Chapter 4: อีกด้านที่ไม่เคยเห็น
ตื่นสายกันตามปกติ และขี้เกียจออกไปกินข้าวข้างนอก จึงสั่งพิซซ่ามากิน
ตั้งใจว่าตอนบ่ายๆ จะออกไปตระเวนเที่ยวคาเฟ่ ถ่ายรูปชิลๆ กินอิ่มก็ต่างนั่งมุมใครมุมมัน เล่นเกมบ้าง ไถทวิตและอัปรูปลงเฟซฯ กับอินสตาแกรม แล้วแท็กหากัน ยกเว้นไอ้ตรี ผู้ไม่มีทั้งไอจีและเฟซบุ๊ก มีแค่ทวิตเตอร์เอาไว้ส่องแท็กแซบๆ ยามดึก
จากนั้นฉันก็อ่านข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่อยู่หน้าฟีดข่าวในจอโทรศัพท์ จู่ๆ ฉันก็เห็นข่าวที่ทำเอาตกใจ เพราะคนในภาพที่อยู่ในกรอบของเนื้อข่าวที่มีใบหน้าบวมช้ำนั้นคือไอ้คนปากหมาเมื่อวานที่ชื่อแทนไท มันเป็นข่าวเพราะมันเป็นไฮโซหนุ่มนามสกุลดัง ซึ่งนามสกุลมันคนละนามสกุลกับไอ้ตรี แสดงว่า
ไอ้ตรีไม่ได้ใช้นามสกุลพ่อมัน หรือไม่ไอ้แทนไทก็ใช้นามสกุลทางแม่
มันไปแจ้งความว่าถูกชายชุดดำสวมไอ้โหม่งบุกไปทำร้ายร่างกายในบ้านพักที่หัวหินถึงห้องนอนเมื่อตอนดึกของเมื่อคืน
ซึ่งบังเอิญว่ากล้องวงจรปิดในบ้านพักเสีย เลยไม่ได้มีหลักฐานมัดตัวว่าคนร้ายคือใคร พอนักข่าวถามว่ามันสงสัยใคร และก่อนหน้านั้นมีเรื่องกับใครมาก่อนหรือเปล่า มันบอกว่า
‘มีคนที่น่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ว่านิสัยไอ้คนนั้นมันขี้ขลาด คงไม่ใช่มันหรอก แต่อาจเป็นแค่โจรกระจอกที่ปีนเข้าบ้านหวังจะขโมยทรัพย์สิน แล้วบังเอิญมันเข้ามาเจอผมในห้อง ก็เลยถูกมันเล่นงาน’
แม้แต่ตอนให้ข่าว มันยังทำปากแจ๋วไม่เลิก โจรกระจอกคนนั้นน่าจะกระแทกปากให้มันพูดไม่ได้เป็นสักเดือนน่าจะดี
ฉันหันไปทางไอ้ตรี เห็นมันจ้องจอโทรศัพท์แล้วยิ้มมุมปาก แววตามันวาบขึ้นเหมือนแสงสีขาวบนฟ้า ก่อนเวลาฟ้าจะฟ้าผ่า จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที มันเหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ไอ้ตรีเพื่อนของฉัน
ฉันคงเผลอจ้องมันนานไป มันหันมาทางฉันพอดี พอสบตากัน มันกลับส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ฉันแสนคุ้นเคย
เมื่อกี้ฉันคงตาฝาดไปหรือเปล่า ที่เห็นรอยยิ้มเหี้ยมๆ กับแววตาแปลกๆ ของมัน แต่ว่า...ชายสวมชุดดำและหมวกไอ้โม่งเมื่อคืนที่เข้าไปทำร้ายไอ้แทนไท เป็นมันหรือเปล่าวะ
เมื่อคืนตอนตีสาม มันเพิ่งกลับจากข้างนอก สวมชุดดำ แต่มันไม่ได้สวมหมวกไอ้โม่ง แค่ใส่หมวกแก็ปสีดำเท่านั้น แต่มันคงจะแปลกไป หากมันจะเดินไปไหนมาไหนด้วยการสวมหมวกไอ้โม่ง
มันจะเป็นใครอื่นไปได้ยังไง เพราะเมื่อวานเราเพิ่งมีเรื่องกับไอ้แทนไทไป จริงๆ คนมีเรื่องคือฉันมากกว่า และไอ้ปากหมานั่นมันอาจมีศัตรูอีกหลายคน เพราะดูนิสัยมันแล้ว มันน่าจะมีเรื่องกับใครต่อใครไว้เยอะ
อีกอย่างไอ้ตรี มันไม่ใช่คนจะมีปัญหาไปชกต่อยใครได้ ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันต้องเป็นฝ่ายปกป้องมัน และตอนปีสาม พวกเราไปเที่ยวผับ สาวๆ กลุ่มหนึ่งกรี๊ดมัน จนทำเอาผู้ชายในกลุ่มนั้นหมั่นไส้ รุมกระทืบมันในลานจอดรถ ขณะที่มันจะไปเอารถมารับคนอื่นๆ ถ้าฉันกับเพื่อนๆ ไม่ไปช่วยไว้ มันคงกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่มันหรอกมั้ง
หรือฉันควรจะถามมันตรงๆ เพราะถึงจะคิดว่าไม่ใช่มัน แต่เมื่อทบทวนทุกอย่างประกอบกัน ทั้งชุดดำ หมวกไอ้โม่งที่มันซื้อมาจากตลาด โดยเฉพาะเมื่อคืนมันออกไปข้างนอกด้วย
แถมบ้านพักที่ไอ้แทนไทอยู่ ก็เป็นของครอบครัวมัน มันก็คงสามารถเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้อยู่แล้ว ซึ่งดูเหมือนบ้านพักหลังนั้นจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ด้วย
ทุกอย่างมันชี้ชัดมาที่ไอ้ตรีจริงๆ
ถ้ามันจะแก้แค้นไอ้ปากหมานั่นจริงๆ มันก็สมควรอยู่นะ เพราะฉันเองตอนได้ยินคำพูดถ่อยๆ ของมัน ฉันยังอยากจะฆ่ามันเลยด้วยซ้ำ แต่ฆ่าคนมันผิดกฎหมาย แต่ได้เตะมันสองครั้งก็ยังไม่หนำใจเลย
“มึงเป็นไรจ้องหน้ากูอยู่นั่นแหละ” จู่ๆ ไอ้ตรีก็ขยับมานั่งข้างๆ
“มึงเห็นข่าวนี้หรือยัง” ฉันยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้ามัน
“เฮ้ย นี่ไอ้แทนไทนี่หว่า” แล้วมันก็กวาดตาอ่านข่าวไม่กี่นาทีมันก็หัวเราะร่วน
“สมน้ำหน้า โดนซะบ้าง คงไปทำปากหมากับใครเขาเข้าละสิ วิ่งแจ้นไปแจ้งความเลยนะมึง”
“มึงคิดว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้เปล่าวะ”
“ไม่มีทาง” มันตอบออกมาแบบไม่ลังเลเลย ทำให้ฉันชะงักจ้องมองมันอย่างจับสังเกต และเหมือนมันจะรู้ตัวจึงเอ่ยต่อว่า
“ก็ในข่าวมันบอกกล้องวงจรปิดที่บ้านพักเสียไง ก็ไม่มีหลักฐานจะไปตามจับได้ยังไง ที่สำคัญคนอย่างไอ้แทนไทน่ะสร้างศัตรูไปทั่ว ตำรวจคงทำงานหนัก ถ้าจะหาผู้ร้ายจริงๆ”
“ดูมึงมีความสุขเนาะที่ไอ้นั่นโดนกระทืบ”
“ก็แหงสิ สมน้ำหน้า มาปากหมากับมึงทำไมล่ะ โดนแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
แววตามันขณะพูด มันวาบแสงชั่วร้าย จนฉันรู้สึกขนลุกนิดๆ บอกตรงๆ ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้ของไอ้ตรีมาก่อนเลย มันน่ากลัว ขณะเดียวกันมันก็...ชวนค้นหา เหมือนมันซ่อนความร้ายกาจบางอย่างไว้ในตัวมัน
“มึงไม่ได้เป็นคนทำใช่มั้ย” ฉันลองหยั่งท่าทีมันดู
มันชะงักไปชั่วครู่ แล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนย้อนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนฉันเดาใจมันไม่ถูก
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
“กูไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะไปต่อยตีใครได้” ตอนยังเด็กมันถูกรังแกก็ไม่เคยสู้กลับด้วยซ้ำ แม้ฉันจะสอนมันต่อยมวยแล้วก็เถอะ
“อือ...ก็จริง แต่ไม่แน่นะ...ถ้าคนนั้นปากหมาและคิดจะเอามึงทำเมีย กูก็อาจทำได้” จบประโยคมันก้มหน้าแล้วยิ้มมุมปาก ช่างเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดเพราะฉันเหมือนเพิ่งเคยเห็นมันยิ้มแบบนี้
เราหยุดคุยกันแค่นั้น เพราะไอ้พัทบอกให้เราเตรียมตัวออกไปข้างนอกกัน
เราตระเวนไปนั่งคาเฟ่ ถ่ายรูปอยู่หลายร้าน ตบท้ายด้วยการขึ้นไปชมวิวที่เขาหินเหล็กไฟ
เรากลับถึงบ้านพักเกือบสามทุ่ม เพราะแวะกินมื้อค่ำก่อนกลับ อาจเพราะมีความสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับไอ้ตรีและครอบครัวของมัน แต่คิดว่าก็ไม่ควรถามอะไรมันมาก และควรรู้เท่าที่มันบอก ทว่าความอยากรู้ของคนเราก็ห้ามไม่ได้จริงๆ
พออาบน้ำเสร็จ เพื่อนๆ รวมกลุ่มกันตั้งวงกินเบียร์ในห้องโถง ฉันก็นั่งเสิร์จชื่อนามสกุลของไอ้ไฮโซแทนไทดู ซึ่งตอนนี้เป็นลูกบุญธรรมของพ่อไอ้ตรี ที่นามสกุลเอี่ยมเกษมไพศาล ก็ตรงกับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ชื่อเอกภพ เอี่ยมเกษมไพศาล
ฉันเพ่งมองนักธุรกิจในภาพ ซึ่งในภาพอายุมากแล้ว แต่เค้าโครงหน้านั้นยังหล่อเหลาและสง่างามน่าเกรงขาม ที่สำคัญหน้าเหมือนไอ้ตรี แน่นอนเหมือนพี่ชายไอ้ตรีคนที่ตายไปแล้วด้วย
พ่อชื่อเอก ลูกคนโตชื่อโท ลูกคนเล็กชื่อตรี
ชื่อจริงพ่อว่าเอกภาพ แล้วชื่อจริงของพี่โท...คืออะไรวะ ลืมถามไอ้ตรี แต่ไอ้ตรีชื่อจริงคือตรีทัต
ตั้งแต่เด็กจนโตไอ้ตรีไม่เคยบอกฐานะตัวเองเลย ตอนยังเด็ก ก็เห็นว่ามันกับแม่แต่งตัวดี แต่ก็คิดว่าเพราะทั้งสองเป็นคนกรุงเทพฯ การแต่งตัวดีกว่าคนบ้านนอก มันก็เป็นเรื่องปกติ อีกอย่างมันคงไม่ใช่คนขี้อวดฐานะทางบ้าน และในตอนนั้นพ่อกับแม่มันก็เลิกกันด้วย
แต่พอมันบอกเมื่อวานว่าได้ไปเรียนที่ลอนดอนกับพี่ชายก็พอรู้ว่าฐานะทางบ้านน่าจะดีอยู่
แต่ดูประวัติของพ่อมันแล้ว รวมทั้งประวัติธุรกิจของครอบครัวที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มาหลายปี ก็น่าจะถึงขั้นผู้มีอันจะกินของเมืองไทย
ความสงสัยในตัวไอ้ตรีมันก็หวนกลับมาหาฉันอีกครั้ง เพราะตอนมันกลับกรุงเทพฯ แรกๆ ก็คุยกันบ่อย จากนั้นก็ห่างๆ กันไปตามวันเวลา กระทั่งเราขาดการติดต่อกันไปเกือบปี ก่อนมาเจอกันที่มหาวิทยาลัยแบบบังเอิญ
ตอนนั้นมันก็ไม่ได้บอกว่าจบไฮสคูลจากลอนดอน ฉันคิดว่ามันเรียนจบมอปลายในกรุงเทพฯ มาตลอด แต่มันคงไม่อยากพูดอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องพี่ชายที่เสียชีวิตที่อังกฤษ ในเหตุการณ์อุบัติเหตุที่มีมันอยู่ในรถด้วย
แถมยังถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน ตอนแรกมันบอกออกมาเอง เพราะไม่อยากอยู่ในบ้านที่ไม่มีแม่ แต่จริงๆ เพราะบ้านนั้นนอกจากมีแม่เลี้ยงแล้วยังมีลูกบุญธรรมอย่างไอ้แทนไทอยู่ร่วมบ้านด้วยละมั้ง เป็นฉันก็คงไม่อยู่ร่วมบ้านกับไอ้แทนไท แค่เจอครั้งแรกยังเกลียดขี้หน้าเลย
ฟังจากคำพูดของไอ้แทนไทวันก่อน เหมือนว่าไอ้ตรีถูกพ่อไล่ออกจากบ้านด้วย ทำไมพ่อใจร้ายจัง ดูหน้าในภาพนี้แล้ว ก็ออกจะดูหล่อ สุขุม แววตาก็อ่อนโยน เขารู้บ้างมั้ยว่าลูกชายแท้ๆ ตัวเองลำบาก ไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าหอพัก ต้องเล่นดนตรีในผับเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี
คิดแล้วฉันยิ่งรู้สึกสงสารไอ้ตรีจับใจ ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ฉันจะไม่ปล่อยมือจากมันเด็ดขาด และมันคงถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือน้องริน ฉันไม่อยากทำผิดกับน้องเขาอีกต่อไป เพราะฉันรู้แล้วว่าการจะไม่มีอะไรกับไอ้ตรีอีกนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้
“ไอ้เก้าทำอะไรอยู่ ออกมากินเบียร์เถอะ คนอื่นๆ รอชนแก้วกับมึงอยู่” ไอ้นุ่นโผล่หน้ามาเรียก
“ไปสิ”
คืนนี้ยังอีกยาวไกล เพราะทั้งดื่ม ร้องเพลง เล่นกีตาร์ ถ่ายรูป กลั่นแกล้งกันตามประสาเพื่อนที่ทั้งรัก ทั้งหมั่นไส้กันบ้างในบางอารมณ์
“ฉลองที่วันนี้ไอ้ปีเมาแล้วไม่ร้องไห้” ไอ้พัทพูดขำๆ ก่อนทั้งทุนจะหัวเราะเสียงดัง ยกเว้นไอ้ปี
“เอ่อ จะให้ร้องไห้ทุกครั้งที่เมาก็ไม่ได้ป่ะ แต่กูง่วงอะ” พูดจบมันก็ทิ้งตัวหนุนตักยัยนุ่น แล้วก็หลับไปเฉยๆ
“ไอ้ห่า มันคิดตักกูเป็นหมอนหรือไงวะ” ยัยนุ่นพูดฉุน แต่ก็ไม่ได้ผลักไสอะไร ปล่อยมันหลับคาตักไปกระทั่งตัวมันเอ็งก็ง่วง เลยปลุกไอ้คนที่นอนตัก พยุงไปนอนในห้อง และตัวมันก็ไม่ได้ออกมา ฉันโผล่หน้าไปดู ปรากฏว่าหลับอยู่ข้างๆ ไอ้ปี
ฉันกำลังลังเลว่าควรปลุกยัยนุ่นไปนอนที่ห้องของเรา หรือปล่อยมันไว้อย่างนั้น แต่คิดว่ามันไม่ควร ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่มันก็คือชายกับหญิง ใกล้ชิดกันมากเกินไป มันก็อาจเกิดอะไรที่...อาจจะต้องเสียใจทีหลัง
ฉันจึงเดินเข้าไปเรียกยัยนุ่นกลับไปนอนห้องตัวเอง แต่เรียกยังไงมันก็แน่นิ่ง เหมือนคนหมดสติ จึงเรียกไอ้ตรีมาช่วย ซึ่งมันก็ไม่ได้แย้งอะไร ช้อนร่างของยัยนุ่นไปนอนที่ห้องของฉันให้
“กลัวมันจะเหมือนคู่ของเราเหรอ”ไอ้ตรีพูดทิ้งท้ายสีหน้ากวนๆ แล้วขยิบตาให้ ก่อนเดินออกจากห้องไป
ก็แน่นอนสิ เพราะถ้ามันอาจเกิด มันจะมีเรื่องให้ลำบากใจ หรือสับสนเหมือนเช่นฉันอยู่ในตอนนี้
วันรุ่งขึ้นพวกเราเดินทางต่อไปยังปราณบุรี พักอยู่ที่นั่นสองคืน ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ สำหรับทริปหน้านั้นจะเป็นที่ไหน ค่อยว่ากันอีกที เมื่อพวกเราทุกคนพร้อม
"""""""""""""""""""''