“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ร่างของหญิงวัยสามสิบกว่าเข้ามาในห้อง ลี่ฉงมองเจ้านายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู
“อือ” เพราะตื่นมากลางดึกกว่าจะหลับอีกครั้งก็ย่ำรุ่งหญิงสาวจึงงัวเงียไม่น้อย
“ล้างหน้าล้างตาก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าวต้มจะเย็นเสียก่อน” อ่างใส่น้ำใบเล็กสภาพผ่านการใช้งานมาอย่างหนักวางลงตรงหน้าเลี่ยงเหลียง มือบางหยิบผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดไปตามกรอบหน้าสวย จากนั้นจึงบ้วนปากแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง
เมื่อแต่งกายเรียบร้อยก็เดินมาตรงโต๊ะอาหารซึ่งมีขนาดเล็กเพียงสองคนนั่ง ชามข้าวต้มที่เหมือนน้ำข้าวทำเอาคุณหนูใหญ่ตระกูลซูเอียงคอไปมาเล็กน้อย ในใจนางเริ่มครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหาปากท้องก่อนเป็นลำดับแรก มิแปลกใจเลยที่ร่างนี้ผอมแห้งแรงน้อยนัก แม้ฮูหยินรองไม่ได้กลั่นแกล้งทำร้ายร่างกายทางตรงแต่ก็ลอบกัดทางอ้อมจนน่าหงุดหงิด
“น้าลี่ฉง ปกติแล้วเรือนของเราได้เบี้ยหวัดเท่าไหร่” เรื่องนี้นางเอกไม่เคยถามเพราะกลัวว่าจะสร้างความลำบากใจให้พี่เลี้ยงของตน กระนั้นถ้าถึงขั้นกินน้ำข้าวต้มเช่นนี้จะไม่ถามคงไม่ได้
“เอ่อ…” จะบอกได้เช่นไรว่าบางครั้งไม่ถึงหนึ่งตำลึงเงินด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร บอกข้ามาเถิด” นางไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้ หากไม่ได้แต่แรกยังพอเข้าใจ แต่ถ้ามันจะต้องตกไปอยู่ในมือใคร โดนยักยอกไปให้คนอื่น แบบนั้นยอมไม่ได้เด็ดขาด
“บางครั้งก็ห้าสิบอีแปะ บางครั้งก็เกือบหนึ่งก้วนเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยเกรงว่านายหญิงตัวน้อยจะเสียใจ เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่ได้เงินน้อยกว่าบ่าวไพร่บางคนในเรือนหลักเสียอีก
ซูเลี่ยงเหลียงควานหาข้อมูลในความทรงจำแสนยุ่งเหยิง ดูเหมือนค่าเงินในสมัยนี้จะเข้าใจไม่ยากนัก หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งเหรียญทองแดง หนึ่งร้อยอีแปะเท่ากับหนึ่งก้วน (หนึ่งพวงของเหรียญทองแดง) หนึ่งก้วนเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง จากที่เคยอ่านนิยายสาวใช้ขั้นหนึ่งบางคนได้เงินเดือนเกือบสองตำลึงเงินเชียวนะ
“มีคนกินอิ่มนอนหลับสบายใจสินะ” จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกเสียจากฮูหยินรองแซ่ไป๋ สตรีนางนี้มีบุตรให้ผู้นำตระกูลซูถึงสองคน คุณชายใหญ่ซูหยูเฟยและคุณหนูรองซูหนิงเหมย ซึ่งเป็นคนที่มองว่าเลี่ยงเหลียงคือตัวเกะกะมากที่สุด ส่วนฮูหยินรองแซ่ตู้มีบุตรชายเพียงคนเดียวคือคุณชายรองซูหลานเฟิน ดูแล้วมีอำนาจน้อยกว่าคงไม่กล้ายุ่งกับเงินในจวนหรอก
“คุณหนู…” ในฐานะพี่เลี้ยงที่ดูแลหญิงสาวมาตั้งแต่แบเบาะ สีหน้าจริงจังเช่นนั้นนางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“น้าลี่ฉง ข้าไม่อยากทำตัวอ่อนแอเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว ท่านแม่เองก็คงไปสู่สุขคติไม่ได้หากรับรู้ว่าบุตรสาวที่ท่านให้กำเนิดโดยการแลกมาด้วยชีวิตต้องมาก้มหน้ายอมโดนรังแกแบบนี้” เสียงหวานกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ นางไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองคือวิญญาณจากโลกอื่น กระนั้นจะให้ทำตัวเลียนแบบเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ใช่แนวทางการใช้ชีวิตที่ยอมรับได้ คนอะไรต้องอดทนไปเสียทุกอย่าง ตรงไหนบ้างคือความสุข มันแทบมองหาไม่เจอด้วยซ้ำ
“ฮึก…คุณหนูของบ่าว…ฮือ…บ่าวผิดยิ่งนักที่ดูแลคุณหนูได้ไม่ดีพอ” สิ่งล้ำค่าสุดท้ายจากนายหญิงคือเด็กน้อยใบหน้าจิ้มลิ้ม แค่ได้เห็นคราแรกลี่ฉงก็สาบานกับตนเองว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูให้ดีที่สุด แต่เพราะเงินที่ควรได้รับกลับเหลือเพียงน้อยนิด กระทั่งรวมเบี้ยหวัดส่วนตัวของนางไปด้วยยังแทบไม่พอใช้ เสื้อผ้าอาหารที่ส่งมาเรือนเล็กก็มีเพียงหยิบมือ
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยคิดโทษน้าเลย” นี่เป็นคำตอบจากใจจริงที่เจ้าของร่างเดิมรู้สึก เลี่ยงเหลียงรักลี่ฉงประหนึ่งมารดาที่คอยอุ้มชูตนมา ถ้าไม่ติดว่าการพูดยกย่องสาวใช้เป็นเรื่องไม่สมควรอาจทำให้ลี่ฉงถูกลงโทษ เจ้าของร่างเดิมคงเรียกอีกฝ่ายว่าท่านน้าไปแล้ว
“แม้บ่าวจะดีใจที่คุณหนูเข้มแข็งขึ้น แต่บ่าวไม่อยากให้คุณหนูต้องเสี่ยงอันตรายนะเจ้าคะ” ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งอำนาจและจำนวนคนมากกว่า แค่คิดก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้
“จริงอยู่ที่มันค่อนข้างอันตราย ดังนั้นน้าลี่ฉงจึงเป็นส่วนสำคัญในงานนี้อย่างไรเล่า” ถ้านางหัวเดียวกระเทียมลีบคงต้องเหนื่อยหน่อย โชคดีไม่น้อยที่ยังมีคนข้างกายไว้ใจได้
“คุณหนู…” ดูเหมือนเด็กสาวตรงหน้าจะตัดสินใจจริงจังเสียแล้ว
“อืม ดูเหมือนว่าอีกห้าวันจะต้องไปกินมื้อเย็นที่เรือนหลักสินะ” ตระกูลซูมีนัดรวมตัวทุกเจ็ดวันเพื่อกินข้าวร่วมกัน ช่างเป็นมื้ออาหารที่กระอักกระอ่วนซะจริง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” นางสงสารคุณหนูของตนยิ่งนัก เมื่อถึงเวลานั้นทีไรพวกเจ้านายทั้งหลายจะปฏิบัติราวกับคุณหนูไร้ตัวตน ทำเพียงนั่งกินเงียบๆ แล้วกลับเรือนไม่มีใครคิดจะถามไถ่ถึงความเป็นอยู่
“ดี เช่นนั้นข้าอยากให้น้าลี่หงช่วยอะไรนิดหน่อย” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างนึกสนุก
คนงามออกคำสั่งกับพี่เลี้ยงจนครบถ้วนก่อนให้อีกฝ่ายไปจัดการตามแผนการ จากนั้นเอเลนหรือที่ยามนี้กลายเป็นซูเลี่ยงเหลียงจึงมานั่งวิเคราะห์พร้อมลำดับความสำคัญของเรื่องราวให้ครบถ้วน ไม่ใช่แค่การแต่งงานที่เป็นปัญหา กระทั่งการใช้ชีวิตของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ก็เป็นปัญหาหนักเช่นกัน
“คำที่มีใครบางคนกล่าวไว้ ‘หนังสือคือแหล่งความรู้’ ไม่นึกว่าจะใช้ได้กับหนังสือนิยายเนื้อหาเกินจินตนาการด้วย” เสียงหวานพึมพำพร้อมท่าทางเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก
ใครจะคิดฝันว่าในวันหนึ่งสตรีไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยาแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ จะต้องมาขุดความรู้วิธีเอาตัวรอดจากบรรดานางเอกนิยายที่เคยอ่าน นึกแผนขึ้นมาได้จากหนังสือสะสมหลายร้อยเล่ม เนื้อหาก็คล้ายสถานการณ์ที่กำลังประสบพบเจอ แม่เลี้ยงยักยอกเงิน กลั่นแกล้งรังแกลูกอนุตัวละครหลักของเรื่อง สุดท้ายฮูหยินเอกก็พ่ายแพ้ไปเพราะการเอาคืนของหญิงสาวบุตรีอนุท้ายจวนผู้นั้น
ที่จริงมีหลากหลายรูปแบบแผนการผุดขึ้นมาในหัว เพียงแต่พอใคร่ครวญดูแล้วกลับพบว่าถ้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าคนที่เดือดร้อนอาจเป็นลี่ฉงก็ได้ ในเมื่อไม่มีทั้งพยานหลักฐาน คนรับเงินก็เป็นตัวลี่ฉงเอง ยามจวนตัวฮูหยินรองแซ่ไป๋นั่นคงมิพ้นสาดโคลนใส่คนของนางเพื่อหนีความผิด อีกทั้งในยุคนี้เรื่องในเรือนหลังผู้นำตระกูลซูคงไม่คิดยื่นมือเข้ามาวุ่นวาย หนักเข้าหน่อยก็หลับตาข้างนึงทำเป็นไม่รับรู้ สุดท้ายแผนที่ใช้การได้จริงๆ จึงเหลือไม่เท่าไหร่
“ตอนเป็นคนอ่านก็รู้สึกว่ามันง่ายอยู่หรอก” มือบางยกขึ้นคลึงขมับซึ่งยังคงปวดจากการสวมร่างพลางหวนคิดถึงยามที่ตนเป็นเพียงนักอ่าน
เรามักมองปัญหาของตัวละครว่ามันก็แก้ไม่ยากนี่ ทำไมไม่ทำแบบนั้นล่ะ ทำไมไม่ลองทำแบบนี้ล่ะ หนักเข้าหน่อยก็รู้สึกว่าทำไมไม่ลงมือเสียที มัวแต่คิดมากอยู่ได้ ครั้นพอมาเจอเข้ากับตนเองจึงรู้ได้เลยว่ามันไม่ง่าย ตัวแปรมากมายในขณะนั้นมันไม่ถูกถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือให้เราได้อ่าน ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจไม่มีโอกาสได้แก้ไขอีก ดีไม่ดีเรื่องราวจะเลวร้ายลงไปจนคนข้างกายต้องเจ็บตัวไปด้วย ดังนั้นทุกการตัดสินใจจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วนและควรดูว่าแผนนั้นคุ้มค่าพอจะเสี่ยงรึไม่
“เอาล่ะ งั้นมาลองกันสักตั้ง” เรื่องการประเมินสถานการณ์หญิงสาวถนัดมาก ในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าเหตุไฟไหม้ครั้งใดก่อนเข้าไปในพื้นที่ทีมดับเพลิงจะต้องประเมินสถานการณ์ ถึงการแพร่กระจายของไฟ จำนวนผู้ประสบภัย ภาวะของควัน ความเสี่ยงต่างๆ เรียกได้ว่าวิเคราะห์ทุกซอกมุม แม้บางครั้งจะมีผิดพลาดบ้างเนื่องจากปัจจัยที่ไม่อยู่ในตัวแปรก็ตาม
............................................................................................