ไก่ที่ฉีกเสร็จแล้วถูกเทลงในกระทะที่ยังไม่ตั้งไฟ ตามด้วยน้ำตาลประมาณครึ่งถ้วย เกลือเล็กน้อย จากนั้นก็เทน้ำมันลงไป จากที่นางเคยทำนั้นใส่น้ำมันค่อนข้างเยอะเหมือนเวลาทอดปลา แต่ตอนนี้เฟิ่งเจี๋ยใส่ค่อนข้างน้อยเพราะต้องประหยัดเอาไว้ หม้อที่ใช้นึ่งเห็ดถูกยกลงแทนที่ด้วยกระทะทองเหลือง
ขั้นตอนนี้ต้องอยู่หน้าเตาตลอดไม่อย่างนั้นไก่อาจไหม้ได้ นางเองก็จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจึงนั่งคนไก่ไปมาได้อย่างสบายใจ ประมาณครึ่งเค่อก็ซอยหอมแดงใส่ลงไปแล้วคนต่ออีกประมาณเกือบหนึ่งเค่อ กลิ่นหอมของหอมแดงและน้ำตาลลอยไปทั่วห้องครัวจนอี้หานอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้
ไม่นานก็ได้ที่ ไก่ฝอยถูกตักใส่กระด้งเพราะไม่มีจานที่ใหญ่พอให้นางใช้ จากนั้นก็ใช้ตะเกียบแยกไก่ออกจากกันเรื่อยๆ เพราะหากแห้งแล้วน้ำตาลจะแข็งตัวและเกาะกันไม่น่าทาน แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาใส่โถที่มีฝาปิดมิดชิดกันมดเก็บไว้ทานได้เป็นเดือน
หลังจากนั้นนางก็มองหาว่ามีอะไรที่ยังไม่ทำอีกบ้าง ก่อนจะเจอมันเทศที่เก็บมาเสียมาก พอเห็นแล้วรู้สึกอยากกินขนมไข่เต่าเลย หรือว่านางจะทำขายดีนะ ทำง่ายทุนน้อย น่าจะได้กำไรพอควร เดี๋ยวค่อยคิดละกัน ก่อนจะนำมันกองไว้แถวๆ ใต้ตู้กับข้าว
ช่วงสองสามวันนี้ต้องจัดการเรื่องบ้านและของกินเสียก่อนถึงจะไปคิดเรื่องหารายได้ทีหลัง
“คุณชาย ไปนอนกลางวันเถอะเจ้าค่ะ” ไม่ใช่เพราะนางอยากให้อี้หานมีเพื่อนนอน แต่เป็นนางเองนั่นแลที่เหนื่อยจนอยากพักสักหน่อย หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินตามกันไปยังห้องของอี้หาน
อี้หานขอให้เฟิ่งเฟิ่งขึ้นมานอนบนเตียงเป็นเพื่อนตน ไม่ต้องนอนข้างล่าง หญิงสาวก็ขึ้นเตียงไปอย่างเต็มอกเต็มใจ ผู้ใดตั้งใจจะนอนพื้นกัน มันเป็นแผนทั้งนั้น สุดท้ายสองนายบ่าวก็หลับไปทั้งบ่ายพร้อมลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างให้หลับสบายมากขึ้น
ด้านหยางหรงที่เดินพุงกางเข้ามาในจวนเพื่อไปฝ่าฟืนช่วยเหล่าบ่าวชายที่ตนสนิทด้วย เขานั้นแต่ก่อนเคยเป็นขอทานเร่ร่อน ไม่ได้เป็นขอทานตั้งแต่กำเนิดหากแต่อดีตที่ลึกกว่านั้นไม่น่าจดจำเท่าใดนัก
ช่วงวัยสิบแปดหนาวเคยช่วยเหลือท่านแม่ทัพเอาไว้ จึงพาเขาไปอยู่ในค่ายช่วงที่ไปรบกับแดนเหนือเมื่อหลายปีก่อน นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการมาอยู่ที่นี่ของเขา
เหตุการณ์เสี่ยงตายในครานั้นเขาจำได้ขึ้นใจ ด้วยเพราะเขาเป็นขอทานจึงต้องหูตาไว หลบหลีกผู้คนและชอบฟังเสียงรอบข้างเผื่อจะมีประโยชน์ต่อตนในการหาอาหาร จึงจับสังเกตได้ว่ารองแม่ทัพผู้หนึ่งเป็นไส้ศึก ใส่ยาพิษของชนเผ่าลึกลับที่เข็มตรวจสอบไม่ได้ลงในอาหาร
แต่เมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพทุกคนในกระโจม ล้วนไม่มีผู้ใดเชื่อ แน่นอนไม่มีอันใดแปลก เขาเป็นขอทาน พวกเขาเป็นแม่ทัพ
แต่กลับมีอยู่ผู้หนึ่งนั่นคือแม่ทัพชูที่เชื่อเขา และเขามีอำนาจสูงสุด อาหารทั้งค่ายถูกเททิ้งทั้งหมด เหล่าทหารหลายแสนนายกร่นด่าตัวปัญหาเช่นเขาทั้งต่อหน้าและลับหลังในเย็นวันนั้น
ในตอนนั้นหยางหรงนั่งตัวสั่นบีบมือเป็นนกน้อยตกน้ำ ไม่หลงเหลือความมั่นใจในคำพูดตนเองอีกแล้ว กลัวว่ามันอาจจะไม่มียาพิษจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ผู้คนเดือดร้อนเพราะคำพูดเขาไปแล้ว ยามนั้นกลับมีมือหยาบกร้านตบบ่าเขาเบาๆ ทั้งยังเอ่ยกับเขาว่าตราบจนตอนนี้ก็ยังเชื่อในคำพูดของเขา
และสุดท้ายคำบอกเล่าของเขานั้นก็ถูก พ่อครัวที่แอบเก็บอาหารไว้กินทั้งยังแบ่งปันให้กับทหารหลายสิบนายเสียชีวิตในค่ำคืนต่อมา ไม่มีเลือด ไม่มีแผล แต่หลับไปชั่วชีวิต เหตุการณ์นั้นหากไม่ได้เขาแล้วคงพ่ายให้กับแดนเหนืออย่างไม่ต้องคาดเดา
หลังจบศึกที่ใช้เวลานานกว่าสองปีท่านแม่ทัพจึงพาเขากลับมาอยู่ที่จวน ช่วยงานหัวหน้าพ่อบ้านไปพลางๆ แต่ความจริงแล้วเขานั้นไม่ค่อยได้ทำอันใดนัก เขาไม่ใช่บ่าวของเรือน ไม่มีสัญญาทาส เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่อยู่ที่นี่ มีเบี้ยหวัดน้อยกว่าพ่อบ้านอยู่หนึ่งส่วน
อำนาจของเขามากกว่าบ่าวทุกคนในเรือน ต่ำกว่าหัวหน้าพ่อบ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่ได้มีหน้าที่ดูแลจวนโดยตรง อำนาจจึงเป็นเพียงอำนาจที่ไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าใด บ่าวในเรือนส่วนมากจึงไม่ได้พบเจอเขาบ่อยนัก
กล่าวตามจริงคือท่านแม่ทัพไม่มีเวลามอบหน้าที่อันใดให้เขา นำเขามาทิ้งไว้กับท่านพ่อบ้านส่วนตนนั้นต้องไปทำศึกช่วยสหายต่อ เขาจึงช่วยสหายผ่าฟืนหาบน้ำอยู่เป็นประจำแทน
จนเมื่อท่านแม่ทัพพาอนุหวังเข้าจวนมา ท่านพ่อบ้านจึงวานให้เขาไปอยู่ที่เรือนเพื่อช่วยเหลือบ่าวสาวและคุ้มกันอนุหวังด้วย แต่พอเขาเข้าไปได้เพียงครึ่งชั่วยามก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาไม่ยอมให้เขาพักอาศัยอยู่ชายคาเดียวกันเพราะคิดว่ามีคนต้องการวางแผนใส่ร้ายนางว่าลับลอบมีชู้กับเขา
นับตั้งแต่นั้นมาเขาจึงพักอยู่ที่เดิม หากแต่มีหน้าที่หาบน้ำขนฟืนไปให้เรือนท้ายจวนเพิ่มเข้ามาตราบจนถึงวันนี้
“อาหยาง มาแล้วหรือ” เสียงหัวหน้าพ่อบ้านเอ่ยถามเขาด้วยความนุ่มนวลต่างจากยามที่พูดกับบ่าวทั่วไปมากโข หยางหรงเดินไปคารวะพ่อบ้านด้วยความนอบน้อมอย่างที่เคยทำมาตลอด
“ขอรับพ่อบ้าน”
“เมื่อไหร่เจ้าจะเรียกข้าว่าบิดา” พ่อบ้านจางเอ่ยดุอย่างไม่จริงจังนัก ชายหนุ่มตรงหน้าที่อยู่เคียงข้างเขามาหลายปีไม่ยอมเรียกเขาว่าบิดาเสียที เขานั้นเป็นพ่อบ้านที่จวนนี้มาทั้งชีวิต บิดาเขาเป็นพ่อบ้านที่นี่ พอท่านจากไปเขาก็รับหน้าที่นี้แทนเพราะคลุกคลีมาตั้งแต่เกิด
มีภรรยาที่แก่เฒ่ากันมาคือยายเฒ่าจิน เขาไม่มีบุตรเพราะเป็นหมัน อยู่กันมาเสียนานจนมีอาหยางเข้ามาในจวน เด็กหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยน ดูแลทั้งเขาและยายเฒ่ามาตลอดจนเขาเอ่ยหลายครั้งหลายคราให้เรียกเขาว่าบิดา
แต่เหมือนเด็กน้อยผู้นี้จะมีความหลังที่ไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัว บ่อยครั้งที่เขาพูดเช่นนี้อีกฝ่ายเพียงยิ้มให้เขาแผ่วเบาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียดื้อๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เจ้าเด็กคนนี้ แล้วบ่าวคนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“นางดีมากขอรับ วันนี้ทั้งช่วงเช้านางทำเนื้อตากแห้ง ทำอาหารอีกมื้อให้คุณชายและข้ากินด้วยขอรับ ท้องข้ายังแน่นอยู่เลย”
“ดีดี แล้วเจ้าจะไปพักอยู่ที่นั่นหรือไม่เล่า” ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลายกยิ้มขึ้นอย่างนึกขัน อาหยางลูบท้องตนเองให้เขาดูเหมือนเด็กน้อยสิบหนาวไม่มีผิด ทำโดยไม่รู้ตัวกระมัง
“ค่ำนี้ข้าจะคุยกับนางดูขอรับ”
“อืม ไปเถอะ” หยางหรงคำนับพ่อบ้านก่อนจะเดินไปพบสหายที่โรงฝ่าฟืน ช่วงเวลาทั้งบ่ายเขาจึงขลุกอยู่ที่นี่จนเกือบถึงต้นยามเซิน (15:00-16:59) หลังจากนั้นก็หอบฟืนบางส่วนใส่กระบุงแบกขึ้นหลังตรงไปเรือนท้ายจวนทันที
ด้านสองนายบ่าวนั้นหลับใหลกันอย่างมีความสุข เป็นบ่าวสาวอย่างเฟิ่งเจี๋ยที่ตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อออกไปมองท้องฟ้าภายนอกก็พบกว่าใกล้ค่ำเสียแล้ว ดังนั้นจึงรีบไปล้างหน้าล้างตาเพื่อทำอาหารและนำของที่นางตากไว้มาเก็บให้เรียบร้อย
ก่อนอื่นต้องจุดไฟหุงข้าวเอาไว้ค่อยไปทำอย่างอื่น ปากเล็กพึมพำเบาๆ ก่อนนั่งลงบนตั่งไม้จัดการฝ่าฟืนให้เป็นชิ้นเล็กๆ หลังจากนั้นไม่นานไฟก็ถูกจุดจนติด นางจะทำผัดเครื่องในไก่ และผัดเห็ดโคนใส่ไข่ลองดู เมื่อจัดการหุงข้าวไว้แล้วก็ออกมาลานบ้านเพื่อเก็บของตากก็เห็นพี่หยางเดินมาพอดี
“อะไรหรือเจ้าคะ”
“ฟืนน่ะ” หยางหรงเอ่ยบอกก่อนจะนั่งลงแล้วนำฟืนในกระบุงออกมาจัดเรียงเป็นแถวให้แก่นาง เฟิ่งเจี๋ยจึงหันมาเก็บเนื้อตากแห้ง เห็ดและพริกต่อ
“ข้าวานท่านปลุกคุณชายได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้” ไม่นานสองนายบ่าวก็เดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกันก่อนจะมานั่งอยู่บนแคร่ในครัวเช่นเดิม ตอนนี้เหมือนกับว่าพวกเราใช้ห้องครัวเป็นหลักเสียแล้ว อี้หานนั่งสลึมสลือมองหยางหยางทีเฟิ่งเฟิ่งทีอยู่เงียบๆ
“คุณชาย ลองเขียนอักษรที่ฝึกไปเมื่อเช้าได้หรือไม่เจ้าคะ ยังจำได้อยู่หรือไม่” ถาดทรายถูกยกมาวางตรงหน้าเด็กน้อยที่พึ่งตื่น หากแต่มือเล็กๆ ก็รับไม้มาจับไว้ไม่มีทีท่าต่อต้านอันใด
“อื้อ”
หยางหรงมองตามมือเล็กๆ ที่กำลังขีดเขียนบนกระบะทรายด้วยความตั้งอกตั้งใจ เหมือนว่าเฟิ่งเจี๋ยจะสอนให้คุณชายเขียนชื่อตนเองกระมัง ตัวอักษรยึกยือแต่กลับเขียนถูกลำดับทำเขาอดรู้สึกชื่นชมความจำของเด็กน้อยไม่ได้
“เส้นนี้เขียนแบบนี้ขอรับคุณชาย” ขีดสุดท้ายหยางหรงจับมือคุณชายสอนอีกฝ่ายให้เขียนแทนเพราะอี้หานเขียนมันไม่ได้สักที
“เก่งมากเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยหันหน้ามามองก่อนจะเอ่ยชื่นชมอี้หานพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้ารู้หนังสือด้วยหรือ”
“ข้าพอรู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ ท่านแม่ข้ามาจากตระกูลขุนนางเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยโกหกคำโตกลับไป มองตามมือที่หยางหรงที่กำลังสอนเด็กน้อยขีดเขียน
อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าการเขียนของตนเองก็คือคนรู้หนังสือเช่นกัน น่าจะรู้มากกว่านางเสียด้วยซ้ำ ดูจากการตวัดไม้ขีดเขียนของเขา หากแต่คงเพราะอยู่กับท่านพ่อบ้านมานานกระมัง เฟิ่งเจี๋ยจึงหันไปสนใจงานตนเองต่อ
เริ่มจากเก็บของที่นางตากเอาไว้เข้ามาเก็บไว้รวมถึงชุดใหม่ของอี้หานที่แห้งดีแล้ว นางลองดมดูได้กลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมๆ อยู่พอประมาณเท่านั้น เกรงว่าต้องใส่ทั้งขวดหากอยากให้ผ้าหอมมากกว่านี้
เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่าพี่หยางกำลังนั่งฝ่าฟืนเพิ่มเข้าไปในเตาให้นาง หญิงสาวยิ้มขอบคุณอีกฝ่ายไป วางของที่เก็บมาไว้บนแคร่ หยางหรงก็เดินไปหยิบถ้วยมานั่งเก็บออกจากกระดานไม้สานตากแห้งให้นางอย่างรู้งาน ให้นางเอาเวลาไปทำอาหารอร่อยๆ ให้เขากับคุณชายดีกว่า งานพวกนี้เขาทำช่วยนางได้ไม่ลำบากอันใด
“ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกันเจ้าด้วย”
“เรื่องใดหรือเจ้าคะ”
“จริงๆ ข้าต้องพักอยู่ที่เรือนนี้ แต่ครานั้นอนุหวังไม่ไว้ใจข้าจึงไล่ข้าไปนอนที่อื่น ตอนนี้ข้าสามารถย้ายมาพักอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ได้ไม่ได้แล้วแต่เจ้า” หยางหรงเอ่ยบอกออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ตัวเขานั้นแล้วแต่นาง หากนางให้เขาอยู่เขาก็จะอยู่แต่หากนางไม่อยากให้เขาอยู่ก็ไม่เป็นอันใด เขาก็แค่อยู่ที่เดิมเพียงเท่านั้น
เฟิ่งเจี๋ยหยุดคิดไปเพียงครู่ จริงๆ แล้วมีบุรุษเข้ามาอยู่ในเรือนด้วยก็ดีเหมือนกัน บางทีนางก็กลัวโจรจะขึ้นเรือนหรือไม่ก็มีงูมีแมงป่องเข้ามาในเรือน เช่นยามกลางค่ำกลางคืนยามที่นางได้ยินเสียงบางอย่าง สิ่งแรกที่นางนึกกลัวคือโจร
แม้มันอาจจะเป็นเพียงเสียงลมเสียงนกก็ตาม เพราะว่าอยู่กันสองคนนางถึงระแวงขนาดนี้ หากมีบุรุษอยู่ด้วยอย่างน้อยนางก็เบาใจมากขึ้น
“พักได้เจ้าค่ะ ดีเสียอีกจะได้มีคนดูแลคุณชายช่วยข้า”
“หึ งั้นข้าไปเก็บข้าวของก่อนแล้วจะมาหาบน้ำให้” หยางหรงยิ้มกับท่าทางซุกซนของนาง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะคาดเดาคำตอบจากนางเอาไว้แล้วหลังจากที่ได้รู้จักนางเพียงไม่นานก็ตาม เขาไม่นึกว่านางจะซุกซนเช่นนี้ นับว่าแตกต่างจากสตรีเรียบร้อยทั้งเมืองหลวงเลยก็ว่าได้
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับก่อนจะหันมาเก็บเนื้อแห้งที่อีกฝ่ายยื่นให้ใส่ไว้ในตู้ต่อ เก็บใส่ตู้เอาไว้รวมถึงพริกและเห็ดวางข้างๆ กัน นำชุดเด็กน้อยเข้าไปเก็บในห้องก่อนกลับมายังครับ ยกถ้วยข้าวลงจากเตา แล้วทำอาหารเป็นอย่างต่อไป
เครื่องในถูกล้างจนสะอาด ให้เหลือแต่ตับ หัวใจ และไต จากนั้นหั่นมันเป็นชิ้นๆ ก่อนนำไปผัดกับกระเทียมโดยที่ยังไม่ใส่พริกจนสุกดีตามด้วยเห็ดที่เตรียมไว้ เมื่ออาหารสุกนางก็ตักใส่จานแยกเอาไว้สำหรับอี้หาน นางยังไม่อยากให้เขากินเผ็ดในตอนนี้ ค่อยๆ ลองกินไปดีกว่า จากนั้นพริกสดสามเม็ดที่ถูกทุบแหลกๆ แล้วก็ถูกนำลงไปผัดต่ออีกสักหน่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นยกออกจากเตา