หลังจากส่งอีกคนออกจากห้องไปคีรีนทร์ก็เดินกลับมาข้างใน ดูเหมือนวันนี้มีเรื่องให้ต้องทำค่อนข้างมาก สิ่งที่วางแผนเอาไว้เมื่อวานนี้ต้องล่มและวางแผนใหม่หมดเลย เขาไม่ถูกเฉดหัวทิ้ง ทั้งยังเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นอีก สุดท้ายไอ้รินคนนี้ก็ยังได้เป็นคู่นอนไม่ได้นอน และกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มเข้ามาอีกงาน
อย่างแรกที่ต้องรับมือคือเวลาที่ภูผาตื่นขึ้นมา เขาแทบไม่มีประสบการณ์ปลอบเด็กที่กำลังเจ็บปวดเลยยกเว้นตอนปลอบเด็กที่บ้านเพียงรักหลังจากถูกเอามาทิ้ง แต่ส่วนมากยังเด็กอยู่ เขาเลยกังวลในอนาคตต่อจากนี้กลังพี่ภูจะร้องไห้หนักเหมือนเมื่อวาน
ผ้าม่านห้องโถงถูกเปิดออกรับแสงแดดเข้ามาข้างใน ในมือมีกระเป๋าเสื้อผ้าของภูผาอยู่ ร่างบางนั่งลงข้างล่างหน้าโซฟาเปิดกระเป๋าดู สิ่งแรกที่เจอเป็นสมุดเล่มหนึ่ง ด้านในเป็นรายละเอียดรวมถึงอาหารที่ชอบของเจ้าตัว มีนมกล่องที่ชอบ เวลานอนชอบกอดตุ๊กตา กินอาหารไม่หกแล้ว และอีกอย่างคือภูผายังไม่เข้าโรงเรียน คาดว่าคงจะเข้าเรียนช่วงอายุสี่ขวบต่างจากเด็กคนอื่นที่เข้าเตรียมอนุบาลตั้งแต่สองขวบสามขวบ
เสื้อผ้าห้าชุดถูกนำออกมาดูและพับเอาไว้ข้างตัว มีขนม สมุดระบายสี นมกล่อง อุปกรณ์แปรงฟัน และตุ๊กตาที่คงจะเป็นตุ๊กตาเน่าของอีกฝ่ายเขาไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เลี้ยงเด็ก
กระเป๋าเปล่าถูกนำไปเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า ในห้องใหญ่มีห้องแต่งตัวพื้นที่กว้าง ชุดภูผาไม่กี่ชุดจึงถูกแขวนเอาไว้รวมกันกับของเขาเพราะชุดไม่เยอะ จัดไปจัดมาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทาง ห้องนี้เป็นห้องเขาจึงถือวิสาสะเปิดดู
“อ้าว เสื้อผ้าเรานี่” ในกระเป๋าเดินทางมีแต่เสื้อผ้าคีรินทร์อยู่ในนั้น ไม่ใช่ของเฮียขุนแน่ ๆ เพราะมันตัวเล็ก ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองเสื้อผ้าตัวใหญ่ในตู้สุดท้ายก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว
“เราใส่เสื้อเฮียขุนตลอดเลยนี่นา” คีรินทร์เกาหัวแกรก ๆ อย่างโง่งม พอฉลาดแล้วก็เอาเสื้อผ้ามาแขวนไว้บริเวณที่ว่างเหลืออยู่ ทั้งยังถือโอกาสสำรวจชุดพวกนี้ด้วย พบว่าเหมือนชุดผู้หญิง เสื้อตัวใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมี หากเขาอยากใส่เสื้อเฮียขุนต่ออีกฝ่ายก็คงไม่ว่าอะไรเพราะไม่อย่างนั้นคงว่าไปนานแล้ว เพราะเสื้อบางตัวมันเล็กมากจริง ๆ เล็กชนิดที่ว่าภูผาก็คงใส่เสื้อกับกางเกงเขาได้มั้ง
“พี่รินทร์” ร่างบางหันไปตามเสียงเห็นเด็กน้อยยืนเกาะประตูอยู่ด้วยท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นดี คีรินทร์ยกกระเป๋าเก็บไว้ที่เดิมเดินไปหาอีกฝ่าย
“ภูผาตื่นแล้วหรอครับ”
“ฮึก ปะป๊าหม่าม้าเจ็บ” ภูผากำลังจะถามหาคนอื่นก็เหมือนนึกได้ว่าเมื่อวานนี้ปะป๊าหม่าม้าเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล ใบหน้าสดใสเมื่อครู่ก็ร้องไห้ออกมาทันทีจนคีรินทร์ทำตัวไม่ถูก ร่างบางย่อตัวกอดเด็กน้อยเอาไว้ลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบโยน
“ตอนนี้ปะป๊าหม่าม้าหายเจ็บแล้วครับ แต่แผลยังไม่หายคุณหมอเลยให้อยู่รักษาแผลก่อน” คำพูดมีผลต่อเด็กน้อยจริงๆ ภูผาหยุดชะงักคิดตามสิ่งที่พี่รินทร์บอก ปะป๊าหม่าม้าหายเจ็บแล้วก็แสดงว่าไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บเหมือนตอนเขาหกล้มแล้ว
“ต้องอยู่กับคุณหมอหรอพี่รินทร์”
“ใช่ครับ อยู่จนแผลหาย คุณหมอกลัวปะป๊าหม่าม้าพี่ภูดื้อเลยให้อยู่กับคุณหมอ”
“จริงด้วย ปะป๊าหม่าม้าดื้อเหมือนพี่ภูนี่นา คิกคิก” จากใบหน้าที่อาบด้วยน้ำตาพลันสดใสขึ้นมาชั่วพริบตา ภูผาเข้าใจที่พี่รินทร์พูดจึงไม่งอแงอีกต่อไป หากแผลหายก็จะได้เจอปะป๊าหม่าม้าแล้ว ใบหน้าแดงก่ำหัวเราะออกมาด้วยความสดใสเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีเด็กร้องไห้อยู่ คีรินทร์เห็นอย่างนั้นก็ถอยหายใจออกมาอย่างโล่งใจ มือก็เอื้อมหยิบผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้หลานตัวน้อยของเฮียขุนที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่
“ถ้าอย่างนั้นพี่ภูอยู่กับพี่รินทร์ก่อนนะครับ เอาไว้ให้ปะป๊าหม่าม้าแผลหายคุณหมอค่อยจะให้กลับบ้าน”
“ได้ครับ”
“เก่งมาก งั้นไปอาบน้ำกันเถอะครับ”
“อื้อ พี่รินทร์อาบให้”
“ได้ครับ พี่รินทร์จะอาบให้พี่ภูเอง” พูดคุยกันเสร็จภูผาก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองโชว์พี่รินทร์พร้อมเสียงหัวเราะคิกคิกเดินเข้าไปรอในห้องน้ำ คีรินทร์หยิบผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์อาบน้ำในกระเป๋าของเจ้าตัวเข้าไป
การเลี้ยงหลานตัวร้ายของคีรินทร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เช้าวันนี้ภูผาอยู่ในชุดไดโนเสาร์สีฟ้าที่พี่รินทร์เลือกให้ อาบน้ำทาแป้งเสร็จก็เดินตามกันออกมาที่โต๊ะอาหาร พี่ภูเดินจับมือพี่รินทร์ไปยิ้มไปตลอดทางเพราะถูกชมที่ใส่ชุดเองเป็นแล้ว เด็กน้อยจึงมีความสุขประดับใบหน้าตั้งแต่ตื่นจนถึงตอนนี้
ภูผามองรอบๆ ห้องของพี่รินทร์ขณะรออาหาร ห้องพี่รินทร์กว้างและสวยมากแต่ไม่เห็นมีของเล่นเลยสักชิ้น แต่พอเขาบอกพี่รินทร์ พี่รินทร์ก็บอกจะพาไปซื้อ ภูผาจึงนั่งยิ้มแป้นอยู่เช่นนี้อย่างมีความสุข
“ข้าวต้มครับ” ข้าวต้มหมูใส่ไข่ถ้วยเล็กวางอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยพร้อมถ้วยของตัวเอง เมื่อคืนนี้เขาก็กินไปแค่นมกล่องเดียวเท่านั้นตอนนี้จึงหิวพอสมควร เทน้ำใส่แก้วเสร็จก็นั่งลงเก้าอี้ข้างๆ เด็กน้อย ภูผาตอนนี้มีผ้ากันเปื้อนผูกคอเอาไว้น่ารักเชียว ฝีมือคีรินทร์เอง
“พี่ภูกินเอง”
“ได้ครับ” ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จก็เริ่มกินข้าว ภูผากินข้าวเองได้เพราะอายุสามขวบแล้วไม่หกเลอะเทอะด้วย กินไปก็ยิ้มให้พี่รินทร์ไปเพราะข้าวต้มอร่อย มีเนื้อหมูมีไข่ สองคนตั้งหน้าตั้งตากินไม่นานก็อิ่ม ข้าวต้มถ้วยเล็กตรงหน้าภูผาหมดไม่เหลือแม้แต่น้ำ คนกินอร่อยคนทำก็อิ่มใจ คีรินทร์เปิดทีวีเอาไว้ให้เด็กน้อยไปดูรอเขาล้างจานชามครู่หนึ่ง
หลังกินข้าวเสร็จก็กระเตงกันมานั่งที่โซฟา ตอนนี้พึ่งเก้าโมงเองคีรินทร์คิดว่าจะเปิดการ์ตูนเรื่องยาวให้ภูผาดูเพราะไม่รู้จะพาไปไหน ทั้งไม่กล้าด้วย เมื่อวานนี้ครอบครัวพึ่งถูกไล่ยิงมาโดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ ดังนั้นนอกจากซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าโครงการเขาคงไม่ได้พาภูผาออกไปไหน
“ในกระเป๋าพี่รินทร์เปิดดูแล้วนะ”
“ตุ๊กตาเน่าพี่ภูล่ะครับ”
“ตุ๊กตาอยู่ในกระเป๋าครับ เอามั้ย” คีรินทร์เอ่ยถามเพราะเขาอ่านเจอในสมุดบันทึกว่าภูผาต้องกอดตุ๊กตาเวลากินนมหรือไม่ก็เอาไว้ในกระเป๋า ภูผาพยักหน้าหงึกหงักนั่งรอพี่รินทร์ไปหยิบตุ๊กตาก่อนจึงจะเจาะกล่องนมกิน
“ขอบคุณครับ” มือบางยื่นตุ๊กตาให้เด็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบรีโมทมาเลือกดูเรื่องที่เราทั้งสองคนอยากดู ก่อนจะกลับมานั่งลงบนโซฟาหลังจากเลือกช่องการ์ตูนเสร็จแล้ว ไม่คิดว่าภูผาจะปีนขึ้นมานอนบนตักเขา หัวกลม ๆ พิงอกเขาเอาไว้ในมือถือตุ๊กตาเอาไว้ไม่ปล่อย จากนั้นก็ดูดนมกินดูการ์ตูนอย่างสบายใจแม้ว่าเมื่อวานนี้จะพึ่งรับรู้เรื่องร้ายมาก็ตาม
เด็กหนอเด็ก
ภูผานอนพิงอกพี่รินทร์กินนมดูการ์ตูนอยู่อย่างนั้น ร่างบางเจ้าของตักเองก็ดูไปด้วย มือข้างหนึ่งก็ลูบผมพี่ภูไปพลาง ๆ ตอนเด็กเขาแทบไม่ได้ดูอะไรแบบนี้เลย โตมาก็ได้ดูจากไอแพดผิงแต่พอโตแล้วเขาก็เลือกดูหนังหรือซีรี่ย์ซะส่วนใหญ่ พอวันนี้ได้ดูก็สนุกดี
ตาดูทีวี มือก็หยิบขนมขึ้นมากิน ภูผากินนมหมดกล่องก็อดหยิบขนมกินตามพี่รินทร์ไม่ได้ ทั้งสองกินขนมไปหัวเราะกับการ์ตูนไปจนถึงสิบโมงเช้าการ์ตูนก็จบลง
วันนี้คีรินทร์ไม่มีแพลนจะทำอะไรเลย เพราะตอนแรกคิดว่าจะรับมือกับภูผายากกว่านี้ ดีที่สามารถหลอกล่อเด็กน้อยได้ ขณะดูการ์ตูนและเป็นที่นอนชั่วคราวคีรินทร์ก็พยายามคิดว่าจะพาอีกฝ่ายทำอะไรดี
“พี่ภูเราทำคุกกี้ดีมั้ยครับ เอาไปฝากคุณหมอ”
“จริงด้วยพี่รินทร์ เวลาปะป๊าหม่าม้าดื้อคุณหมอจะได้ไม่ดุมาก” ภูผาหันกลับมาหาเจ้าของตักดวงตาเปล่งประกายสดใส
“ครับ งั้นเราต้องไปซื้อของก่อน แต่พี่รินทร์ขับรถไม่เป็น”
“พี่ภูก็ขับไม่เป็น” ภูผายิ้มแหยเพราะเขาขับรถไม่เป็นจริงๆ ปกติมีแต่ปะป๊ากับอาขุนขับให้ไม่ก็หม่าม้า คีรินทร์ยิ้มเอ็นดู
“เราจะเดินไปหรือนั่งแท็กซี่ไปดี”
“ปกติพี่รินทร์ทำยังไงหรอ”
“พี่รินทร์เดินเอาครับ ไม่ค่อยไกลมาก”
“งั้นพี่ภูเดินครับ”
สุดท้ายทั้งสองก็ออกมาอยู่หน้าคอนโดแล้ว ภูผาอยู่ในชุดที่รัดกุม เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หมวกใบเล็ก คีรินทร์กลัวเด็กน้อยจะถูกแดด มือจึงหยิบร่มมาด้วยแต่พอออกเดินก็พบว่าแดดไม่แรงเท่าไหร่
ตอนนี้พึ่งอยู่ในช่วงสายเท่านั้น ภูผาแทบไม่เคยเดินเลยมือเล็ก ๆ จึงจับจูงพี่รินทร์เอาไว้แต่ใบหน้ากลับสดใสร่าเริง มองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจ ปกติแทบไม่ได้เดินดูอะไรแบบนี้เลย
เด็กน้อยเดินตามพี่รินทร์ด้วยความสดใส ต่างจากคีรินทร์ที่กลัวว่าจะพาลูกหลานเค้ามาตกระกำรำบากเอา เห็นพี่ภูยิ้มได้เขาก็เบาใจไปเปราะนึงแล้ว ทั้งสองเดินมาตามถนนในโครงการเรื่อย ๆ บางทีก็มีนกบินผ่านหน้าไป บางทีก็มีแมวที่มีเจ้าของวิ่งมาถูไถขาภูผาเสร็จก็เดินหนีไป
ในที่สุดเราสองคนด็เดินมาถึงหน้าโครงการ ลุงยามรับบัตรไปก็ผ่านออกมาได้แล้ว ที่ที่จะซื้อของอยู่ตรงข้ามนี้เอง เข้ามาคีรินทร์ก็หยิบรถเข็น ส่วนพี่ภูนั้นอ้อนเขาตาปริบ ๆ อยากขึ้นไปนั่งข้างบน พนักงานชายตัวใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงช่วยอุ้มขึ้นให้เพราะกลัวแขนคุณลูกค้าจะหัก
“พี่รินทร์พี่ภูอ่านไม่ออก” มือเล็กๆ ชูกระดาษแผ่นเล็กขึ้นพร้อมยิ้มเก้อเขิน อุตส่าห์เป็นคนถือกระดาษรายการที่ต้องซื้อดันอ่านหนังสือไม่ออกแต่พูดเป็นแล้วทั้งภาษาไทยและอังกฤษ คุณแม่บอกว่าจะให้เขาเข้าเรียนตอนอายุสี่ขวบ มือเล็กจึงยื่นกระดาษให้พี่รินทร์อ่านช่วยเพราะพี่ภูพึ่งอายุสามขวบ
“อันแรกช็อกโกแลตครับ”
“อื้อ พี่ภูจำได้แล้ว” ภูผาอ่านไม่ออกแต่จำเอาจากที่พี่รินบอกว่าข้อแรกคือช็อกโกแลต ซึ่งคีรินทร์ก็อ่านแค่อย่างเดียวก่อนให้เด็กน้อยจำ จากนั้นก็ผลักรถเข็นตามหาช็อกโกแลต แม้จะเดินผ่านของในข้อที่สองและสามไปเขาก็ไม่ได้หยิบมาก่อน ถือเสียว่าเล่นสนุกกับภูผาไม่ได้รีบร้อนอะไร
“นี่ไงพี่รินทร์ เจอแล้ว คิกคิก”
“เก่งมากครับ พี่ภูหยิบเลย” คีรินทร์เลื่อนเข้าไปใกล้ มือเล็กๆ หยิบช็อกโกแลตมาหลายห่อ ไม่ลืมเผลอหยิบขนมชิ้นเล็ก ๆ ติดมือมาด้วย ไม่รู้เลยว่าพี่รินทร์เห็นทุกอย่างแต่ไม่ได้พูดอะไร
“เสร็จแล้วหาอย่างที่สองกันเถอะครับ” คีรินทร์มองดูช็อกกโกแลตบนรถเข็น พอได้อย่างแรกแล้วก็ควรไปหาอย่างต่อไป ภูผาได้ยินก็รีบควักกระดาษในกระเป๋ายื่นไปด้านหลัง
“อื้อ พี่รินทร์อ่าน”
“น้ำตาลครับ”
“น้ำตาล น้ำตาล ไปหาน้ำตาลกัน” หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ตอนนี้กำลังหาของที่ต้องใช้กันอย่างสนุกสนาน ภูผาช่วยพี่รินทร์จำชื่อทั้งช่วยหยิบจนตอนนี้ของเต็มรถเข็นคันเล็กแล้วเด็กน้อยจึงลงมาเดินเองไม่บ่นสักคำ
สิบเอ็ดโมงกว่าก็กลับมาถึงห้องแล้ว คุกกี้ทำไม่ยากไม่น่าจะใช้เวลานาน เตาอบมีอยู่แล้ว คีรินทร์ซื้ออุปกรณ์บางอย่างมาเพิ่มเช่นที่ตีไข่และถาด เห็นว่าพี่ภูกระตือรือร้นที่จะทำจึงเริ่มทำทันทีไม่ปล่อยให้ช้ากว่านี้กลัวภูผาจะหมดสนุกก่อน พวกเราหอบของมาทำที่พื้นเพราะสะดวกกว่า มีเสื่อผืนเล็กๆ จึงนำมาปูไม่รู้เจ้าของห้องเดิมมีไว้ทำอะไร
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ช่วยกันผสมแป้งและปั้นคุกกี้อย่างสนุกสนานโดยเฉพาะภูผาที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย ใบหน้าจึงมีรอยยิ้มประดับอยูตลอดจนทำเสร็จพร้อมนำไปอบ
คีรินทร์มองดูคุกกี้รูปเอเลี่ยนของเด็กน้อยด้วยความขบขันก่อนใส่เข้าไปในเตาอบ จากนั้นก็นำอาหารที่ยังไม่ได้กินสักคำออกมาอุ่นกินเป็นอาหารมื้อเที่ยง
ระหว่างพี่รินทร์เอาคุกกี้ไปอบและอุ่นอาหารเด็กน้อยก็หยิบมือถือพี่รินทร์มาเปิด กดหารูปคุณอาก่อนจะกดวิดีโอคอลเช่นที่เคยทำปกติ ไม่นานก็เห็นคุณอาอยู่หน้าจอ
“คุณอา ทำอะไรอยู่ครับ”
“อากำลังทำงาน พี่ภูทำอะไรอยู่ครับ”
“ทำคุกกี้ครับ พี่รินทร์พาทำ” มือเล็กๆยกมือถือขึ้นให้เห็นพี่รินทร์ที่กำลังเดินมา ก่อนคีรินทร์จะรับไปแล้วนั่งลงข้างๆภูผาเหมือนเดิม
“รินทร์พาน้องเดินไปหน้าโครงการมาครับ เฮียจะว่าอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไร ภูผาชอบเดินจะตาย แล้วกินข้าวกันหรือยัง” ขุนเขาเอ่ยเสียงทุ้ม ถ้าที่คีรินทร์ถามเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเลย ระบบรักษาความปลอดภัยที่นั่นค่อนข้างดี ครอบคลุมไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตด้านหน้าด้วยเพราะเป็นธุรกิจของเจ้าของคอนโดเช่นกัน คีรินทร์ได้ยินอย่างนั้นก็เบาใจ
“ยังเลยครับ รินทร์กำลังอุ่นอาหาร เฮียขุนเป็นยังไงบ้าง”
“ทั้งสองดีขึ้นแล้วคุณพ่อคุณแม่ดูอยู่ เฮียเลยมาบริษัทเคลียร์งานต่อ”
“อาขุนคืนนี้จะมามั้ย” เสียงเล็กเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไปครับ”
“ทำไมพี่ภูเรียกเฮียว่าอาล่ะครับ ทำไมไม่เรียกน้า” ทั้งสองนั่งอยู่ข้างล่างโซฟาโดยวางมือถือไว้บนโซฟา คีรินทร์เห็นภูผาเรียกเฮียขุนว่าคุณอาเลยสงสัยขึ้นมา เขาพึ่งสังเกตคำเรียกดี ๆ ก็ตอนนี้
“อ้อ ตอนนั้นภูผาเรียกคำว่าอาเป็นก่อน เฮียเลยยอมเป็นอา เรียกอาได้ก่อนป๊าม้าอีก”
คีรินทร์พูดอะไรไม่ออก ตัวร้ายเห่อหลานถึงขนาดที่ว่ายอมเปลี่ยนสถานะตัวเองจากคุณน้าเป็นคุณอาเพียงเพราะว่าหลานเรียกอาได้ก่อน
“ใครต้องเรียกน้าหรอพี่รินทร์” เด็กน้อยที่นั่งฟังอยู่กล่าวถามด้วยความงุนงง มือก็กระตุกเสื้อพี่รินทร์ยิกๆ อย่างที่ชอบทำ
“พี่ภูต้องเรียกอาขุนว่าน้าครับ”
“อื้อๆ น้าอาขุน” ภูผาพูดออกมาเสียงดังฟังชัดอย่างเชื่อฟัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสาย ภูผายิ้มภูมิใจเพราะคิดว่าตัวเองพูดถูกแล้วคุณน้าอาขุนถึงอารมณ์ดีขนาดนี้ จะมีแต่คีรินทร์ที่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ไม่รู้จะทำยังไงดี เฮียขุนก็ยังหัวเราะไม่หยุด
“น้าอาขุนระวังหัวเราะจนสำลักน้า”
“พี่ภูเรียกอาขุนเถอะครับ คงจะติดปากแล้วไม่เป็นไรหรอก”
“อ้าว ตกลงให้พี่ภูเรียกอะไรอะพี่รินทร์” ภูผาไม่ไว้ใจอาขุนจึงหันมาถามพี่รินทร์แทน คีรินทร์หันมองเฮียขุนก่อนจะเอ่ยตอบไป
“เรียกอาขุนก็ได้ครับ”
“อื้อ” บอกอะไรภูผาก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังจนคีรินทร์อดโน้มใบหน้าไปหอมแก้มกลมๆไม่ได้ เด็กน้อยโดนพี่รินทร์หอมแก้มก็ชอบใจใหญ่ ส่งสายไปให้คนปลายสายจนขุนเขารู้สึกว่างานเยอะเกินไป
“เฮียต้องรีบทำงานต่อแล้ว”
“ครับ” คีรินทร์มองแฟ้มงานมากมายที่ร่างสูงถ่ายให้ดู งานเยอะจริงๆอย่างที่อีกฝ่ายบอก
“อาขุนตั้งใจทำงานน้า”
“ครับ อาจะซื้อขนมไปฝาก” ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังไม่เว้นแม้แต่คีรินทร์ก่อนสายจะถูกตัดไป มือหนาวางมือถือลงที่เดิมด้วยใบหน้าผ่อนคลายกว่าเมื่อเช้ามาก ยิ่งพอวกกลับไปคิดถึงเรื่องที่ภูผาเข้าใจผิดเรียกเขาว่าน้าอาขุนปากหยักก็หลุดขำออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่
เมื่อวานนี้เกิดเรื่องราวที่หนักหนาสำหรับเขามากจริงๆ พอทุกอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเขาจึงรู้สึกโล่งสบายทั้งยังมีความสุขมากอีกด้วย
“คุยกับใครหรอตาขุน” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมประตูเปิดออก ขุนเขามองพ่อแม่ที่หอบหิ้วอะไรไม่รู้เข้ามาในห้อง คงซื้อจากตลาดข้างโรงพยาบาล
“คุยกับหลานครับ เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้ว ไม่มีส่วนไหนเสียหายหนักหรือพิการ มีพี่เขยเรากระดูกแขนหักข้างขวา หัวแตก นาราข้อมือหักแต่ทุกอย่างปลอดภัยดีอวัยวะไม่พัง” เป็นเจ้าสัวที่ตอบลูกชายแทนภรรยาที่กำลังเปิดกล่องอาหาร ทันทีที่ถึงไทยเขาและภรรยาก็ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันทีพึ่งออกมาเมื่อกี๊นี้หลังหมอยืนยันแล้วว่าทั้งสองปลอดภัยแล้วจริงๆ
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้รถที่ขับ รถราคาแพงพ่วงมาด้วยระบบความปลอดภัยในรถที่ดีมากเช่นกัน ลูกสาวกับลูกเขยจึงไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแต่ช่วงแรกนั้นน่าเป็นห่วงเพราะเสียเลือดมากหรืออะไรสักอย่างตามที่หมอบอก
รถกี่สิบล้านจะพังก็แล้วไปเถิด เขาไม่นึกเสียดายเลยต่อให้จะมีหรือไม่มีประกันก็ตาม นอกจากคนสองคนก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว ทั้งสองรอดมาได้เพราะระบบแจ้งเตือนอุบัติเหตุของรถเสียด้วยซ้ำเพราะไปกันแค่สองคนไม่มีคนตามไปด้วย
ได้ยินอย่างนั้นขุนเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เก็บแฟ้มเอกสารที่พึ่งทำเสร็จก่อนลุกเดินมานั่งที่โซฟารับจานข้าวมาวางตรงหน้า
“เราทำงานไปเถอะ แม่จะดูสองคนนั้นเอง” อีกไม่กี่วันก็จะพาไปรักษาที่ต่างประเทศแล้วเพราะพ่อแม่ของตาวัสอยู่ที่อเมริกา งานที่บริษัทเยอะจนทั้งสองโทรมาให้ส่งลูกชายกับลูกสะใภ้ไปที่นู่นจะช่วยดูแลให้ พวกเราเห็นว่าเป็นผลดีจึงไม่ว่าอะไร ทั้งยังไม่รู้วาเหตุที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดังนั้นส่งทั้งสองไปต่างประเทศคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ สามีของเธอจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังขณะตามเรื่องหาตัวการ
“ครับ”
“แล้วหลานล่ะ”
“หลานอยู่กับรินทร์ครับ” ขุนเขาเอ่ยตอบป๊าก่อนตักข้าวเข้าปากต่อ เพราะเมื่อเช้ากินข้าวไปนิดเดียวตอนนี้เลยหิวกว่าทุกวัน คุณหญิงเองก็ตักกับข้าวให้ลูกชายไม่หยุดเช่นกันด้วยความใส่ใจ
“ที่นาราเคยพูดให้แม่ฟังหรอ”
“ครับ เย็นนี้ผมจะไปเอาเสื้อผ้าพี่ภูเพิ่มไปเก็บที่คอนโด น่าจะกินข้าวที่นู่นเลย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกมารดาไปทั้งสองจะได้ไม่ต้องรอ แต่ขุนเขากำลังคิดผิด ทันทีที่พูดจบทั้งสองก็ยิ้มกว้างทันทีไม่เว้นแม้แต่ป๊า
“ดีเลย งั้นพ่อกับแม่ไปกินด้วยสิ อยากกินอาหารฝีมือน้องรินทร์”
คนที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักหันมองมารดาที่ทำหน้ากรุ้มกริ่มส่งมาให้ด้วยความเจ้าเล่ห์ คุณนายพูดเสร็จก็ขยับไปสะกิดผู้เป็นสามีไม่หยุด เจ้าสัวมียืดตัวขึ้นจากจานข้าวด้วยสีหน้าปกติเหมือนไม่อยากเล่นด้วยเท่าไหร่
“พ่อเองก็ไม่ได้กินอาหารไทยนานแล้วเหมือนกัน” อธิชาเอ่ยเสียงเรียบก่อนตักแกงจืดเข้าปากต่อ ไม่ลืมเอียงแก้มไปให้ภรรยามอบรางวัลให้อย่างชอบใจ
สามีภรรยายกยิ้มชื่มชมกันเองอยู่สองคน ไม่สนลูกชายคนเล็กที่กำลังกรอกตาไปมาเลยสักนิด ขุนเขาเลิกคิ้วมองอาหารไทยตรงหน้า แล้วนี่มันไม่ใช่อาหารไทยตรงไหนกัน
ขุนเขา : เอ๊ะ
“รินทร์ดีใจด้วยนะครับที่ทุกคนปลอดภัย”
“ไม่ให้รางวัลเฮียหรอ จูบหน่อยครับ”
“อะแฮ่ม แฮ่ม แค่กๆๆ”
“อะไรติดคอคุณตาครับ มาครับพี่ภูรินน้ำให้ดีกว่า คุณตานี่น้าไม่ระวังเลย”
มีคำผิดบอกได้นะคะ