ตอนที่ 8
“ลองดูจานนี้” ปรเมศวร์พูด เมื่ออาหารจานแรกมาถึง พลางผลักจานที่เต็มไปด้วยสเต๊กเนื้อปลาอย่างดี และขนมปังประเภทแป้งแบน ๆ มาให้เธอ
“ทานอะไรสักนิดเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย” พลอยนภัสกินอาหารเพียงสองสามคำ ปรเมศวร์มองเธอฝืนกินอาหาร และตอนนี้ก็เห็นว่าหญิงสาวได้แต่เขี่ยอาหารไปรอบ ๆ จานเท่านั้น
“เป็นอะไรไป ไม่หิวเหรอ”
“ฉันกลุ้มใจเรื่องน้องชายค่ะ” น้ำเสียงของเธอขาดหายไป แล้วเงยหน้าขึ้นมองปรเมศวร์ ก่อนที่จะส่ายหน้าน้อยๆ
“ฉันให้สัญญา รับรองน้องชายคุณจะได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับแข็งกร้าวร้อนแรงและแหลมคม เขาจ้องเธอเขม็งทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับมีไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่าง
เธอไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะน้ำเสียงหรือว่าคำพูดของเขา แต่พลอยนภัสรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา และต้องระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ปรเมศวร์ไม่เคยทำให้เธอต้องรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทั้งกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก...หญิงสาวเตือนตัวเองเงียบๆ
ขณะที่ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างทำให้แตะหัวเข่าของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรีบยกเท้าลง แต่ความร้อนกลับอาบเข้าร่างของเธอเสียแล้ว ความร้อนความเขินอายและเจ็บปวด
โต๊ะตัวนี้เล็กเกินไป ในห้องรับประทานอาหารนี้ก็มืดเกินไป และบรรยากาศภายในร้านก็เต็มไปด้วยความอึดอัดเกินไป โชคดีที่อาหารลำเลียงเข้ามาเรื่อย ๆ จานแล้วจานเล่า ชามแล้วชามเล่า พลอยนภัสคิดว่าอาหารจะช่วยดึงความสนใจของปรเมศวร์ไปได้
ตอนนี้เขากำลังตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารตรงหน้า นั่นจะทำให้เธอได้รวบรวมสมาธิอีกครั้ง แต่ปรเมศวร์กลับโยนอาการประสาทให้เธออีกครั้งด้วยคำสั่ง
“ฉันอยากให้เธอป้อน” เขาพูดอย่างจริงจัง
“มือคุณเป็นอะไรหรือคะ” หญิงสาวหน้าแดง ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งโทสะและการท้าทาย
“ไม่ได้เป็นอะไร แต่ว่าเธอต้องทำตามฉันบอกไง”
“พนักงานที่นี่จะเห็นและนำเรื่องไปบอกภรรยาคุณเอาได้นะคะ” หญิงสาวรีบเตือนสติเขา
“แต่เธอทำงานกับฉัน” เขาแทรกขึ้นเบาๆ
“...และตอนนี้ เธอก็ต้องทำเหมือนกับพนักงานของฉันคนหนึ่ง ที่จะต้องป้อนฉัน” เธอเชิดหน้าขึ้น แล้วจ้องเขาด้วยสายตาเดือดดาล พลอยนภัสคิดว่าชายหนุ่มสนุกกับเรื่องนี้ เขาสนุกกับการมีอำนาจเหนือเธอ ชายหนุ่มถอนหายใจ
“เธอก็น่าจะรู้ในสิ่งที่ฉันต้องการนี่น่า พลอยนภัส!!...” สายตาเจ้าเล่ห์ของผู้ชนะของเขามองมาอย่างผู้ชนะ
“ฉันยอมสอนหนังสือให้หลานคุณในช่วงที่ฉันฝึกงานที่นี่เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันต้องทำอย่างอื่นไปพร้อมกัน” เธอโต้แย้งเขา ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่ง ดวงตาสีเงินเป็นประกายด้วยความร้อนและอารมณ์ที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ
“ฉันทำให้เธอไม่พอใจด้วยคำพูดที่ไม่ดีหรือเปล่า” หญิงสาวทำได้เพียงหักห้ามใจ ไม่ให้ยกแก้วน้ำขึ้นทุ่มบนศีรษะที่โอหังของอีกฝ่าย ขณะที่เธอกลืนคำพูดเกรี้ยวกราดต่างๆ ลงไป พยายามต่อสู้กับโทสะที่ปะทุขึ้น แต่กลับเมินไปทางหน้าต่าง มองเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
“คุณทำให้ฉันรู้สึกแย่ค่ะ” เธอพูดขึ้นในที่สุด
“คุณขอให้ฉันทำบางอย่างเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ
“นั่นคือตอนที่เราอยู่ด้วยกัน” เขาบอก เธอยิ้มด้วยความขมขื่น
“...แต่ตอนนี้คุณไม่ได้โสดเหมือนตอนนั้น คุณแต่งงานแล้ว” เธอหันกลับมาทางเขาอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า
“ฉันไม่อยากให้ใครมองว่าฉันเป็นมือที่สาม” ปรเมศวร์ใช้ส้อมจิ้มเนื้อแกะในจาน จากนั้นก็ตักข้าวผัดทะเลใส่จาน
“ทีนี้” เขาพูด พลางเลื่อนจานอาหารไปตรงหน้าเธอ
“และค่ำคืนนี้ฉันจะให้เธอเป็นผู้ชนะ” พลอยนภัสกะพริบตา ในอกของเธอร้อนขึ้นด้วยอารมณ์ที่ขมจัด ปรเมศวร์คนเก่าของเธอได้หายไปแล้ว คนที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความคิดดี ๆ หญิงสาวขยับตัวด้วยความรู้สึกอึดอัด ทำให้ขาของเธอไปสัมผัสกับขาของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะอีกครั้ง นั่นเกือบจะทำให้เธอวิ่งหนี เธอไม่อาจนั่งที่นี่และเสแสร้งทำเป็นคนดี เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง ครั้งหนึ่งที่เขาเคยอยู่กับเธอ หญิงสาวมั่นใจว่าตอนนี้ ความดึงดูดใจของเธอได้หายไปหมดแล้ว ความปรารถนาเก่าๆ ได้ตายไปจนสิ้น ปรเมศวร์เมื่อสามปีที่แล้วผุดขึ้นมาในใจของเธอ ชายหนุ่มผู้อ่อนโยน สุภาพ ราวกับเขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ฉันอยากให้เธอรู้ ว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด ฉันแต่งงานเพราะความจำเป็น” คำพูดเหล่านั้นหลั่งไหลออกจากปากของเขาเมื่อสามปีที่แล้ว เขาอยากให้เธอรับรู้เรื่องราวที่เจ็บปวดของเขาบ้าง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้พบกับเขา ปรเมศวร์เป็นคนที่ห่วงความรู้สึกคนรัก และเขาจะไม่มีวันที่จะใช้อำนาจของตนข่มเหงใคร ความทรงจำที่เจ็บปวดย้อนกลับมาอีกครั้ง ความทรงจำของพวกเขาที่ครั้งหนึ่งเคย เดินกอดกันไปตามชายหาด มีเสียงหัวเราะพูดคุย ราวกับว่ามีเพียงเขาและเธอเพียงสองคนบนโลก เธอพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ
“คุณช่วยเล่าเรื่องหนูนาให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน ทำไมคุณถึงได้เป็นห่วงพวกแกนัก นอกจากต้องสอนหนังสือแล้ว ฉันต้องทำอะไรให้หนูนาอีกบ้าง” เขาทำเสียงไม่สบาย
“มอบปาฏิหาริย์ให้กับผม” พลอยนภัสนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณหมายความว่ายังไงคะ” ปรเมศวร์ไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับเขี่ยอาหารในจานเล่น เขามองออกไปนอกหน้าต่างยังเวิ้งฟ้าไกล
“ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าปัญหามันคืออะไร” เขาพูดหลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่
“พอพ่อกับแม่ของหนูนาเสีย เธอมีปัญหาที่โรงเรียนเป็นปี ปัญหาที่ฉันไม่รู้เลย จนกระทั่ง ครูประจำชั้นเรียกพบ เธออยู่โรงเรียนประจำและมีปัญหากับเพื่อน ฉันเลยย้ายโรงเรียนใหม่ ซึ่งปรากฏว่าเธอเรียนอ่อนมากหลายวิชา” เขาวางช้อนลง ก่อนที่จะผลักจานออกไป นัยน์ตาหม่น
“เธอเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมๆ กัน เลยทำให้มีปัญหา” พลอยนภัสพยักหน้าน้อยๆ เธอเห็นด้วยกับเขาทั้งหมดในเรื่องนี้ ชายหนุ่มถอนใจยาว ราวกับว่าเรื่องที่พูดนั้นสร้างความเจ็บปวดจนเขารับไม่ไหว
“เธอสอบตกในทุกวิชา” พลอยนภัสปัดมือไปมาให้กับคนเสิร์ฟที่พยายามจะเติมน้ำให้เธออีก
“บางทีโรงเรียนนั้นอาจไม่ถูกกับเด็กก็ได้ค่ะ”
“หนูนาเรียนอยู่ที่นั่นเกือบสองปี”
“ไม่ใช่ทุกโรงเรียนจะถูกกับเด็กเสมอไปนี่คะ”
“น้องสาวของฉัน เออ!.. แม่ของหนูนาก็จบมาจากที่นี่ เธอเลยอยากให้พวกลูกไปเรียนที่นั่นด้วย”
“หนูนาอายุเท่าไหร่แล้วคะ”
“อายุแปดขวบ” ปรเมศวร์ตอบ
“ก็ถือว่าแกยังเด็กมาก!”
“น้องของฉันก็ไปอยู่โรงเรียนประจำตอนที่เธอยังเด็กเหมือนกัน” พลอยนภัสเองก็เคยอยู่โรงเรียนประจำตอนประถมซึ่งบ้านเธออยู่นอกเมือง พ่อแม่ไม่สามารถรับส่งได้สะดวก แต่เธอไม่เคยสนุกกับมันเลย พอปิดเทอมยาวเธอก็จะดีใจมากที่ได้อยู่บ้านกับพ่อและแม่ ตอนแรก เธอเป็นโรคคิดถึงบ้านอย่างหนักแต่ในที่สุดก็ปรับตัวได้ เธอเองก็โศกเศร้าเรื่องที่ต้องเสียพ่อไปด้วยเช่นเดียวกันในวัยเด็ก
“บางทีหนูนาจะยังเด็กเกินไปและยังปรับตัวไม่ได้ที่เสียพ่อและแม่ไปพร้อม ๆ กัน เพราะกะทันหันเกินไป..เกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะรับไหว” เธอระวังคำพูด ปรเมศวร์พยักหน้า
“ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนี้พวกหนูนาก็คงจะมีความสุขที่ได้กลับบ้าน แต่ตอนนี้หนูนายังคงเก็บตัวเงียบมันเหมือนกับว่าผมกับแม่คนอื่น”
“บางทีอาจไม่ใช่เรื่องของการเรียนทั้งหมด”
“ผมเองก็สงสัยแบบนั้นเหมือนกันครับ ก็เลยเชิญหมอที่เชี่ยวชาญด้านจิตใจของเด็กโดยเฉพาะมาตรวจ ใช้เวลาอยู่กับหนูนาทั้งวัน คุณหมอบอกว่าหนูนากำลังจะผ่านช่วงของการจัดระดับความแตกต่างของเวลา และเมื่อผ่านไปนาน ๆ หนูนาก็จะดีขึ้นเอง” พลอยนภัสรู้สึกถึงน้ำเสียงที่เครียดระคนโกรธของปรเมศวร์ ดูเขาห่วงหนูนามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเท่านั้นเอง
“เพราะเหตุนี้ฉันถึงได้มาหาเธอ”
“ปรเมศวร์คะ คุณก็รู้ว่าฉันไม่ใช่จิตแพทย์ ฉันแค่เรียนครู”
“ใช่...แต่ผมต้องการให้คุณสอนหนูนา มีอีกหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอช่วยสอน
“แต่ฉันก็เพิ่งจะเริ่มได้ฝึกสอน” เธอเตือนเขา
“เธอทำได้อยู่แล้ว พลอยนภัส”
“ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับคู่มือการสอนของครูมาแล้ว และจะหาสิ่งอื่นที่คุณต้องการเพิ่มเติม เป็นต้นว่าเครื่องมือ คอมพิวเตอร์ หรือผู้ช่วยของคุณ บอกผมมาแล้วผมจะจัดหาให้คุณ” ทำไมเขาถึงทำให้เธอรู้สึกแย่ขึ้นมาแบบนี้นะ...นักเรียนระดับประถมไม่ได้อยู่ในข่ายงานของเธอ บางทีเธออาจกลัวความล้มเหลว หากได้ไปสอนหนูนา
“คุณเมศวร์คะ ฉันอยากบอกให้คุณรู้นะคะ ว่าฉันไม่ใช่ครูที่ดีที่สุดสำหรับงานนี้ และอีกอย่างฉันก็ยังเรียนไม่จบ” เธอจ้องตาชายหนุ่ม
“มีครูอีกหลายพันคนที่มีคุณสมบัติมากกว่าฉัน...”
“...แต่ไม่มีใครที่เหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้ว” เขาแทรกขึ้นเสียก่อน แล้วเอื้อมไปแตะหลังมือของหญิงสาว มันเป็นสัมผัสที่แผ่วเบาก็จริง แต่เมื่อปลายนิ้วของเขาแตะเข้าที่ผิวทำให้เธอขนลุกไปทั่วตัว นั่นคือสัมผัสที่คุ้นเคย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยมาอยู่ในใจ ในความคิดหรือชีวิตของเธอเลย
“อะไรทำให้คุณคิดว่าฉันเหมาะกับงานนี้คะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงพร่าไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย และความปรารถนาที่เธอไม่รู้จักในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่หญิงสาวกลับพยายามฝืนใจ คิดว่าเขาไม่ใช่ของเธอ และเธอก็ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป แต่นั่น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เมื่อเธอกำลังดื่มด่ำกับอารมณ์นั้น...อารมณ์ที่ถูกพัดกระพือด้วยแรงปรารถนา มันเป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่จะเป็นของเขา ความรู้สึกธรรมชาติที่สุด เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ทำไมมันถึงได้หายากและเป็นสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ ซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีกเลย ปรเมศวร์เหลียวมองไปรอบห้อง ดวงตาสีดำคมกริบของเขาดูคล้ายกับเหล็กกล้า ที่ล้อมรอบไว้ด้วยขนตาหนาแน่น เขาคือชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอด