สตรีสองนางเดินออกมาจากร้านหนังสือด้วยสีหน้าต่างกัน คนหนึ่งยินดีปรีดาส่วนอีกคนทำหน้าเหมือนคนปวดท้อง คงเพราะลี่ฉงกังวลมากว่าเจ้านายตัวน้อยกำลังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่สมควรรึเปล่า ทุกอย่างตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในนั้นมันช่างรวดเร็วเสียจนนางเองแทบทำความเข้าใจไม่ทัน ตอนแรกคนที่คิดว่าเป็นเจ้าของร้านกลับไม่ใช่กลายเป็นบ่าวที่อยู่ในมุมนั่นคือเจ้าของร้านตัวจริง ต่อมาคุณหนูเอากระดาษมากมายที่เขียนไว้มาขายพร้อมยังยื่นหนังสือสัญญาที่เรียกค่าตอบแทนเกินครึ่งและอีกฝ่ายก็ตอบรับแม้จะถกเถียงกันอยู่บ้าง ท้ายที่สุดต้องมารับรู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของร้านนั้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของสำนักอะไรสักอย่าง แบบนี้มันจะไม่อันตรายเกินไปอย่างนั้นหรือ!
“คุณหนู แบบนี้จะดีจริงหรือเจ้าคะ” ลี่ฉงก้มกระซิบข้างใบหูเล็กราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
“ไม่ต้องคิดมาหรอก ตราบใดที่เราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนางมากกว่าการเป็นคู่ค้า เราก็แค่ต่างคนต่างใช้ชีวิต” ในนิยายเหออันฉีมีหน้าที่เป็นผู้ยื่นมือช่วยเหลือพระเอกยามพบเจอปัญหาเท่านั้น ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวอื่น
“เจ้าค่ะ” ลี่ฉงไม่กล้าถามว่าคุณหนูรู้เรื่องลึกลับขนาดนี้ได้ยังไงทั้งที่อยู่แต่ในจวน บางทีอาจมีหลายเรื่องที่นางยังไม่รู้
“ไหนๆ วันนี้ก็เสร็จธุระแล้ว เราแวะซื้อขนมกลับไปกินที่จวนดีรึไม่” ตามสัญญาการผลิตทุกอย่างเป็นหน้าที่ของร้านหนังสือหย่งเล่อ หญิงสาวมีหน้าที่เพียงส่งต้นฉบับทุกสิบห้าวันนับว่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่มีเนื้อหานิยายมากมายในหัว
“เช่นนั้นเราไปร้านน้ำชาตรงโน้นแล้วกันเจ้าค่ะ” ตึกสองชั้นขนาดกลางอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจากจุดที่พวกนางสองคนเดินอยู่
“ดีเหมือนกัน” อากาศวันนี้ไม่ร้อนมากนัก สายลมโชยอ่อนช่วยให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นเหมาะกับการเดินเล่น ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงแต่ดูเหมือนโชคชะตาเล่นตลกเสียจริงเชียว
“คะ คุณหนูซู” ร่างอ้อนแอ้นสะดุ้งโหยงประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่า
“เมืองหลวงช่างคับแคบยิ่ง มิคิดเลยว่าจะมาพบคุณหนูหม่าอีกครั้ง” เลี่ยงเหลียงถอนหายใจเบื่อหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง อุตส่าห์ไม่กลับไปแถวเหลาอาหารแล้วยังตามมาเจอกันที่ร้านขนมอีก เมืองหลวงนี้มันมีร้านขนมที่เดียวรึยังไง!
“ข้าไม่ได้แอบตามคุณหนูซูมาจริงๆ เจ้าค่ะ” ร่างเล็กสั่นเทา ดวงตากลมรื้นน้ำ สองมือกุมแน่นคล้ายกับกระต่ายตัวน้อยที่กำลังถูกข่มขู่
“ข้าไม่ได้พูดสักคำเลยว่าเจ้าแอบตามมา คุณหนูหม่าคิดมากเกินไปแล้ว ข้ายังไม่ทันว่าอะไรก็ทำท่าจะร้องไห้ น่ารักจริงเชียว” ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเอ็นดูทำเอาบรรดาคนที่เดินผ่านแทบหยุดหายใจ
‘นี่สินะที่ในนิยายมักเรียกว่า แม่ดอกบัวขาว’
วิธีรับมือกับสตรีผู้ทำตัวเหมือนดอกสาลี่ต้องสายฝนนั้นง่ายมาก เราก็แค่เป็นดอกบัวขาวเหมือนกันก็เท่านั้นเอง ร้องไห้มาก็ยิ้มเอ็นดูกลับ ทำท่าทางหวาดกลัวมาก็ทำท่าทางใจดีกลับ มาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกเอาไปนินทา
“ข้าแค่-”
“เกิดอะไรขึ้น!”
ยังไม่ทันที่คุณหนูหม่าจะได้เอ่ยวาจา เสียงทุ้มเข้มก็ดังขัดเสียก่อน เลี่ยงเหลียงอยากจะเข้าไปต่อยหน้าหล่อๆ นั่นนัก คนอะไรจะต้องตะคอกทุกครั้งที่ปรากฏตัว เป็นบ้าชอบโวยวายหรือไง
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีก็แต่ข้าที่มาพบคุณหนูหม่าโดยบังเอิญและสนทนากันสองสามประโยคเท่านั้น” ดวงตาดอกท้อสบมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยต่างจากเมื่อครู่
“สนทนากันยังไงนางถึงร้องไห้เช่นนี้” ร่างสูงดึงคนรักไปไว้ด้านหลังเพื่อปกป้องไม่ให้ถูกทำร้าย
“ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่านางร้องไห้ทำไม แทนที่จะถามข้าลองถามคนรอบๆ ดูดีรึไม่ เผื่อว่าพวกเขาจะเข้าใจคุณหนูหม่ามากกว่าข้าที่เพิ่งเดินเข้าร้านมายังไม่ทันถึงเค่อด้วยซ้ำ” ข้อเสียของยุคสมัยนี้คือไม่มีอุปกรณ์บันทึกภาพหรือเสียง ดังนั้นต้องใช้พยานในที่เกิดเหตุเท่านั้น
“เจ้าคิดจะใช้ลูกไม้เดิมอีกแล้วสินะ” คราวก่อนที่เหลาอาหารก็รอบหนึ่ง มาครานี้ยังจะเล่นแง่ไม่ยอมเลิกรา
“เหตุใดท่านต้องพูดจารุนแรงเช่นนั้น ข้าอยู่ของข้าดีๆ ไม่เคยห้ามท่านนอกใจไปหาสตรีอื่น อีกทั้งยังเอ็นดูคุณหนูหม่าแม้นางจะคบหากับบุรุษที่เป็นคู่หมั้นของข้าก็ตาม แต่ทุกครั้งเวลาพบกันท่านมักจะต่อว่าข้าที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด หากการเดินมาพบกันโดยบังเอิญเป็นสิ่งที่ผิด เช่นนั้นท่านก็พานางเข้าจวนตระกูลเจียงเถิดจะได้ไม่ต้องมีปัญหา”
ประโยคสุดท้ายตีความหมายได้ว่า ‘ถ้ารักกันมากก็แต่งงานกันไปเลยสิจะมาหมั้นหมายกับสตรีอื่นทำไม’ นั่นทำให้หม่าผู่เยว่หน้าแดงก่ำทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว นางกับท่านพี่อี้เฉินรักกันมาก่อน แล้วทำไมถึงต้องถูกทำเหมือนเป็นชู้ลับๆ ด้วย!
“เจ้า!” ไม่ใช่แค่คุณหนูหม่าที่โกรธ เพราะเจียงอี้เฉินเองก็โมโหมากไม่แพ้กัน กระนั้นถ้าพูดออกไปว่าพวกเขารักกันมาตั้งแต่แรกก็จะมีปัญหากับตระกูลซูอีก ทำเอาชายหนุ่มน้ำท่วมปาก
“ข้าผิดเองที่มาขัดขวางความรักของพวกท่านเช่นนั้นคุณชายเจียงก็ส่งจดหมายถอนหมั้นมาที่ตระกูลซูของข้าเถิด อย่ามาทำร้ายกันด้วยการนอกใจทั้งที่งานแต่งยังไม่ได้จัดเช่นนี้เลย แม้ตัวข้าจะเตรียมใจรับนางเป็นฮูหยินรองของท่านเอาไว้แล้ว แต่การหยามเกียรติตระกูลซูอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ข้ารับไม่ได้จริงๆ ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ฮึก!” เลี่ยงเหลียงแสร้งยกมือปิดหน้าแล้วทำเสียงเหมือนคนร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยด พอได้พูดสิ่งที่ต้องการจนหมดร่างบอบบางก็วิ่งออกไปจากความวุ่นวายที่ตนก่อเอาไว้ ทิ้งให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ท่ามกลางคำซุบซิบนินทา
“คะ คุณหนูเจ้าคะ!” ลี่ฉงที่วิ่งตามมาจนเหนื่อยเอ่ยเรียกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงห่วงใย นี่คุณหนูตัวน้อยจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกันนะ
“ฮ่าๆ” ยังไม่ทันได้กล่าวปลอบคนที่กำลังร้องไห้เมื่อครู่ก็หัวเราะออกมาดังลั่นทำเอาสาวใช้คนสนิทถึงกับอ้าปากค้าง
“น้าลี่ฉงอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนั้นหรอก” คนงามปาดน้ำตาที่ไหลเพราะขำจนท้องแข็ง
“โธ่ คุณหนู ประเดี๋ยวนายท่านก็ลงโทษหรอกเจ้าค่ะ” เรื่องในวันนี้ต้องไปถึงหูผู้นำตระกูลซูแน่นอน
“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมใจไว้แล้ว” ไม่คิดว่าเรื่องราวจะมาถึงจุดนี้ ต้องขอบคุณแม่ดอกบัวขาวนางนั้นที่ทำให้การล่มงานแต่งง่ายยิ่งขึ้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น คนมากมายวิ่งวุ่นไปมาด้วยความเร่งรีบ กลิ่นควันลอยฟุ้งในอากาศทำเอาคิ้วได้รูปขมวดมุ่น
“ช่วยด้วย!”
“ช่วยกันตักน้ำเร็วเข้า!!”
ชายฉกรรจ์นับสิบตะโกนแข่งกับเสียงร้องเรียกให้ช่วยพร้อมแบกอ่างน้ำมาสาดใส่เพลิงร้อนระอุที่กำลังลุกโหมรุนแรง พวกเขาต้องไปตักน้ำที่แม่น้ำซึ่งอยู่ไกลออกไปทำให้การดับไฟค่อนข้างล่าช้า ตึกไม้สามชั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! คุณชายของข้ายังติดอยู่ที่ชั้นสาม!!” สตรีนางหนึ่งกำลังขอร้องให้คนเข้าไปช่วยเจ้านาย
“ไฟไหม้แรงขนาดนี้เข้าไปก็ตายเปล่า ข้าว่าเจ้าตัดใจซะเถอะ” อาคารไม้เก่าแก่มักล้มครืนลงมาได้ง่ายจึงทำให้หลายคนลังเล
“คุณชายของข้าเพิ่งอายุได้เพียงเจ็ดหนาวเท่านั้น ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้คุกเข่าลงพื้นร้องขอความช่วยเหลือ นางส่งคนไปที่ตระกูลแล้วแต่เกรงว่ากว่าจะมาถึงอาจไม่ทันการ
“คุณชายของเจ้าอยู่ตรงไหนของชั้นสาม” เสียงหวานเอ่ยถามไม่ดังนักด้วยไม่อยากเป็นจุดสนใจ
“อยู่ห้องรับรองที่สองจากด้านในสุดเจ้าค่ะ” ถ้านางไม่ออกไปซื้อของเล่นให้คุณชายตามคำสั่งป่านนี้คงสามารถพาคุณชายหนีออกมาได้ เป็นนางเองที่ไม่รอบคอบมากพอ
“เข้าใจแล้ว” จบคำผ้าห่มผืนหนึ่งจากร้านผ้าที่อยู่ใกล้กันก็ถูกยื่นให้ ลี่ฉงไม่เข้าใจว่าคุณหนูเอามาทำไมแต่ก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายและสุดท้ายเป็นนางเองที่ต้องเสียใจ
“คุณหนู!!!”
ลี่ฉงร้องเสียงหลงเมื่อร่างบางนำผ้าห่มหนาชุบน้ำจนชุ่มคลุมตัวให้มิดแล้วพุ่งเข้าไปในตึกที่มีเพลิงโหมกระหน่ำ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสตรีนางนั้นตั้งใจฆ่าตัวตาย นั่นยิ่งทำให้สาวใช้จากตระกูลซูได้แต่หน้ามืดราวกับจะเป็นลม…
............................................................................................