ตอนที่ 2
พลอยนภัส พาณิชโชติการ เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เสื้อที่เคยเรียบกริ๊บของเธอยับเยินไปทั้งตัว เหงื่อของเธอเปียกโชกผมหนาที่ปรกอยู่ตรงต้นคอ ก่อนหน้านี้เธอเครื่องไปซ่อมเครื่องปริ้นมาจนเหนื่อยกว่าที่จะปริ้นเอกสารออกมาได้ เธอรีบเอามาให้อาจารย์ที่ปรึกษาดู ระหว่างที่เธอรออาจารย์ที่ปรึกษาอยู่นั้น เสียงฝีเท้าของผู้ที่เธอรอคอยก็ดังขึ้นมาใกล้เรื่อย ๆ ดร.ศิริกัญญาภาควิชาภาษาอังกฤษ ครูที่ปรึกษาของเธอเปิดประตูเข้ามา
“รอนานมั้ย พลอยนภัส พอดีครูมีแขก” หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทันทีที่หญิงสาวเห็นปรเมวศร์ตามอาจารย์ที่ปรึกษามายืนอยู่หน้าห้อง หล่อนมองเขาด้วยอาการตกตะลึง...ใช่จริง ๆ ปรเมศวร์ หญิงสาวบีบมือตัวเอง เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เขามาที่นี่เพื่ออะไร? ไม่น่าเชื่อ...แต่เขาก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องเรียนของเธอ รูปร่างสูงสง่า เธอจ้องเขาเหมือนกับจะประทับภาพนั้นไว้ในใจ ขณะที่สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมาอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกสะบัดร้อน สะบัดหนาว เครียดขึ้นมาในทันใด
“ดอกเตอร์ครับ ผมลืมให้นามบัตร โครงการวิจัยของดอกเตอร์ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ และถ้าต้องการเงินทุนทำวิจัยเพิ่มก็บอกมาได้นะครับ” ปรเมศวร์เอ่ยขึ้นพร้อมยื่นนามบัตรให้อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ
“พลอยนภัส อาจารย์ขอแนะนำให้รู้จักผู้สนับสนุนโครงการวิจัยของอาจารย์นะ”
“นี่!..คุณปรเมศวร์” พลอยนภัสครางชื่อเขาเบา ๆออกมาก่อนที่ครูจะแนะนำเสียอีก
“พลอยนภัส” ปรเมศวร์เรียกชื่อของเธอ พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ ชื่อของเธอหลุดออกจากปากของชายผู้นี้ เสียงที่เธอไม่ได้ยินมานาน
ครั้งสุดท้ายที่เธอพบกับเขา เธอยังเด็กกว่านี้ เธอเป็นเด็กสาวที่เข้ามามาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด ตอนนั้นเขาเป็นผู้ไปมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนและเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาดูต่างไปจากที่เธอได้เห็นในครั้งสุดท้าย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน นั่นเพราะดวงตาที่คมจัดเหมือนเหยี่ยวตั้งอยู่บนกรามที่แข็งแกร่งกับผมสีดำขลับที่เป็นประกาย ครูที่ปรึกษาของเธอมองคนทั้งสองสลับไปมาด้วยสีหน้าที่งุนงง
“คุณสองคนนี่!!!รู้จักกันด้วยเหรอ?” ไม่ใช่แค่รู้จัก...แต่เธอเคยเป็นของเขา ทั้งสองเคยอยู่ด้วยกันในความสัมพันธ์ที่แนบแน่น แต่ลงท้ายด้วยการพลัดพราก ซึ่งนั่นได้ฉีกหัวใจของเธอออกเป็นชิ้นๆ ความรักเริ่มต้นสมัยมัธยมปลาย และจบลงด้วยตอนเปิดเทอมใหญ่ของ ม.6 เทอมสุดท้าย และปีนั้นเองเธอก็เข้าเรียนมหาลัยที่นี่ เธอจำได้ดี
“รู้จักกันตอนเรียนมัธยมปลายค่ะ” หญิงสาวตะกุกตะกัก แก้มร้อนจัดขณะที่พยายามหลบตาของอีกฝ่าย ทว่าไม่สำเร็จ สายตาของชายหนุ่มจ้องเธอเขม็ง มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับจะท้าทายเธอ เมื่อทั้งคู่พบกันนั้น เขาเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินที่ประสบความสำเร็จจึงมามอบทุนและเป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการสร้างความสำเร็จในชีวิต เมื่อเขาแต่งงานเธอจึงเป็นฝ่ายบอกเลิกเขา หญิงสาวเดินออกมาจากชีวิตของเขา ตอนนั้นเธอเรียนจบ ม.6 พอดี พร้อมกับบอกตัวเองว่าเธอจะไม่มีวันหวนกลับไปหาเขาอีกแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะลืมเขาหรอกนะ
ในที่สุดเธอก็ได้พบเขาอีกครั้ง เขามาที่นี่เพื่ออะไรกัน...ปรเมศวร์คงจะไม่มาหาเธอที่นี่หรอก ถ้าหากว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ดีพอ
“พอดีเขาเคยมาบรรยายที่โรงเรียนค่ะ” เธอพยายามโกหกให้แนบเนียน แค่ผู้บรรยายทำไม่รู้จักกันเหมือนคนสนิท ฝ่ายนั้นก็ไม่น่ารู้จัก นักเรียนมีตั้งเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมเหมือนจำกันได้ขนาดนั้น ถ้าไม่รู้จักกันในทางอื่นมาก่อน เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ อาจารย์คิดตามเพลิน ๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นแหบพร่าและสั่นเทาด้วยความพยายามที่จะซ่อนความแปลกใจในน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไว้ เขาเป็นแฟนที่ดีที่สุดในชีวิต ที่ต้องแยกจากกันทั้งที่กำลังรักกันมาก และความรู้สึกนี้เปลี่ยนแปลงเธอตลอดกาล แม้ว่าจะผ่านไปเกือบสี่ปีแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ได้คบกัน
“โอ้ โลกช่างกลมอะไรอย่างนี้” อาจาร์ที่ปรึกษาอุทาน พลางมองทั้งคู่สลับกันไปมา
“จริงด้วยสิครับ” ปรเมศวร์ตอบ พร้อมกับค้อมศีรษะของเขาลงเล็กน้อย
พลอยนภัสบีบมือแน่น หัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้ง...เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ตอนนี้เธอมีชีวิตที่ธรรมดาเรียบง่าย ผมสีดำขลับของเธอก็ยังคงยาวเคลียไหล่ไม่เหมือนเมื่อตอนอยู่มัธยมปลาย เธอสาวและสวยขึ้นมาก เธอยังคงไม่ได้มีแฟนสักคนด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีผู้ชายมาจีบ นั่นเป็นเพราะเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เธอ...ไม่ได้รักเขาแบบที่รักปรเมศวร์ แต่ถ้าจะพูดให้ถูก เธอไม่เคยรักใครแบบที่รักปรเมศวร์เลย
“เดี๋ยวอาจารย์ขอตัวก่อนนะพอดีคาบต่อไปมีสอน เดี๋ยวตอนเย็นเธอมาหาครูใหม่นะ พลอยนภัส ถ้ายังไงแล้วดิฉันจะติดต่อไปนะคะคุณปรเมศวร์” อาจารย์ที่ปรึกษารีบพูดโดยหันหน้าไปมาระหว่างสองคนที่ยืนจ้องกันอยู่ เพราะเลยเวลาสอนมาหลายนาที พูดเสร็จอาจารย์ที่ปรึกษาก็รีบเดินออกจากห้องไปอย่างรีบเร่ง
“ฉันก็มีเรียนพอดีเลยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ก่อนที่เธอก้าวเท้าออกจากห้อง ข้อมือเล็กก็ถูกฉุดรั้งไว้ด้วยมือหนา เธอกำลังอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับปรเมศวร์ ในห้องเรียนที่ว่างเปล่า
“นั่งลงสิ” ปรเมศวร์บอก พลางผายมือให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ของเธอเมื่อสักครู่
“....” หญิงสาวเหลือบไปมองเก้าอี้ของตน แต่ไม่คิดว่าขาของเธอจะขยับเดินก้าวไปหามันได้อย่างลำบากที่สุด
“เชิญคุณนั่งเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะยืนด้วย” สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“ฉันจะสบายใจมากกว่า ถ้าเธอจะนั่ง” มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่งมากกว่า พลอยนภัสเงยหน้าขึ้นมองเขารู้สึกสงสัยระคนแปลกใจ เขาไม่เคยใช้น้ำเสียง ‘สั่ง’ กับเธอมาก่อน เขาไม่เคยขึ้นเสียงหรือออกคำสั่งตั้งแต่เธอรู้จักกับเขามา เขามักจะหยิ่งผยองมั่นใจและผึ่งผายในตนเสมอ แต่เขาไม่เคยทำท่าเป็นเจ้าขุนมูลนาย ไม่เคยทำตัวอย่างเป็นทางการ แต่ตอนนี้เขาเป็นทั้งสองอย่าง
“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“อาจารย์ที่ปรึกษาเธอต้องการงบทำวิจัยเท่าไหร่”
“ฉันต้องคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนค่ะ เพราะฉันเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์เท่านั้น” พลอยนภัสตอบ พลางหยิบงานวิจัยของเธอขึ้นมาแนบออก เตรียมพร้อมจะเดินออกไปจากห้องที่แสนจะอึดอัดนี้ ปรเมศวร์หรี่ตาลง
“เธอจะรีบไปไหน..อยู่คุยกันก่อนสิ” เธอยิ้ม นี่แปลว่าเขาสังเกตเห็น
“ฉันมีเรียนค่ะ” หญิงสาวนั่งลงเก้าอี้ของตน โดยไม่อยากเสียมารยาทซึ่งจริง ๆ เธอวันนี้เธอไม่มีเรียนและอีกอย่างเธอกำลังจะเริ่มฝึกสอนแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินของคุณหรอกค่ะ...ฉันกับเพื่อน ๆ และอาจารย์พอจะหาเองได้”
“ถ้าหากว่าเธอช่วยฉัน ฉันก็ยินดีที่จะให้ทุนในการทำวิจัย” เขาต้องการความช่วยเหลือจากเธองั้นหรือ...พลอยนภัสรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนอกของเธอ และแน่ใจว่าตนกำลังจะขาดอากาศตายหญิงสาวพยายามบังคับตัวเองให้หายใจเข้าและหายใจออก พยายามเก็บอาการเสียขวัญไว้ให้มากที่สุด ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเสียขวัญ เธอไม่ได้เป็นหนี้เขาสักหน่อย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันจบไปสามปีกว่าแล้วนับจากวันนั้น