บทนำ
เอี๊ยดดด! โครม!
เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเจ้าของรถเก๋งคันหรูที่หน้ารถอัดก๊อบปี้กับหน้ารถพ่วงคันหนึ่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายนาทีแล้ว ในหัวของเธอก็ยังคงมีเสียงเบรกและเสียงชนสนั่นหวั่นไหวดังไม่หยุดหย่อน
ส่วนเสียงหลังจากนั้น...เธอไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงของอะไรบ้าง รู้แต่ว่าเธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นชัดเจนเหนือเสียงอื่นใด
มันเต้น...ตึ้กตั้ก...ตึ้กตั้ก...คล้ายกับว่าจะปกติ แต่ก็ไม่...ไม่ได้ปกติเลย มันค่อยๆ เต้นช้าลงเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับดวงตาที่เริ่มจะพร่าพราง มองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า หญิงสาวไม่แน่ใจนักว่า ที่มองไม่ชัดเป็นเพราะหยดเลือดที่ไหลอาบลงมาบนใบหน้าจนท่วมหรือเปล่า และเธอก็ไม่ใคร่จะสนใจด้วย เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่วินาที หูที่ได้ยินสรรพเสียงต่างๆ พลันอื้อขึ้นมา
เธอ...กำลังจะตาย...หญิงสาวรู้ตัวดี ด้วยทันทีที่หน้ารถของเธอชนประสานงากับรถพ่วงคันนั้น ร่างกายบอบบางก็ถูกเบียดอัดเข้ากับคอนโซลหน้ารถจนร่างกายส่วนหนึ่งของเธอแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ความเจ็บปวดใดๆ นั้น เธอแทบไม่รับรู้อีกแล้ว หรือไม่ก็...มันเจ็บเสียจนเธอไม่รู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้ได้อีก
เธอไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยวไปไหนได้ ได้แต่รอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยที่ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งกันอยู่นอกซากรถเท่านั้น ผู้คนภายนอกนั้นงัดแงะรถอยู่นานทีเดียว เธอรู้ว่าพวกกู้ภัยรีบจัดการทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตเธออย่างร้อนรนแล้ว มีแต่เธอนั่นแหละที่รู้สึกว่านานมาก นั่นอาจเป็นเพราะเธอกำลังจะตายจริงๆ
ความตาย...ทำไมมันช่างเงียบงันและไร้ซึ่งความเจ็บปวดอย่างนี้
ร่างกายเริ่มไม่รู้สึกสิ่งใด ดวงตาที่อาบไปด้วยคราบเลือดเริ่มปรือปิด กระนั้นหญิงสาวก็พยายามจะทนพิษบาดแผล เพราะเธอไม่ได้ต้องการมาตายอยู่ที่นี่ หรือตายทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึงสามสิบอย่างนี้
ไม่อยากตาย...ไม่อยากเลย
ถ้าไม่เป็นเพราะ ‘เขา’ เธอก็คงจะไม่ต้องมาประสบอุบัติเหตุอย่างที่เป็นอยู่!
เธอคิดโทษผู้ชายที่ได้ชื่อว่า ‘สามี’ ขึ้นมาในห้วงวินาทีที่เริ่มจะหายใจไม่ค่อยออก
ถ้าเขาไม่มาโทร. บอกให้เธอเตรียมตัวไปให้พร้อม ‘หย่า’ หลังทำธุระต่างๆ ในวันนี้จบลง เธอคงไม่โมโหโทโส ตะบึงตะบันขับรถด้วยอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้น แม้ว่าบางส่วนจะเป็นความผิดของเธอที่โมโหจนประมาทก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นคนผิดก็คือสามีเธอนั่นแหละ!
หญิงสาวพร่ำโทษเขาไม่หยุด กระทั่งเปลือกตาปิดสนิท พร้อมๆ กับสติสัมปชัญญะที่เริ่มจะไม่อยู่กับตัว
‘อย่ามาโทษลูกฉันนะ!’
มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท หญิงสาวไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงอะไรหรือของใคร และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่เธอได้ยินหรือเปล่า กระนั้นเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะมาค้นหาคำตอบแล้ว ได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยให้มัจจุราชได้มารับเอาดวงวิญญาณของเธอไปสู่สัมปรายภพ
ทว่า...
‘บอกแล้วไงว่าอย่ามาโทษลูกฉัน! เธอมันประมาทเอง!’
เป็นน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคน มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร กระทั่ง...
‘ฮึ! ประมาทเองแล้วจะมาโทษลูกฉัน จะให้ลูกชายฉันมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิตเพราะเธออย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ฉันไม่ยอมแน่’
คุ้น...คุ้นมาก คุ้นจริงๆ
‘ฉันจัดการต่อรองกับท่านยมให้เธอแล้ว เธอไม่ตายแน่นอน อย่ามาทำสำอิดสำออยนะ...นี่! ฉันบอกว่าอย่ามาทำสำอิดสำออยไง!’
เสียงนั้นยังคงดังแหวใส่ไม่หยุด หญิงสาวเริ่มคุ้นกับเสียงนั้นมากขึ้นทุกที
เสียงนั้น...เหมือนกับเสียงของ...
‘เฮอะ! เอาเถอะ ในเมื่อเธอไม่มีแรงจะฟังที่ฉันพูดพร่ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้อีก กลับไปเลย’
กลับไป?...กลับไปไหน
คนฟังคิดในใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าความคิดของเธอจะถูกส่งต่อถึงคู่สนทนา
‘ก็กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวันน่ะสิ ถามอะไรมากมายฮะแม่คุณ’
กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวัน?
‘นี่ เลิกถามได้แล้ว ตั้งสติแล้วอยู่นิ่งๆ ฉันจะได้พากลับไปสักที เอ้า เตรียมตัว…’
เตรียมตัวอย่างไร หญิงสาวไม่รู้เลยสักนิด เธอได้แต่นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน เสียงของหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ดังขึ้นไม่หยุด ก่อนท่อนแขนขวาของหญิงสาวจะรู้สึกถึงความเย็นวาบจากฝ่ามือของคู่สนทนาที่มาจับเอาไว้
‘กลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งร้อยวัน...’
และนั่น...ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่หญิงสาวได้ยิน ก่อนจะไม่รับรู้อะไรได้อีกแม้เพียงกระผีกเดียว