บ้านไร่ยามรุ่งอรุณ
ตอนที่ 1
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ณบ้านไร่อัมพุนาวิน กัลย์กฤษณ์ก้าวฝีเท้าลงจากบันไดบ้าน เพราะบ้านนั้นตั้งอยู่บนเนิน ตัวเขานั้นกำลังทอดตัวเดินไปสู่ถนนที่ลาดไหล่ต่ำลงไปจากที่เดิมซึ่งเป็นลักษณะเนินภูและบริเวณหน้าบ้านมีที่สำหรับให้รถยนต์แล่นผ่านและกั้นเป็นทางเดินณเวลานี้ ก็ย่างเข้าสู่หน้าหนาวแล้วหากที่นี่เป็นทั้งฟาร์มและรีสอร์ต ซึ่งถือว่าเป็นความชื่นชอบของเจ้าของบ้านที่นางชอบดอกไม้ จึงได้มองเห็นตรงหน้า คือดอกไม้สวยงามราวกับเนรมิต บานเบ่งอวดดอกชูช่อและดูสวยงามตระการตาไปหมด เพราะมันทั้งบานสลับเฉดสีโดยเฉพาะแกลดิโอรัส หลากสีชมพูขาวส้มเหลืองตัดกับดอกหน้าวัวสีขาว
และเขานั้นเพราะหน้าที่ ของคนเป็นลูก จึงต้องกลับมาเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว เพราะนอกจากแม่เป็นหญิงแกร่งมากที่สุดแล้ว หากนางยังส่งเสียให้เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัยวุฒิปริญญาตรี ดังนั้นเมื่อจบแล้ว เขานั้นตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า จะต้องกลับมาเพื่อทดแทนบุญคุณของแม่ และก็ตอบแทนท่านด้วยการอยู่ใกล้ตัวท่านมากที่สุด อีกอย่างงานในฟาร์มเป็นงานที่หนักใช้แรงงานและต้องความอดทนอย่างสูง ครู่ต่อมากัลย์กฤษณ์ก็ก้าวมาหยุดยืนกลางแจ้ง ถึงแม้แดดจะร้อนแผดเผาขึ้นมา แต่ก็ดีที่เขาสวมเสื้อแขนยาวปกปิดเอาไว้ แสงแดดจึงไม่อาจลามเลียได้ วันนี้เขาช่วยงานแม่ เพราะแม่เหนื่อยมามากแล้ว และท่านก็เฝ้าดูแลเขามาตลอดชีวิต เขาจึงได้คิดว่าแม่สมควรหยุดพักผ่อนบ้าง และเขาจะเลี้ยงดูแม่ให้ดีที่สุด
กัลย์กฤษณ์บอกกับตัวเอง นี่คือเหตุผล
เนื่องจากเพราะแม่ไม่มีใคร แม่ตัวคนเดียว สำหรับเขานั้นมาดของหนุ่มชาวไร่ที่ค่อนข้างเก้ๆกังๆ และเขาต้องฝึกฝนเอาไว้ ซึ่งแม่สอนเอาไว้ เป็นลูกชาวไร่ต้องเจริญรอยตาม เพราะเชื้อแถวมี กัลย์กฤษณ์เป็นทายาท เสียงร้อง แบๆๆ คือฝูงแกะสีขาวขนปุกปุยจำนวนสามสิบกว่าตัว และเล็มต้นหญ้า ซึ่งปลูกไว้สำหรับเลี้ยงพวกมัน อุ้มเจ้าตัวเล็กสุดด้วยหมั่นเขี้ยวในความน่ารักปราดเปรียวก่อนจะปล่อยเจ้าตัวเล็กรีบกระโจนวิ่งไปหาแม่ของมัน
ปรากฏถึงรอยยิ้มอยู่เหนือริมฝีปากที่มีไรหนวดและเคราขึ้นเขียวครื้มเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็เพิ่งถูกโกนทิ้งได้ไม่กี่วัน ดังนั้นจึงเผยให้ใบหน้าคมคายและใสนั้นดูเกลี้ยงกลา พร้อมกับเขาสวมรองเท้าหนังเป็นแบบทอปบู้ตคาวบอย มีผ้าพันคอช่วยคลายหนาวผืนเล็ก
“อีกสิบห้านาที ขึ้นมาทานข้าวนะลูก อย่ามัวไถลไปไกลเสียจนลืมข้าวปลาอาหารล่ะ”
คุณมณีพิณเอ่ยขึ้นพร้อมกับการโผล่ตัวออกมาพร้อมกับเด็กรับใช้ในบ้าน และกำลังคิดว่านางอยากจะแวะเข้าไปตัดดอกกุหลาบตรงนั้นซักหน่อยในมือถือกรรไกรติดมือไปด้วยแถวบริเวณเนินดินซึ่งเป็นซุ้มไม้ประดับ เพราะนางนั้นมักจะชอบตัดดอกกุหลาบด้วยมือเพื่อปักแจกันและถวายพระ รวมทั้งร้อยดอกมะลิพวงใหญ่โดยมีนางสาวละไม สาวใช้เป็นผู้ติดตามถือตะกร้าดอกไม้ตามหลังไปอีกคน
“ครับแม่เอ้อ แค่กิ้นจะไปดูที่โรงเพาะเห็ดสักหน่อยเท่านั้นเอง แล้วคงจะกลับ ตอนนั้นคงจะหิวเหมือนกันครับ”
และเมื่อเขาส่งรอยยิ้มขึ้นเพื่อทักทายมารดาเสมือนปกติทุกวัน เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น หากคุณมณีพิณนั้นเธอก็ยิ้มแต่เพียงน้อย ทอดมองบุตรชายที่ชีวิตของเขานั้นในบัดนี้จากเด็กชายวัยรุ่นมาเป็นหนุ่มเน้าเต็มตัวในเวลานี้
ชายหนุ่มมีร่างกายที่สูงเพรียวสง่าเด่นตาเลยทีเดียวอีกอย่างนั้น เป็นเพราะกัลย์กฤษณ์มีความรู้ทางด้านการเกษตร และเขาเรียนจบมาทางนี้โดยตรง ดังนั้นเขาจึงอยากนำมาใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงที่ดินและพืชผล ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากมารดาเช่นกัน และนางอยากให้ลูกชายปลูกพืชผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษ จะได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากราคาดีเมื่อนำไปจำหน่ายให้พ่อค้าที่มารับซื้อถึงที่ก็ไม่ผิดหวังนอกจากจะได้ราคางดงาม และเพราะทุกคนเชื่อในคุณภาพของไร่อัมพุนาวินแห่งนี้ด้วยนั่นเอง
“เอ้อ แล้วบ่ายนี้ กิ้น ลูกจะแวะเข้าไปในเมืองอีกหรือเปล่า”
ครั้นเมื่อนางมณีพิณนึกถึงเรื่องปุ๋ยเกษตรที่เป็นปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกอินทรีย์และดินสีดา ที่กำลังจะหมดในห้องเก็บของ และต้องการสั่งซื้อเพิ่มเติมอีก เผื่อคราวหน้าไม่ต้องแวะไป เรียกว่ากักตุน และปุ๋ยซึ่งปุ๋ยเหล่านี้ไม่ใช่ปุ๋ยเคมี เพราะว่ากัลย์กฤษณนั้นได้เเรียนรู้มาแล้วว่า ปุ๋ยเคมีเป็นตัวการทำลายสารอาหารโดยธรรมชาติของดินในระยะยาวและมันก็ทำลายดินตามธรรมชาติ ทำให้ดินแข็ง และไม่อุ้มน้ำ เขาจึงไม่นำมาใช้ ซึ่งในตอนนี้ก็ตั้งใจพยายามที่จะผลิตเอง เพราะมีความรู้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกรรมวิธีของเขานั่นเองที่ไม่มีใครเหมือนและเหมือนใครเขามีสูตรส่วนตัว
“คงไม่ล่ะฮะแม่ กิ้นเข้าไปแล้วเมื่อวานก่อนโน้น มันก็ได้ของมาไม่ครบสักเท่าไหร่ อีกอย่าง ก็อยากจะตัดปัญหาเรื่องการสิ้นเปลืองเกี่ยวกับการประหยัดงบเรื่องปุ๋ยกับดิน ก็เลยอยากลองทำเองดีกว่า”
คุณมณีพิณเข้าใจที่บุตรชายเอ่ย จะว่าไปนั้นตัวนางเอง ถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา และยอมรับถึงความเจ็บปวดของชีวิตในอดีต ครั้งนั้นนางมณีพิณ เมื่อครั้งยังเป็นสาวเป็นแส้ใหม่ๆ นางนั้นได้พบรักกับชายหนุ่มใหญ่ ที่เป็นทายาทของคหบดี ในตัวจังหวัด เมื่อครั้งที่นางได้รับตำแหน่งเทพีนางสงกรานต์ จากนั้นก็ได้คบหาสนิทสนม จนกระทั่งในเวลาต่อมาทั้งคู่ได้แต่งงานด้วยกัน หากแต่ทราบภายหลังว่า สามีคือ คุณโกสีห์นั้นเคยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้รู้สึกเจ็บช้ำใจ กับการเป็นอยู่ในสภาพเช่นนี้ และดังนั้นในเวลาต่อมา เมื่อบุตรชายโตขึ้นมากแล้ว นางจึงตัดสินใจพร้อมที่จะออกจากบ้านหลังใหญ่นั้น กลับมาอยู่บ้านเดิม ในที่ดินของพ่อแม่ ที่ได้รับมาเป็นมรดกตกทอดของตัวเอง พร้อมกับหันมาก่อร้างสร้างตัวเองใหม่ เริ่มทำธุรกิจเล็กน้อย มีฟาร์มเลี้ยงแกะ และพืชไร่การเกษตรหมุนเวียน
พร้อมนำตัวลูกชายมาด้วยส่วนสินสมรสนั้นฝ่ายของนายโกสีห์เขาได้ยกที่ดินสิบห้าไร่ในตัวจังหวัดพร้อมกับเงินสดอีกจำนวนหนึ่งพร้อมกับรถยนต์อีกหนึ่งคันให้ภรรยาทางนี้