กูจะกลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้! ณ บัดนี้!

1899 Words
กว่าพวกขี้เหล้าข้างห้องที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งจะหยุดร้องเพลงก็ปาเข้าไปตีสามเกือบตีสี่ แน่นอนว่าผมแทบไม่ได้หลับเลย มาหลับเอาตอนเช้ามืดได้งีบนึงก็ต้องตื่นเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังตอนหกโมง จะไม่ตื่นก็ไม่ได้ ดันเป็นวันฝึกงานวันแรกอีก ผมก็เลยต้องสะโหลสะเหลไปแต่งเครื่องแบบนักศึกษาเต็มยศ ขับรถไปที่ฝึกงานในสภาพผีตายซาก โชคดีที่การจราจรช่วงเช้าในตัวเมืองพิษณุโลกไม่น่าปวดหัวเท่ากรุงเทพฯ น่ารำคาญนิดหน่อยตรงที่มอเตอร์ไซค์เยอะ แต่ก็ถือว่าขับง่ายกว่าเมืองหลวงเยอะ ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ผมก็มาถึงยังที่หมายแล้ว วิทยาลัยเทคนิคบุญอนันต์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพิษณุโลกเลย ผมไม่รู้หรอกว่าแถวนี้เรียกว่าอะไร แต่เท่าที่เห็น เหมือนจะมีโรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยอาชีวะตั้งอยู่แถวๆ นี้ด้วย นักศึกษา ปวช.ในเสื้อช็อปสีครีมอ่อนหลายสิบชีวิตจอดมอเตอร์ไซค์รอไฟเขียวอยู่หน้ารถผมตรงแยกไฟแดงเพื่อจะขี่เข้าโรงเรียน บางคันก็อัดสอง บางคันก็อัดสาม ผมกวาดตามองแล้วก็ถอนหายใจ นี่ต้องมาสอนหนังสือพวกแว้นนี่จริงๆ เหรอวะ ไม่อยากฝึกงานแล้วแฮะ ดร็อปเรียนดีมั้ยนะ จบช้ากว่าเพื่อนปีนึงก็ช่างมันเถอะ ไม่อยากฝึกอะ ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ว่าจะดร็อปดีหรือไม่ดี ไฟเขียวก็ขึ้นมาแทนที่ไฟแดงแล้ว พอตำรวจจราจรตรงแยกโบกให้สัญญาณ แว้นเด็กช่างพวกนั้นก็บิดคันเร่งออกจากจุดสตาร์ททันที พอข้ามฝั่งไปก็เป็นเขตวิทยาลัย ผมถูกยามหน้าวิทยาลัยดักถามนิดหน่อยว่ามาทำอะไร พอบอกว่าเป็นนักศึกษาฝึกงานก็ถูกปล่อยเข้ามาแต่โดยดี ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่านักศึกษาที่นี่จะต้องลงจากมอเตอร์ไซค์ที่หน้าโรงเรียน แล้วเข็นเข้ามาให้อาจารย์ฝ่ายปกครองกับอาจารย์ผู้ชายคนอื่นๆ ตรวจร่างกายว่าเอาอาวุธเข้ามาในโรงเรียนหรือไม่ จากนั้นถึงจะปล่อยให้ขับต่อเข้าไปยังโรงจอดรถ ก็มีระเบียบเหมือนกันนี่หว่า นึกว่าจะกเฬวราก อาจารย์ไม่ใส่ใจซะอีก ผมเหยียบคันเร่งไป มองไปก่อนจะเอารถเข้าไปจอด พอดับเครื่องปุ๊บ สายเรียกเข้าของอาจารย์ภาคสนามก็ดังขึ้นทันทีราวกับรู้ว่าผมมาถึงแล้ว “ครับพี่สมร” ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป อีกฝ่ายก็กรอกเสียงกลับมา [น้องเหนือใช่หนุ่มหล่อๆ ที่ขับเบนซ์หรือเปล่าคะ] ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าลานจอดรถอาจารย์นี่จะมีรถเบนซ์คันไหนอีกนอกจากของผม ผมก็เลยตอบรับไป “ใช่ครับ ผมเอง” ตอบแค่นั้น เสียงเคาะหน้าต่างรถฝั่งที่ผมนั่งอยู่ก็ดังขึ้นเลย ผมสะดุ้งเฮือก หันไปก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไทยสีเขียวอ่อนส่งยิ้มให้อยู่ พอลดกระจกลงปุ๊บ ฝ่ายนั้นก็วางโทรศัพท์ที่แนบหูลง ปากก็ทักผมด้วย “พี่สมรเองค่ะน้องเหนือ” “สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ ลงจากรถและล็อคเรียบร้อย พี่สมรก็ปราดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ตอนแรกไม่คิดว่าน้องเหนือจะหน้าตาดีขนาดนี้ เห็นในรูปจากเอกสารที่อาจารย์ทางนั้นส่งมาให้ดูไม่เท่าไหร่ พอมาเจอตัวจริง...โอ้โห นายแบบเลยนะเนี่ย” ผมยิ้มรับคำชม ไม่เขินเท่าไหร่นักเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับคำชมเรื่องหน้าตา ผมรู้ตัวแหละว่าตัวเองหน้าตาดี หน้าตาดีแบบไม่ศัลยกรรมด้วยนะ เรียกได้ว่าธรรมชาติพ่อแม่ให้มาสุดๆ ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณไปที “ขอบคุณครับ พี่สมรก็ยังสาวยังสวยเหมือนกันนะครับ” เพื่อคะแนนกับการฝึกงานแบบราบรื่น ยีนส์กับกั้งมันบอกมาว่าให้ชมๆ พี่ซุปฯ ไปถึงหน้าตาจะแก่คราวแม่ก็ตาม พี่สมรยิ้มกว้างก่อนจะจับแขนผมเบาๆ “แหม ปากหวานตั้งแต่วันแรกเลยนะ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าชมพี่อย่างนี้ พี่ไม่ให้ผ่านง่ายๆ หรอกนะจ๊ะ รู้ทันน่า” พูดมางี้ ผมก็ยิ้มแห้งเลย ยัยป้านี่อ่านออกสินะว่าผมคิดอะไรอยู่ “เดี๋ยวไปดูโรงเรียนกัน วันนี้น้องเหนือไม่ต้องทำอะไรมาก เป็นวันแรกก็ถือว่าแนะนำโรงเรียนก่อนแล้วกันเนอะ” พี่สมรพูดเองเออเอง ผมก็เออออห่อหมกไป แค่แนะนำโรงเรียนอย่างเดียวก็ดี ผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะสอนหนังสือตั้งแต่วันแรกที่มาฝึกงานหรอก ระหว่างทางที่เดินไปยังตึกเรียน พี่สมรก็อธิบายไปด้วยว่าแต่ละตึกแยกกันไปตามแผนก พวกนักศึกษา ปวช. ปวส. ถ้าเรียนแผนกเดียวกันก็เรียนตึกเดียวกัน ไม่มีห้องเรียนประจำ เพราะต้องเดินเรียนตามรายวิชา แล้วแต่ว่าแต่ละชั้นปีจะเรียนวิชาอะไร แล้วก็สลับๆ กันใช้ห้อง ผมเองก็เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้แหละว่าวิทยาลัยเทคนิคฯ นี่เป็นโรงเรียนขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่มาก มีอาคารเรียนไม่กี่อาคารถ้าเทียบกับโรงเรียนประจำจังหวัด นักศึกษาเองก็มีแค่พันต้นๆ พี่สมรบอกว่าเพราะเป็นเอกชน ค่าเทอมแพงเลยมีแต่ลูกหลานคนมีเงินเท่านั้นที่มาเรียน ส่วนพวกรายได้พอมีพอกินก็ไปเรียนวิทยาลัยเทคนิคฯ อื่นที่เป็นของรัฐ ผมฟังแต่ก็ไม่ได้เข้าหูเท่าไหร่เมื่อพี่สมรพาเดินมายังสนามปูนซีเมนต์ซึ่งใช้เป็นที่เข้าแถวในตอนเช้า สายตาผมก็ปะทะเข้ากับบรรดานักศึกษาที่ต่างพากันแยกย้ายไปตามอาคารเรียน เท่านั้นความกังวลที่ต้องมารับศึกกับนักเรียนช่างในหลายวันที่ผ่านมาก็อันตรธานหายไปทันตา โอ้...ละลานตามาก เด็กหนุ่มละลานตา ไม่ใช่เด็กหน้าตาแบบกากหมูด้วยนะ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเน็ตไอดอลกันมากๆ ผิวงี้ขาวโบ๊ะตามสไตล์เด็กเหนือ บางคนก็ไม่ขาวหรอก คมเข้มไทยสไตล์ แต่ก็ถือว่าหล่อคมคายเหมือนกัน สวรรค์...นี่มันสวรรค์ของไอ้เหนือชัดๆ! ทุ่งดอกไม้บานคืออะไรรู้ได้ในตอนนี้ โชคดีจริงๆ ที่มาเลือกฝึกที่นี่ โรงเรียนเอกชนลูกคนมีตังค์นี่ดีจริงๆ คุณชายกันทั้งนั้น "เป็นไง พอไหวมั้ยล่ะน้องเหนือที่นี่น่ะ" พี่สมรถามขึ้นหลังจากที่เห็นผมยืนนิ่ง กวาดตามองบรรยากาศรอบข้างอยู่พักใหญ่ ผมหันกลับไปยิ้มกว้างแล้วพูดอย่างลืมตัว "ไหวครับ นี่มันสวรรค์ของผม... เอ่อ ผมหมายถึงสวรรค์ของอาจารย์ฝึกสอนน่ะครับ" ดีนะที่รีบแก้คำพูดทัน พี่สมรเลยไม่ได้เอะใจอะไร "น้องเหนือชอบที่นี่ก็ดีแล้ว พี่ล่ะกลัวว่าเหนือจะไม่ชอบแล้วขอย้ายที่ฝึกแทบแย่แน่ะตอนแรกน่ะ" แหม...จะย้ายได้ไงล่ะครับ เด็กหนุ่มกรุบกรอบเยอะเป็นแพขนาดนี้ ผมไม่ย้ายหรอกครับ อยากจะพูดแบบนี้เหลือเกิน แต่เดี๋ยวพี่สมรจะตกใจเลยได้แต่คิดในใจ ก่อนพี่สมรจะแตะแขนผม "งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปพบ ผอ. จะได้แนะนำตัวกัน" พูดจบก็นำผมเดินนำไปยังอาคารตรงหน้าซึ่งเป็นอาคารวิชาการ ข้างกันเป็นอาคารของแผนกช่างไฟ ทว่าพอผมกำลังจะก้าวเข้าไปในอาคารวิชาการ เสียงโวยวายของบรรดาเด็กหนุ่มๆ ก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบนซึ่งเป็นต้นเสียง ก็พอจะจับทางได้ว่าเสียงนั้นมาจากชั้นบนของอาคารแผนกช่างไฟ ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างแตกดังตามมา เพล้ง! กระจกหน้าต่างแตก และตามมาด้วย...โต๊ะ โต๊ะเล็คเชอร์หนึ่งตัวเพียวๆ บินลอยละลิ่วสู่เบื้องล่าง และตกกระแทกพื้นดังตึ้ง ทำเอาพี่สมรร้องอุทานลั่น “อุ๊ย! แม่แหก!” อะไรแหกก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ คือเด็กหนุ่มๆ ที่เดินอยู่แถวนั้นวงแตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง ก่อนจะพากันเงยหน้ามองไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารหลังนั้นด้วย และตามมาด้วยเสียงดังอีกครู่ใหญ่ บ่งบอกให้รู้ว่าความโกลาหลบนนั้นทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนผมเหรอ...ก็อ้าปากค้างไปเถอะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันโว้ย! ผมเดาไปแล้วว่าชั้นบนนั้นจะต้องมีเด็กทะเลาะกันแน่ๆ เพราะหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเชียร์มวยดังกระหึ่ม แม่ง ตีกันตั้งแต่วันเปิดเรียนวันแรกเลยเหรอวะ!? ไอ้ทุ่งดอกไม้บานในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นทุ่งดอกไม้จันทน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหงื่อกาฬไหลพราก ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ความกังวลย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมเลยรีบหันไปทางพี่สมรที่ลูบอกตัวเองให้หายตกใจทันที แต่ยังไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรสักแอะ พี่สมรก็ส่งยิ้มให้ พลางแตะบ่าผมเบาๆ "เรื่องปกติน่ะน้องเหนือ เดี๋ยวก็ชิน" ชินบ้าชินบออะไร! กลับกรุงเทพฯ ตอนนี้เลยได้มั้ย!? ไม่ใช่แค่โต๊ะบินด้วยตอนนี้ ไอ้เด็กกลุ่มที่ตีกันเมื่อครู่ก็วิ่งกรูกันลงมาข้างล่าง... ไม่สิ ต้องเรียกว่าเด็กสองคนวิ่งหนีเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตั้งมาต่างหาก เด็กพวกนั้นมีสภาพใบหน้าฟกช้ำ มุมปากแตก หัวก็โน ดูก็รู้เลยว่าเพิ่งโดนต่อยมาหมาดๆ พอวิ่งมาเจอหน้าพี่สมรปุ๊บ ก็รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วหลบหลังพี่สมรทันที "'จารย์ครับ ช่วยพวกผมด้วยครับ มันเอาอีกแล้ว!" 'มัน' ในที่นี้คือเด็กผู้ชายรูปร่างสูงข้างหลังนั่นแหละ กะจากสายตา หมอนั่นน่าจะสูงราวร้อยแปดสิบต้นๆ หากแต่ผมยังไม่ทันจะได้มองเห็นหน้าเด็กนั่นชัดๆ พี่สมรก็โพล่งเสียงแหลมขึ้นมาก่อนแล้ว "ไอ้ตัวแสบ! หยุดรังแกเพื่อนเดี๋ยวนี้!" เด็กนั่นเบรคเอี๊ยด มองหน้าพี่สมรอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะชี้หน้าพวกที่หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงวัยกลางคนอย่างเอาเรื่อง "เห็นแก่ป้าหมอน กูจะปล่อยพวกมึงไปก่อน ครั้งหน้าอย่าซ่าอีกนะ!" พูดจบก็เดินหันหลังกลับประหนึ่งเห็นพี่สมรเป็นหัวหลักหัวตอ เพื่อนหมอนั่นที่ตามหลังมาก็ร้องเฮให้กับชัยชนะแล้วก็พากันแห่กลับเข้าไปในอาคาร พี่สมรถอนหายใจ พึมพำพอให้จับใจความได้ว่า ‘ไอ้เด็กพวกนี้นี่มันจริงๆ เลย เอาตั้งแต่วันแรก’ ก่อนเหลือบมามองผมที่ยืนหน้าซีดกับสิ่งที่เห็นอยู่เล็กน้อย แล้วก็พูดขึ้นมาอีกพลางอมยิ้ม "เดี๋ยวก็ชินนะคะน้องเหนือ เดี๋ยวก็ชิน" ชินโพ่ง! กูจะกลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้! ณ บัดนี้!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD