บทที่ ๑ สตรีปลูกผัก

2169 Words
หิมะหยุดตกมานานจนพื้นเบื้องหน้าไร้ความชุ่มเย็น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าดูคล้ายจะสดใสและปลอดโปร่งกว่าวันวานมากนัก ทว่าแม้บรรยากาศจะแจ่มใส อากาศรอบกายไม่ได้หนาวเย็นเฉกเช่นเดือนก่อน หากแต่หญิงงามที่เอนกายอยู่บนตั่งตัวยาวข้างหน้าต่างกลับเอาแต่ทอดถอนใจออกมาไม่หยุด ด้านหลังแว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก้าวย่างเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้น “ดูท่าจะหมดฤดูเหมันต์แล้ว ในเมื่ออากาศอุ่นขึ้นคุณหนูไม่ลองออกไปเดินเล่นด้านนอกสักหน่อยหรือเจ้าคะ” เป่าหลิงสาวใช้วัยยี่สิบปี ผู้ติดตามมาจากบ้านเดิมรีบเข้ามาประคองคุณหนูของตนลุกขึ้น มองหญิงงามในวัยสิบเจ็ดที่ปล่อยเส้นผมดำขลับราวกับม่านไหมแล้วไม่รู้ว่าทำไมในใจลึกๆ ถึงเจ็บปวดนัก ความงามเย้ายวนราวกับเซียนบุปผาเช่นนี้ น่าเสียดายที่ต้องอยู่ในตำหนักร้างห่างไกลผู้คน หากคุณหนูของตนได้พำนักอยู่ในวังหลวงของแคว้นเหลียงละก็ คงมิอาจมีผู้ใดแย่งชิงความสนใจไปได้ ทว่าโชคชะตาของหญิงงามกลับอาภัพนัก เป็นถึง คุณหนูสามของอัครเสนาบดีคนสำคัญของแคว้นหาน แต่พออายุย่างสิบหกกลับถูกส่งมาเป็นบรรณาการให้กับแคว้นที่มีอำนาจมากกว่า ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว นั่นคือ นางมีท่านป้าเป็นพระชายาคนโปรดของอ๋องห้าแห่งแคว้นหาน ด้วยมีชาติกำเนิดเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาต้องส่งหญิงงามมาเป็นบรรณาการให้กับแคว้นมากอำนาจ นางผู้เป็นหลานสาวของพระชายาผู้หนึ่งจึงถูกส่งตัวมายังสถานที่ที่ไม่เคยนึกฝัน เพื่อปกป้องแคว้นบ้านเกิดที่อ่อนแอ เพื่อรักษาชีวิตบิดามารดา จึงยอมเดินทางไกลหลายพันลี้มาที่นี่ เดิมทีนึกว่าจะได้เป็นสนมทรงโปรดอยู่ในวังหลังของฮ่องเต้ มีชีวิตสุขสบายไม่ต่างจากสนมนางในทั้งหลาย ที่ไหนได้กลับถูกส่งตัวให้เป็นพระชายาขององค์ชายไร้ความสามารถผู้หนึ่ง เฉินหว่านอิง เป็นพระชายาขององค์ชายห้า ผู้มีนามว่า อู่ซีเจิ้งมาหนึ่งปีแล้ว นางคงเป็นคนในราชวงศ์เพียงผู้เดียวที่ไม่เคยพบหน้าบุรุษผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระสวามีของตน แต่งงานวันแรก หลังขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวนึกว่าจะได้ก้าวเข้าไปอยู่ในตำหนักที่ประทับขององค์ชายห้าอย่างมีหน้ามีตา แต่สิ่งที่รออยู่กลับเป็นการขึ้นรถม้ารอนแรมออกจากเมืองหลวงอย่าง เหลียงโจวเป็นเวลาสองวัน สุดท้ายนางก็ถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ ตำหนักลืมเลือน ตำหนักแห่งนี้มีเรือนพำนักสองแห่ง แต่ละแห่งแวดล้อมด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า ดีหน่อยที่พำนักของนางมีสี่ชั้นจึงสามารถชมความงามทั่วบริเวณได้โดยง่าย นอกจากต้นไม้แล้ว ยังมีดอกไม้ผลิบานให้ชมตามฤดูกาล เหมยฮวาเพิ่งร่วงหล่น หลันฮวาพลันผลิดอกงดงามไม่แพ้กัน เห็นคุณหนูสวมอาภรณ์เพียงสองชั้น เป่าหลิงจึงหยิบเสื้อคลุมขนแกะที่ติดตัวมาจากแคว้นหานห่มคลุมให้ หากยามนี้คุณหนูของนางยังพำนักอยู่แคว้นหานละก็ ชีวิตความเป็นอยู่คงไม่ยากลำบากเพียงนี้ อย่างน้อยเสื้อผ้าอาภรณ์ของกินของใช้ ฮูหยินใหญ่ก็ยังมอบให้ไม่ขาด แต่อยู่ที่นี่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพระชายาขององค์ชายห้า ทว่านอกจากเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับในหนึ่งเดือนแรกแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก ชีวิตนับหนึ่งปีที่ผ่านมาล้วนอยู่ได้จากสินเดิมกับการกินใช้อย่างมัธยัสถ์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยังผ่านการปะชุน หากไม่เพราะนางกับคุณหนูยังมีฝีมือเย็บปักชุดที่สวมอยู่เหล่านี้คงไม่น่ามองแม้แต่น้อย หลุบตามองอาภรณ์ปักลายดอกไห่ถังที่ซีดเก่าไปมาก ขอบตาของเป่าหลิงพลันรื้นแดง เฉินหว่านอิงพยายามไม่มองขอบตาแดงเรื่อครู่นั้น เอาแต่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ครุ่นคิดถึงการใช้ชีวิตของตน นับตั้งแต่ยอมปล่อยให้ตนตกอยู่ในฐานะหญิงบรรณาการจากต่างแคว้นก็รู้ตัวแล้วว่าตลอดทั้งชีวิตนี้คงไม่อาจหวนคืนสู่ดินแดนบ้านเกิดได้ ดังนั้นเมื่อถูกส่งตัวมาอยู่ตำหนักห่างไกลแห่งนี้นางจึงเปิดตากว้าง รับฟังและยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงอยู่รอบกาย ไม่ถึงสามเดือนก็รู้ว่า ไม่ไกลจากที่พำนักมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนในหมู่บ้านมีอาชีพเกษตรกร ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทุกๆ สามวันห้าวันจะนำสินค้าจากครัวเรือนส่งขึ้นเรือเข้าไปขายในเมืองหลวง เดิมทีเฉินหว่านอิงไม่คิดว่าจะใช้ชีวิตยากลำบากเพียงนั้น แต่เมื่อไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากผู้อยู่เมืองหลวง หนำซ้ำสถานที่ใหญ่โตแห่งนี้ยังมีทหารคุ้มกันไม่ถึงสิบคน และทหารเหล่านั้นก็ไม่เคยย่างกรายเข้าเขตชั้นใน นางจึงวางแผนการให้ตนอยู่รอดด้วยการนำสินเดิมจำนวนหนึ่งไปเปลี่ยนเป็นเงิน หลังจากนั้นก็ร่วมมือกับเป่าหลิง เปลี่ยนบ่อเลี้ยงปลาสวยงามรอบเรือนพำนักเป็นบ่อเลี้ยงปลาที่กินได้ นำผ้าล้อมศาลาหกเหลี่ยมข้างบ่อปลาเป็นเล้าไก่ ด้านข้างๆ นั้นเปลี่ยนพื้นดิน แปลงดอกไม้ให้เป็นแปลงผัก ช่วงอากาศหนาว พืชผักของนางตายไปไม่น้อย เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิย่อมสมควรหว่านพืชพันธุ์ชนิดใหม่เสียที “อากาศไม่หนาวแล้ว พวกเราลงไปขุดดินปลูกผักชนิดใหม่กันเถิด อีกหนึ่งถึงสองเดือนจะได้ฝากยายสี่ไปขาย” ยายสี่ผู้นี้ มีนามว่าสี่เหยา คุณหนูรู้จักยายสี่ในวันที่ลอบออกจากตำหนักเป็นครั้งแรก ยามนั้นยายสี่หกล้มอยู่ตรอกข้างตลาด เบื้องหน้าเป็นรถเข็นผักที่หนักจนเข็นแทบไม่ไหว เป็นคุณหนูที่ช่วยยายสี่เข็นรถส่งผักไปยังท่าเรือด้วยตัวเอง หลังจากพูดคุยจึงรู้ว่าทุกๆ สามวันห้าวันจะมีเรือขนสินค้าจากหมู่บ้านไปขายยังเมืองหลวง เดิมทีเฉินหว่านอิงไม่คิดว่าตนจะใช้เส้นทางนี้หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ในเมื่อไม่อาจปล่อยให้ตนอดตาย นางจึงเลือกศึกษาทำความเข้าใจเอาไว้ อย่างน้อยวันข้างหน้ายังสามารถพึ่งพาการค้าเช่นนี้หาเลี้ยงตน เมื่อปลาที่เลี้ยงไว้โตพอขาย ด้วยเหตุที่ไม่สามารถออกหน้าทำการค้าด้วยตัวเอง นางจึงทำข้อตกลงกับยายสี่ ให้ยายสี่นำไปขายที่ท่าเรือแล้วแบ่งกำไรให้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกันแม้แต่น้อย เมื่อนางใจกว้างยายสี่ย่อมเต็มใจทำงานให้อย่างดี เงินที่ได้จากการค้าส่วนหนึ่งนำไปซื้อพันธุ์ปลาพันธุ์ผักเพิ่ม อีกส่วนเก็บเอาไว้ใช้จ่ายซื้ออาหารกับเครื่องนุ่งห่ม แม้จะบอกว่าซื้ออาหาร แต่ทุกอย่างที่กินในแต่ละมื้อล้วนเก็บมาจากพืชผักที่ตนกับสาวใช้ลงแรงปลูกไว้ทั้งสิ้น มื้อเช้าของเฉินหว่านอิงกับเป่าหลิงในวันนี้จึงเป็นข้าวต้มปลากับผัดผักจานหนึ่ง กินอิ่มแล้วสองนายบ่าวย่อมถอดคราบจากสตรีสูงศักดิ์เป็นเพียงหญิงชาวบ้านจับจอบถากหญ้าปรับดินในแปลงเก่า ตักมูลไก่ในเล้ามาผสมดินในแปลงทิ้งไว้สักสามวันห้าวันก็สามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว จัดการแปลงผักได้สองแปลงใหญ่ คุณหนูสามแห่งจวน อัครเสนาบดีแคว้นหานพลันเอนกายนอนบนพื้น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อนั้นค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นจากสายลมที่พัดผ่านมา ด้านข้างเป่าหลิงทิ้งจอบเสียมเอนกายนอนหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความเรียบง่ายเช่นกัน “เรามาอยู่ที่นี่ได้นับหนึ่งปีแล้วสินะ” จู่ๆ น้ำเสียงเรียบรื่นชุ่มเย็นราวธารน้ำของเฉินหว่านอิงก็ดังขึ้น แพขนตางามงอนที่ปิดลงคล้ายกำลังซุกซ่อนความเจ็บปวดในแววตาเอาไว้ “หนึ่งปีมานี้ข้าทำให้เสี่ยวหลิงลำบากไม่น้อย หากครั้งนั้นเจ้ารั้งอยู่ข้างกายของ ฮูหยินใหญ่ก็คงไม่ต้องมาลำบากกับข้า” “ตั้งแต่เล็กจนโต บ่าวอยู่ข้างกายคุณหนู หากย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นบ่าวก็ยังตัดสินใจเช่นเดิม” “เก็บเสื้อผ้าขึ้นรถม้าบรรณาการมาพร้อมข้าน่ะหรือ” เป่าหลิงคลี่ยิ้มเต็มหน้า “ชีวิตในแคว้นหานนับว่าดีก็จริง แต่ถ้าหากที่นั่นไม่มีคุณหนูบ่าวจะสงบใจได้อย่างไร มิสู้ติดตามคุณหนูมาอยู่ต่างแคว้น แม้ลำบากบ้างแต่ก็ยังได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย เป็นเช่นนี้ต่อให้ลำบากเพียงใดบ่าวก็หากลัวไม่” “เสี่ยวหลิงดีกับข้าที่สุด” สาวใช้ปาดน้ำตาบนแก้มทิ้ง “บ่าวรับปากมารดาแท้ๆ ของคุณหนูเอาไว้แล้ว ต่อให้คุณหนูเอ่ยปากไล่ ตลอดทั้งชีวิตบ่าวก็ไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด” ในหัวของเฉินหว่านอิงมีภาพของหญิงผู้หนึ่ง คนผู้นี้ยิ้มได้อ่อนหวานและงดงามนัก แววตาและท่าทีรักใคร่ทะนุถนอมนั้นต่อให้ผ่านไปสิบปีก็หาลืมเลือนไปจากใจไม่ สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงข่มใจปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ปัดเป่าความอ้างว้างและความคิดถึงให้เบาบางลง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาพลันกระจ่างใส ยิ่งมองเบื้องหน้านานเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจชีวิตของตนกระจ่างชัดขึ้น ดูเหมือน เสี่ยวหลิงเองก็คงคิดได้เช่นกันถึงได้ขยับตัวอย่างกระตือรือร้น “พรุ่งนี้เรือจากหมู่บ้านจะส่งสินค้าไปขายเมืองหลวง ยายสี่บอกว่านายเรือยังต้องการปลาอีกเป็นจำนวนมาก หากคุณหนูหายเหนื่อยแล้วลงบ่อช่วยบ่าวจับปลาสักสี่สิบห้าสิบตัวดีหรือไม่” “เสี่ยวหลิงอยากขายปลาอีกแล้วหรือ” “ปลาพวกนั้นเก็บไว้จะอย่างไรก็กินไม่หมด แบ่งไปขายสักหลายตัวบ่าวจะได้นำเงินไปซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ให้คุณหนู เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วคุณหนูควรมีชุดใหม่สวมเสียที” เดิมทีเฉินหว่านอิงอยากปฏิเสธ แต่พอมองชุดเสี่ยวหลิงเปื้อนดินโคลนที่เก่ามากแล้วก็อดพยักหน้าไม่ได้ “แต่เจ้าต้องตัดชุดใส่เองสักหลายๆ ตัว ตกลงหรือไม่” “บ่าวใส่ชุดเก่าๆ ของคุณหนูก็ได้ ผ้าใหม่ย่อมต้องเก็บไว้ตัดชุดให้คุณหนูอีก” “ถ้าเจ้าไม่ตกลง ข้าจะไม่ให้เจ้าจับปลาในบ่อไปขาย” สาวใช้ผู้อายุมากกว่าอ้าปากค้าง มองสีหน้าดื้อรั้นไม่ยินยอมของคุณหนูแล้วพลันพยักหน้ายิ้มๆ ปากตะโกนออกมาว่า “ได้ ปีนี้บ่าวจะใส่ชุดใหม่สักหลายตัว” คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคุณหนูผู้งดงามได้ไม่น้อย หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็เห็นสองนายบ่าวคว้าอุปกรณ์จับปลากระโจนลงบ่อไปด้วยกัน เนื่องจากหลายเดือนก่อนปล่อยปลาเอาไว้เป็นจำนวนมาก แม้จะจับไปขายหลายครั้งแต่ปลาในบ่อก็ยังมีอยู่ บางตัวออกลูกจึงมีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ให้เห็น ใช้เวลาจับไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ได้ปลาเป็นจำนวนไม่น้อย แน่นอนว่าการจับปลาเก็บผักเตรียมไปให้ยายสี่นั้นไม่ยุ่งยากนัก ทว่าการขนออกจากตำหนักลืมเลือนแห่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย นั่นเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้หาใช่เรือนพักของชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นสถานที่พำนัก พระชายาขององค์ชายห้า แม้ทหารรักษาการณ์จะทำงานหละหลวมเช่นไรแต่ก็ยังมีการตรวจตราเข้มงวดไม่น้อยอยู่ดี ถึงกระนั้น สถานที่พำนักห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้ มีหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่จะเคร่งครัดเฉกเช่นในเมืองหลวง ยังไม่ถึงยามซวี ทหารองครักษ์แต่ละคนก็กลับเรือนพักไปจนหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงประตูเข้าออกที่ไร้เงาคนเฝ้า เฉินหว่านอิงกับเป่าหลิงเลือกใช้ประตูเล็กทางทิศใต้ ขนปลากับผักที่ตระเตรียมไว้ใส่รถเข็นมุ่งไปยังบ้านยายสี่ที่อยู่ไม่ไกล แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งเดินทางหากจากตำหนักพำนักมามากเท่าไหร่ แผ่นหลังของเฉินหว่านอิงคล้ายจะหลั่งเหงื่อเย็นมากขึ้น ทุกสามก้าวห้าก้าวนางมักเหลียวหลังมองกลับไป แต่ท่ามกลางความมืดมิดที่คลี่คลุมโดยทั่วนั้น นอกจากความเงียบงันแล้วกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD