ่มที่นั่งกินอยู่ข้างๆ “ข้าชื่อฟู่เซียงเซียง นี่แม่นมหวงเจียอีและนี่ก็จางลี่”
ชายหนุ่มผงกศีรษะให้อีกครั้ง สายตาของเขาหยุดที่ผ้าพันคอของฟู่เซียงเซียง นางเห็นสายตาของเขาแล้ว นางก็ทำท่าทีเป็นจัดผ้าพันคอให้เข้าที่เพื่อปกปิดร่องรอย
“แล้วเจ้าเล่า ชื่ออะไร”
เขาอ้าปากแต่ไม่มีเสียง จางลี่เห็นเข้าก็ทำตาโตแล้วชิงพูดขึ้น
“เจ้าเป็นใบ้ พูดไม่ได้หรือ?” สาวใช้มีสีหน้าสงสารและเห็นใจมากขึ้น “ท่าทางเจ้าจะลำบากมากกว่าข้าเสียอีก”
“คุณหนูซื้อทาสใบ้มาหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพูดได้หรือไม่ได้ สภาพยังกับซากศพไม่ต้องทำศพเจ้าก็นับว่าดีแล้ว” ฟู่เซียงเซียงไหวไหล่เล็กน้อย “พูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ต้องมีชื่อเรียก...”
เด็กสาวกวาดตามองอีกครั้งแล้วคลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มของนางใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ให้ความรู้สึกงดงามและอ่อนหวานจนหัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะ น่าแปลก เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับหญิงใดมาก่อน
“ถ้าเช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่า...”
ดวงตาคมปลาบตวัดมองไปยังทิศทางของฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ ท่าทางระวังภัยของเขาทำให้ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้ว นางคงไม่ได้ซื้อมือสังหารเข้ามาในบ้านหรอกนะ
“ไม่คิดว่าเรือนของคุณหนูใหญ่จะมีบ่าวชายอยู่ด้วย”
เสียงใสเอ่ยทักทายแต่ไม่กล้าก้าวเข้ามาใกล้นัก สายตาของชายผู้นั้นดุดันราวกับคมมีดจนรู้สึกเสียวสันหลัง แต่กระนั้นฟู่ซินอี๋ที่เป็นคุณหนูรองก็ยังต้องฝืนเชิดปลายคางขึ้นด้วยท่าที่หยิ่งยโส
“คุณหนูใหญ่รับบ่าวชายมาอยู่ร่วมชายคาแต่ไม่แจ้งพ่อบ้าน หรือว่าจะไม่ได้เป็นแค่บ่าว...”
“บ่าวอะไรกัน” ฟู่เซียงเซียงแย้มยิ้ม “ข้าแค่ซื้อสุนัขมาเลี้ยงต้องรายงานพ่อบ้านด้วยรึ อีกอย่างข้ายังเป็นคุณหนูใหญ่สกุลฟู่ เกรงว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรายงานผู้ใดกระมัง”
‘สุนัข’
แม่นมหวงและจางลี่ลอบมองไปยังทาสหนุ่ม ทว่าเขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งราวกับฟังถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าใจ
“ว่าแต่คุณหนูรองสกุลฟู่มาเรือนท้ายจวนด้วยธุระอันใดรึ?”
“ข้าก็ไม่ได้อยากย่างเท้ามาที่สกปรกเช่นนี้” นางปรายตามอง
ไปยังเล้าไก่ที่ส่งเสียงน่ารำคาญ “ท่านแม่ให้นำเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้ ท่านพ่อกำชับให้คุณหนูใหญ่ไปต้อนรับแขกของท่านพ่อ”
“แขกของท่านพ่อนี่ใครกัน”
“ท่านพ่อสั่งให้ข้าพูดมาแค่นี้”
“แล้วเจ้าไม่รู้หรือไรว่าใคร”
ฟู่ซินอี๋เม้มปากเน้นแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น นางหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เสื้อผ้าเครื่องประดับให้ฟู่เซียงเซียง จางลี่รีบเข้ามารับแทนคุณหนูที่ยังนั่งกินมื้อเช้าไม่สนใจเรื่องที่ได้ยินนัก
“ข้าเสร็จธุระแล้ว ไปล่ะ” ฟู่ซินอี้ปรายตามองทางชายหนุ่มอีกครั้งแล้วรีบหมุนตัวเดินเร็วๆ ราวกับหนีอะไรสักอย่าง
“ชุดนี้สวยจังเลย” จางลี่ทำตาโต นานทีปีหนจะเห็นทางเรือนใหญ่ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆมาให้สักชุดสองชุด
ฟู่เซียงเซียงปรายตามองเล็กน้อย เห็นทีว่า ‘แขก’ของท่านพ่อจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ถึงยอมให้ลูกรักอย่างฟู่ซินอี้มาหานางด้วยตนเอง นางส่ายหน้าไปมาแล้วทำราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
“อี้เฉิน!” นางร้องอย่างเพิ่งนึกได้แล้วหันมามองทางชายหนุ่มที่กินโจ๊กปลาเกลี้ยงชามแล้ว “ข้าเรียกเจ้าว่าอี้เฉินก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะรับ
‘อี้เฉิน’ ก็ฟังดูไม่เลวนัก ดีกว่าชื่อ ‘สุนัข’ ก็แล้วกัน
(( อี้เฉิน : สูงใหญ่ ))
.........
หวงเจียอีได้ยินเสียงผ่าฟืนจากด้านนอกก็รีบวางมือจากงานปักผ้าแล้วเดินไปยังต้นเสียงที่ได้ยิน ทาสหนุ่มกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานบ้าน
“หยุดมือประเดี๋ยวนี้นะ! คุณหนูย้ำนักหนาไม่ให้เจ้าเคลื่อนไหวร่างกายมากไป เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาอ้าปากแต่ยังไม่ทันได้พูด แม่นมหวงก็โบกมือไปมาเหมือนห้ามไว้ก่อน
“ข้ารู้ว่าเจ้าพูดไม่ได้” แม่นมหวงชิงพูดขึ้นก่อนเพราะไม่อยากทำมือภาษามืออะไรให้วุ่นวาย “หากบาดแผลของเจ้าปริขึ้นมาจะทำให้คุณหนูลำบากอีก อย่างไรก็พักอีกสองสามวันตามที่คุณหนูบอกเถอะนะอี้เฉิน”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘อี้เฉิน’ ชะงักไปเล็กน้อย เขาก็ไม่ใช่คนดีนักแต่จะให้ผู้หญิงที่ยังเป็นแค่เด็กสาวมาคอยดูแลก็รู้สึกแปลกพิกล และเขาเองก็นอนมาหลายวันแล้ว หากไม่ขยับตัวเสียบ้างก็เกรงว่าจะขยับไม่ได้อีกเลย
“แต่มีแรงงานผู้ชายในบ้านนี้ก็ดีจริงๆนะ” แม่นมหวงอดพูดออกมาไม่ได้ นางปรายตามองอีกฝ่ายแล้วนึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่คุณหนูจะไม่รับเขาไว้ในเรือน
จู่ๆ ถูกมองด้วยหางตาก็ทำให้ ‘อี้เฉิน’ รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน มีแต่คนอยากตายเท่านั้นที่มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ ทว่าการเคลื่อนไหวที่เข้ามาใกล้ทำให้ชายหนุ่มย้ายสายตามองไปทางเข้าเรือน เด็กสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองนวลงดงามราวดอกไม้ที่ผลิบานในยามเช้า ใบหน้าหวานระบายยิ้มแล้วเดินเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งมาทางเขา หัวใจพลันเต้นแรงแปลกพิกล เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ร่างเล็กมาหยุดตรงหน้า สองมือของนางประคองผ้าเช็ดหน้าห่อขนมสองสามชิ้น
“มีเรี่ยวแรงขึ้นแล้วหรือ” นางยิ้มอย่างดีใจจนดวงตาเป็นประกายพราวระยับ “แสดงว่าฝีมือการรักษาของข้ายอดเยี่ยมไปเลยสินะ”
‘ฝีมือการรักษาอะไรกัน ข้าเดินลมปราณรักษาตัวเองต่างหาก’
เขาไม่ได้พูดในสิ่งที่คิด และไม่อาจถอนสายตาจากเด็กสาวตรงหน้าได้เลย เขาเห็นนางสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเรียบง่าย แต่เวลานี้นางไม่ต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์สมฐานะ
“แม่นมมาหยิบขนมดอกกุ้ยนี่ไปสิ ข้าแอบหยิบได้มาแค่สามชิ้นเอง แม่นมหยิบเผื่อจางลี่ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
แม่นมหวงยื่นมือมาหยิบขนมไปสองชิ้นเหลือในมือคุณหนูหนึ่งชิ้น เด็กสาวเห็นทาสหนุ่มยืนยิ่งงันอยู่จึงหยิบขนมชิ้นสุดท้ายแล้วส่งเข้าปากเขาด้วยตนเองอย่างไม่ถือสา อย่างไรเขาก็แค่คนบาดเจ็บและเป็นใบ้ ดูซื่อจนน่าสงสาร