หลังจากรู้ว่าห้องของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน สเตลล่าก็คิดจะไปหาแพทริคที่ห้องเพื่อเซอร์ไพรส์เขา และในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องนอนของแพทริคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอถามตัวเองว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นมันดีแล้วใช่หรือเปล่า แต่เธอก็คิดได้ว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก เธอก็แค่อยากเห็นว่าห้องนอนเขาเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง
หญิงสาวส่ายหัวแล้วเคาะประตู หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ได้ยินเสียง
"เข้ามา” เขาอนุญาต เธอปลุกใจตัวเองแล้วจับลูกบิดหมุนช้า ๆ ก่อนจะเปิดมันเข้าไป ขณะนั้นสเตลล่าเห็นแพทริคกำลังติดกระดุมเสื้อของเขาอยู่ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเพราะยังสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคู่กับกางเกงยีน เสื้อผ้าที่น้อยชิ้นลงทำให้เห็นสัดส่วนที่ชัดเจนของเขา เล่นเอาหญิงสาวกลืนน้ำลายดังอึก
"เอ่อ... เฮ้ !" เธอทักทายเขาอย่างประหม่า สร้างความประหลาดใจให้เขาเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นสเตลล่าในห้องนอนของตัวเอง เขานึกว่าหัวหน้าแม่บ้านเป็นคนมาเคาะประตูเพื่อรายงานอะไรบางอย่างเสียอีก
"คุณรู้ได้ยังไงว่านี่คือห้องของผม”
"แม่บ้านบอกฉันมาน่ะค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ เขาพยักหน้าเป็นการรับรู้ "ห้องของคุณ... น่ารักดีจังเลยนะคะ"
สเตลล่าเอ่ยชมที่ไม่ใช่เพียงแค่พยายามจะชวนเขาคุย แต่เธอหมายถึงอย่างนั้นจริง ๆ ห้องของแพทริคคล้ายกับห้องนอนของเธอเพียงแค่มีขนาดใหญ่กว่า อีกทั้งห้องของเขายังเป็นสีเทาที่มีเลานจ์อยู่ข้างในพร้อมบาร์เครื่องดื่มพร้อมทุกอย่าง ราวกับว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่เยี่ยงราชา
แพทริคสังเกตเห็นหญิงสาวกวาดสายตามองสำรวจห้องนอนของเขาและเขาไม่ได้อยากทำตัวหยาบคายโดยการขัดจังหวะความคิดของเธอหรอก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
"สรุปคุณมาที่นี่ทำไม”
"คุณไม่เห็นต้องหยาบคายใส่ฉันตลอดเวลาก็ได้นี่คะ ฉันแค่แวะมาทักทายเฉย ๆ ไหน ๆ พวกเราก็เป็นคู่หมั้นกันแล้ว อีกอย่างฉันไม่อยากให้ทุกคนมองฉันเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณด้วย”
คำพูดของสเตลล่าทำให้แพทริคชะงัก นี่เขาเผลอทำหน้าที่คู่หมั้นที่ไม่ดีลงไปจนได้ คงเป็นเพราะว่าไม่ได้อยู่กับใครสักคนมานานตั้งแต่ฮาเซลทิ้งไปกระมัง เขาอยู่คนเดียวมาตลอดจึงไม่คุ้นเคยกับการถูกรบกวน แต่ตอนนี้เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับตัวกับการมีใครสักคน
"ว่าแต่คุณทำงานอะไรนะคะ บริษัทก่อสร้างใช่ไหม" สเตลล่าถามพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย แม้ว่าเตียงของเขาจะดูน่าดึงดูด แต่เธอคิดว่านั่งที่โซฟาน่าจะดีกว่า แพทริคดีใจที่สเตลล่าเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเพราะเขาไม่รู้วิธีที่จะขอโทษใคร
"ใช่ ผมจบวิศวกรมา” เขานั่งลงที่โซฟาอีกตัวข้าง ๆ เธอ "มันเป็นบริษัทของครอบครัวผม เราสืบทอดกันมา”
"ว้าว ! น่าทึ่งมากเลยค่ะ” สเตลล่าแสดงความคิดเห็น
“บริษัทก่อสร้างของบ้านผมมีมากมายหลายสาขา ทั้งยุโรป อเมริกา และก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ด้วย”
"งั้นพวกคุณก็เป็นมหาเศรษฐีน่ะสิ” สเตลล่าถาม พลางพยายามเข้าใจในสิ่งที่เขาเพิ่งจะเล่าให้ฟัง
"ถ้าจะพูดให้อวยก็คือใช่” ชายหนุ่มตอบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ ส่วนสเตลล่าพยักหน้าเข้าใจ
"งั้น... คุณมีพี่น้องไหมคะ” แพทริคส่ายหน้า "แล้วอย่างนี้คุณไม่เหงาแย่เหรอ”
เธอถามด้วยความสงสัยที่เขาต้องเติบโตมาเพียงลำพัง แพทริคมองหน้าสเตลล่าด้วยสายตาว่างเปล่า เขานึกสงสัยว่าเธอคาดหวังให้เขาตอบคำถามนั้นหรือเธอแค่อุทานออกมาเฉย ๆ
"ไม่แปลกใจเลยที่คุณจะเย็นชาได้ขนาดนี้" หญิงสาวเผลอพูดสิ่งที่คิดในใจจนทำให้แพทริคมองเธอด้วยความไม่พอใจที่โดนตำหนิ สเตลล่ารู้สึกตัวกับสิ่งที่เพิ่งพูดออกมาจึงรีบแก้ตัวทันที "ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นนะคะ"
เธอรีบเอ่ยขอโทษและยกมือขึ้นไหว้เขาแบบไทยเพราะถึงยังไงเขาก็แก่กว่า สเตลล่าไม่อยากถูกมองว่าไม่มีมารยาท และพอสังเกตเห็นว่าเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยเธอจึงรู้สึกสบายใจตาม
"แล้วคุณล่ะ” แพทริคถามกลับมา ทำให้สเตลล่าแปลกใจกับคำถาม ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยากคุยกับเธอต่อ และแม้ว่าเธอจะไม่ชอบพูดถึงเรื่องในอดีตสักเท่าไรเพราะทำให้รู้สึกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึง แต่ในเมื่อเขาเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังแล้ว เธอก็ควรจะเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังเช่นกัน มันจะได้ยุติธรรม ดังนั้นเธอจึงพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเล่าออกไป
"ฉันไม่รู้ว่าแด๊ดเป็นใคร ฉันโตมากับมัมค่ะ เธอเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเลยละคะ น่าเสียดายที่เธอจากไปในวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของฉันด้วยอุบัติเหตุ คุณหมอพยายามจะช่วยชีวิตเธอแล้ว แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่สาหัสเกินไปจึงทำให้ยื้อเอาไว้ไม่ได้ และพอหลังมัมเสีย ฉันก็ไม่ได้เรียนต่ออีกเลยเพราะไม่มีญาติหรือพี่น้องคอยช่วยเหลือ เลยจำเป็นต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง ช่วงแรกมันลำบากมากนะ แต่ก็อดทนเพื่อเงินจนมาได้งานในผับที่คุณไปเจอฉันนั่นละคะ” สเตลล่ารู้สึกว่าน้ำตามันเอ่อล้น เธอกะพริบสองสามครั้งเพื่อหยุดมันไม่ไห้ไหลออกมาด้วยรู้ว่าไม่ควรร้องไห้ต่อหน้าแพทริค "นี่ละคะเรื่องราวชีวิตของฉัน"