05 ฆ่าเมียครั้งที่ 5

3318 Words
EP05 -ฆ่าเมียครั้งที่5- เวลา 23.15 น. Paradise’s Pub ผมนั่งมองเหล้าสีเข้มภายในแก้วซึ่งถืออยู่ในมือโดยมีแสงไฟสีสันสวยๆ ตัดผ่านพร้อมด้วยเสียงเพลงบัดบีทจังหวะสนุกๆ เคล้าเป็นฉากหลัง โซฟายาวตัวเดิม ที่ประจำซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่กล้านั่งทับที่ คือที่นั่งประจำของผมภายในสถานบันเทิงชื่อดัง และมันคือจุดเดียวกับที่ผมได้เห็นนัยน์ตาคู่สวยแต่หยิ่งผยองและไม่ยอมใครของเธอใกล้ๆเป็นครั้งแรก เหล้าสีอำพันถูกยกขึ้นจิบลงคอขณะในหัวเริ่มนึก... ‘เฮ้ยไอ้สวะ! ชื่อคำรามใช่ไหม?’ คำพูดคำจาชวนเตะปากยิ่งกว่าคำพูดผู้ชายชวนหงุดหงิดทุกครั้งยามที่นึกถึง ทำผมยกเหล้าในมือขึ้นกระดกลงคออีกครั้ง สายตามองผ่านกลุ่มผีเสื้อราตรีซึ่งกำลังออกสเต็ปกันอย่างเมามันอยู่บนฟลอร์ เพล้งง! เสียงของขวดเหล้าถูกทุบลงกับโต๊ะจนแตกเป็นซ่ฟันฉลามดังแว่วเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทำให้พวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยกันถึงกับวงแตก รวมถึงอารมณ์ผมในตอนนั้นก็เช่นกัน ‘บอกให้ไสหัวไปไง พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง?’ ‘ถ้ากับคนปกติ ก็พอรู้เรื่องอยู่...’ เธอน่าฆ่าตั้งแต่วันแรกที่ได้เริ่มคุย ไม่ว่าจะสีหน้า แววตา หรือคำพูด ‘แต่กับเดนมนุษย์ ฉันฟังไม่ออก’ ผมเกลียดแววตาเธอที่มองมาอย่างเหยียดยาม เกลียดคำต่อว่าดูถูกที่เธอใช้สบประมาทและดูถูก เกลียดความคิดที่เหมือนเก่ง ฉลาด และเอาตัวรอดได้ตลอดเวลา ‘ฉันท้อง’ ทั้งที่เจอกันครั้งแรก เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมสามารถจดจำหน้าตาและทุกอิริยาบถของเธอได้ไม่ลืม ‘แล้วไอ้ที่ว่าท้องเนี่ยสมยอมหรือถูกขืนใจล่ะ?’ และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กล้าซัดหน้าผมจนเลือดกบปาก ผัวะ! ผมพยายามจับตาดูเธอหลังจากเหตุการณ์คราวนั้น ถึงได้รู้ว่าเธอคือแฟนของไอ้ ‘โซล’ ช่างร้านโจทก์ของผมกับไอ้โตและเพราะรู้ว่าเธอคือใคร ผมกับไอ้โตก็เลยตีความหมายได้ว่า บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจต้องการเข้ามาทำลายเราและความสัมพันธ์ในครอบครัวให้พัง ตามคำยุยงของไอ้โซลที่เดิมทีกลุ่มผมกับมันก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว อันที่จริงไอ้โซลกับพวกผมไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องบาดหมางอะไรกันหนักหนาหรอก เพียงแค่มันดันกระชากไหล่ผมเพราะเข้าใจผิด เราก็เลยซัดหน้ากันนิดหน่อยข้อหาไม่พอใจ หลังจากนั้นก็เลยเหม็นขี้หน้ากันมาตลอด เจอหน้ามักต้องมีการปะทะ จนแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุผลแรกที่หมั่นไส้คืออะไร... ผลสุดท้ายน้ำหอมก็ทำสำเร็จ เธอสามารถย้ายตัวเองเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านจนได้ แต่ต้องแลกกับความเกลียดชังของคนในบ้านและการอยู่เหมือนไร้ตัวตน ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เพราะครอบครัวเป็นคนจัดการเรื่องข่าวที่เธอประกาศตัวว่าท้อง แต่มันคือผลงานของผมกับไอ้โตสองคนที่ประโคมข่าวจนต้องเกิดพิธีแต่งงาน เสียสถานะโสดแลกกับความสะใจ ผมถือว่ามันคุ้มอยู่ ในเมื่อโสดหรือไม่โสดผมก็ทำตามใจตัวเองได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่าง...เลี้ยงศัตรูไว้แล้วค่อยเชือดอย่างช้าๆ มันก็สนุกดีไม่ใช่หรือไง? “ดาร์ลิ้ง~” เสียงแหลมเล็กน่ารำคาญทำผมหลุดจาดภวังค์ความคิดเหลือบมองเจ้าของเสียงเรียก พร้อมทั้งวางแก้วเหล้าในมือลง เธอคือลินดาหนึ่งในของเล่นที่มีและเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญสุดๆ “มาทำไม?” “อะไรอ่ะราม ลินก็มาหารามไงจ๊ะ คิกๆ” ว่าแล้วเธอก็กระเถิบก้นลงนั่งข้างผมทันที เธอชอบทำตัวแบบนี้นี่แหละ ผมเลยรำคาญ “รามมาคนเดียวเหรอคืนนี้อ่ะ” “เห็นว่านั่งกี่คน?” คนถูกถามทำหน้าแปลกใจ พร้อมทั้งมองหันซ้ายหันขวาก่อนตอบ “คนเดียว” “เออ! ก็ไม่น่าถามโง่ๆ” พอถูกว่า เธอก็ชักสีหน้า ยู่ปากใส่พร้อมทั้งสอดมือกอดแขนผมไว้แน่น มิหนำซ้ำยังพิงหัวลงมาบนไหล่แล้วพูด “รามอ่ะ ทำไมใจร้ายกับลินจัง ไม่รักลินแล้วอ่อ” เธอกำลังอ้อน นั่นแหละที่ยิ่งกว่าน่ารำคาญ ผู้หญิงอย่างลินดาเป็นที่รู้กันว่าโชกโชนเรื่องบนเตียงมากแค่ไหน เธอนอนกับผมแล้วน่ะเรื่องจริง แต่ในทางกลับกันเธอนอนกับคนอื่นด้วย ซึ่งผมไม่ได้แคร์ในเมื่อยังมีคนอื่นอีกมากที่มีให้นอนด้วยจนนับไม่ถ้วน ลินดาเองก็รู้ อีกอย่างต่อให้อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าผมไม่ได้จริงจังแค่นอนด้วยแก้เบื่อชั่วครั้งชั่วคราว แล้วยังไงล่ะ ดูเธอสนใจที่ไหน? สำหรับลินดา เธอแค่ต้องการอาศัยชื่อเสียงและ รวมถึงฉายาไร้สาระที่คนตั้งให้จนดูน่าเกรงขามเท่านั้นแหละ แต่ก็อีกนั่นแหละ เลี้ยงไว้ให้กัดกับศัตรูที่บ้าน มันก็บันเทิงดีเหมือนกัน พอนึกถึงเรื่องบนเตียงขึ้นขึ้นมา ในหัวก็ดันคิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นมาเสียได้ รู้อีกทีปากก็กำลังพลั้งถามเธอออกไป “ลินถามไรหน่อย” “จ๋า ดาร์ลิ้ง~” “คิดว่าน้ำหอมซิงไหม?” ผมไม่ได้มองหน้าเธอหรอกตอนที่ตั้งคำถาม แต่พอรู้ได้ว่าคนถูกถามกำลังตกใจสิ่งที่ได้ยิน เธอปล่อยมือที่กอดแขนผมออก รีบผละตัวถอยไปตั้งหลักนิดหน่อยแล้วถามกลับมาเสียงดังเชิงเหวี่ยง “อย่าเอาเรื่องเมียที่บ้านมาปรึกษาลินได้ไหม!?” “ถาม” “ไม่รู้!” เธอใส่อารมณ์จนต้องเหลือบมองท่าที ลินดาชักสีหน้านั่งกอดอกดูไม่สบอารมณ์กับคำถามเท่าไหร่ แต่ก็ยังพูดออกมาไม่หยุดอยู่ดี “ไหนว่านังนั่นท้องแล้วแท้งไง รามไม่ได้นอนกับมันเหรอ?” “เปล่า” “รามก็ดูเอาสิ ตอนนอนด้วยกันยัยนั่นมีเลือดไหม ลินก็จำไม่ค่อยได้ ผ่านช่วงนั้นมานานแล้วอ่ะ!” เออแฮะ ไม่น่าถาม... “พอเลยนะราม เลิกเอาเรื่องเมียมาปรึกษากับลินไม่อย่างงั้นลินโกรธ!” ผมไม่ได้ฟังเธอบ่นจนจบ แต่เลือกยกเหล้าในแก้วกระดกจนหมด จากนั้นจึงลุกออกไปทั้งๆ อย่างนั้นไม่พูดอะไรต่อ “ราม! จะไปไหนอ่ะ คืนนี้ไม่นอนกับลินเหรอ!?” เสียงของลินดาเหมือนพวกนกกระจิบนกกระจอก สร้างความรำคาญไม่แล้วเสร็จ ไม่ได้ช่วยอะไรยังจะพูดมากอีก น่ารำคาญ... เอาจริงๆ ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะตีความสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ไม่ออก ผมแค่ตกใจที่คนอย่างน้ำหอมไม่ตรงกับสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้เท่านั้นเอง ‘อะ...ฮึก’ ถ้ารู้มาก่อน ตอนนั้นผมอาจจะเบามือกว่านี้ก็ได้ ใครจะรู้.... ผมพาตัวเองเดินแทรกผู้คนภายในผับออกมายังที่จอดรถ เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ขณะกำลังยืนล้วงกุญแจรถ “เฮ้ย!” บริเวณด้านหลังก็มีเสียงของใครคนหนึ่งทักขึ้น ทำเหมือนกับว่าเราสนิทสนมกันมานาน ด้วยความเป็นพวกถือตัว ไม่ชอบให้ใครมาวอแวทำตัวเหมือนสนิท การถูกทักเช่นนนั้นบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในตัวมันเลยพานให้รู้สึกไม่สบอารมณ์ รีบตวัดหางตามองไปยังเจ้าของเสียงและพบว่ามันไม่ใช่ใครแต่เป็นโจทก์หมายเลขหนึ่งอย่างไอ้โซล “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง เกี่ยวกับน้ำหอม” มันเปิดประเด็น “หึ! คุยด้วยอะไรดีล่ะ มือหรือตีน?” คนถูกย้อนกระตุกยิ้มคล้ายกับพอใจคำถามที่ผมให้กลับไปและให้คำตอบที่ผมต้องการฟังในเวลาต่อมา “ตีน” -NUMHORM TALK- เวลา 00.45 น. ฉันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสำหรับใส่นอน เดินตรงไปยังเตียงและทิ้งตัวลงนอนอย่างคนเหนื่อยล้า ทั้งที่ตลอดหลายชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรให้ตัวเองต้องเสียเหงื่อเลยสักนิด ที่เหนื่อยน่ะไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหาก... ไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่ว่าเจ็บใจด้วยเช่นกัน ‘เป็นอะไรไป ทำไมตัวสั่นขนาดนั้นล่ะคนเก่ง...นี่ยังเข้าไปไม่สุดเลยนะ...’ ฉันกำมือแน่นเมื่อเสียงและสีหน้าซึ่งบอกความสะใจอย่างสุดๆ ของปีศาจแว่บเข้ามาในหัว นอกจากตอนรู้ข่าวเรื่องหวานหวานถูกทำร้าย ก็คงเป็นวันนี้นี่แหละที่ฉันโกรธจัดอีกครั้ง โกรธจนร้องไห้ แม้อยากระบายกับใครสักคน ยังทำไม่ได้ [ร้องไห้เหรอ? เป็นไร?] ‘แผนพี่แม่งโคตรโง่! ฮึก... โง่บรมเลยรู้ไหม!!’ ฉันกรีดร้อง พาล ระบายความหงุดหงิดผ่านหูโทรศัพท์เพื่อหวังให้ใครสักคนเข้าใจ [พูดดีๆ ใครทำไร? ไอ้คำรามเหรอ?] ทั้งที่โวยวายขนาดนั้น แต่ปลายสายยังคงเสียงนิ่งได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ‘หอมจะกลับไปอยู่กับป้า หอมไม่อยู่แล้ว!!’ ก็แค่อยากให้ใครสักคนช่วยรับฟัง ช่วยเข้าใจ เวลาที่อยากระบายเท่านั้นเอง แต่... [หอมต้องอยู่ที่นั่นต่อ เอาข้อมูลของไอ้คำรามให้พี่] กลับไม่มีใครเข้าใจสักคน... [เข้าใจที่พี่พูดนะหอม] กึก! ท่ามกลางความมืดและแอร์ที่เย็นช่ำ ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ก่อนตามมาด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ความเงียบภายในห้องทำให้ฉันได้ยินเสียงของปีศาจกำลังจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองและเสียงฝีเท้าที่ย่างกรายมายังเตียงนอนก่อนเงียบไป “เฮ้ย! หลับยัง?” เขาทัก... ทักแบบไม่เต็มใจ แต่ฉันไม่ได้ตอบหรอก ไม่รู้ว่าเขามาไม้ไหนอีก อีกอย่างวันนี้เหนื่อยพอแล้วที่จะต่อปากต่อคำ! “ยังซิงอยู่แล้วทำไมไม่บอก?” ท่ามกลางความมืดภายในห้อง อีกครั้งที่หูได้ยินเสียงเขาพูดจาราวกับจะหาเรื่องต่อจากช่วงบ่าย “ไม่บอกว่าซิง ใครมันจะไปรู้วะ...คิดว่าตัวเองดูบริสุทธิ์มากไง?” และรับรู้ถึงการก้าวขึ้นมาบนเตียงนอนบนพื้นที่ส่วนตัวขณะปากเขายังหาเรื่องไม่หยุด ระหว่างเราถูกแยกแบ่งฝั่งด้วยหมอนข้างใบใหญ่สำหรับแบ่งอาณาเขตบนเตียงนอน และคั่นกลางระหว่างกันไว้ด้วยความรังเกียจ เขาไม่ข้ามมา ส่วนฉันก็ไม่ข้ามไป... ระยะที่ห่างกันเพียงหมอนข้างคั่นทำฉันได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขาชัดขึ้น มันผสมปนเปกับกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงและกลิ่นคาวเลือด และอาจเป็นเพราะฉันไม่ยอมพูดหรือต่อปากต่อคำเหมือนทุกทีล่ะมั้ง เขาถึงเริ่มที่จะหาเรื่องก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง คำรามขยับตัวอย่างแรงจนคนที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึก เขาเอื้อมคว้ามือฉันซึ่งนอนตะแคงหลังให้แบบไม่ทันระวังตัวอย่างแรงจนต้องพลิกตัวกลับไปตามการกระชาก ฟึ่บ! ฉันไม่ได้ส่งเสียงต่อว่าอะไร ได้แต่พยายามต้านแรงกระชากดังกล่าวในความเงียบ ซึ่งพอทำเช่นนั่น คำรามก็ยิ่งบีบมือฉันแรงขึ้นอีก เรายื้อแรงกันอยู่สักพักในความมืด แต่สุดท้ายแรงที่มีมากกว่าก็สามารถบีบบังคับมือฉันให้พาดข้ามไปอาณาเขตของศัตรูได้ในที่สุด “ก็ไม่รู้นี่หว่าว่ายังซิง...” คำพูดของเขาไม่เคยดี เหมือนต้องการหาเรื่องอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในเวลานี้ ตอนที่เขาบีบมือฉันกดลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของตัวเอง แล้วพูดคำที่ไม่สมควรเป็นเขาออกมา “ที่ทำไปวันนี้...ขอโทษได้ไหมล่ะ!?” ฉันไม่พูดแต่เลือกที่จะยื้อแรงดึงมือตัวเองกลับมาแทนคำตอบ ทว่า เขากลับใช้แรงยื้อไว้แล้วกดลงอีกครั้งบนอกตัวเองส่วนปากก็ว่า “พูดด้วย ไม่พูดด้วย เป็นใบ้ไง?” ฉันไม่สนคำพูดหาเรื่องดังกล่าวพยายามยื้ออย่างสุดแรงเพื่อดึงมือกลับ ต่อให้อีกฝ่ายจะบีบรั้งไว้สุดแรงจนเริ่มมีอาการสั่นให้รู้สึกได้ก็ตาม ไม่รู้หรอกว่าในหัวเขาตอนนี้คิดอะไร แต่จากนิสัยและกมลสันดานเชื่อเถอว่าเขาไม่คิดที่จะพูดแบบนั้นจริงๆ อยู่แล้ว “ยังอีก... ยังไม่พูดอีก” “ปล่อยสิวะ!!” สุดท้ายฉันก็ทนกับความยียวนผ่านคำพูดของเขาไม่ไหว จำต้องตะคอกกลับไปแทนอารมณ์ที่มี “ทำไม? รังเกียจ?” “เออ!” “คิดว่าอยากจับมากมั้ง” เห็นไหมล่ะ สุดท้ายเขาก็แค่หาช่องทางหาเรื่องฉันเท่านั้น “ไม่อยากให้จับ ไม่จับก็ได้วะ!” สิ้นเสียง คำรามก็ยอมผ่อนแรงที่รั้งมือฉันไว้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ปล่อยมือฉันไปเสียทีเดียว ด้วยเพราะมือของฉันยังถูกเขาจับไว้ ทันทีที่ชักมือกลับข้ามมาฝั่งของตัวเองอย่างแรง นั่นจึงทำให้คนตัวใหญ่ซึ่งใช้แขนคนละฝั่งจับไว้พลิกตัวข้ามหมอนข้างตามมาด้วย ฟึ่บ! กึก! คำรามหยัดมือข้างหนึ่งเท้าลงกับเตียงเพื่อไม่ให้พลิกข้ามหมอนข้างลงมาทับฉัน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย “อะไร อยากให้ข้ามมานอนด้วยทำไมไม่บอกดีๆ” ฉันมองเห็นหน้าเขาผ่านความมืด มันไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่ยังพอสังเกตได้ว่ามุมปากเขาปรากฏรอยช้ำราวกับเพิ่งไปมีเรื่องกับใครมา “ถอยออกไป!” ฉันบอกเขาเสียงแข็ง แสดงความรังเกียจออกไปอย่างเต็มที่ แต่การทำเช่นนั้นยิ่งเหมือนเพิ่มลูกบ้าให้เขากวนประสาทกลับมาไม่รู้จบ ยิ่งปรามเหมือนยิ่งยุ คำรามหัวเราะในลำคอ ท้าทายคำตะคอกไล่ด้วยการเคลื่อนกายข้ามเขตกั้นแดนระหว่างเรามาอยู่ทางฝั่งฉันอย่างเต็มตัว และในตอนที่จะดิ้นหลบ เขาที่รู้ทันและไวกว่าก็รีบขยับใช้ขากักตัวฉันไว้แทบจะในวินาทีนั้น “ไหนอ่ะคำตอบ?” แถมยังทวงถามในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ “ถอยไป พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ!?” “ได้คำตอบแล้วจะไป ถ้าไม่ได้ก็จะคร่อมมันอยู่อย่างนี้แหละ” เสียงของเขาฟังดูอึนๆ รัวเหมือนลิ้นพันกัน เป็นแบบนี้ตั้งแต่เข้ามาในห้องแล้ว “เหม็นเหล้า รังเกียจ ถอยไป!” “อย่าเบี่ยงประเด็น” เขาขัด “...” “ถามว่าไหนคำตอบ?” และยิงคำถามเดิมราวกับว่ามันสำคัญอะไรนักหนา “คำตอบอะไร!?” “ขอโทษได้ไหม?” คราวนี้เขาพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงแต่ยังคงความหาเรื่องไว้เช่นเคย “เรื่อง?” แต่ก็อ่อนลงแป๊บเดียวเพราะเขาก็ขึ้นเสียงอีก “ก็เรื่องวันนี้ไง! เฮ้ยความจำสั้นเหรอ!? นี่สมองคนหรือเม็ดถั่วเขียว!!?” “มันไม่สำคัญ” “สำคัญดิวะ!” พอปฏิเสธน้ำใจ เขาก็แย้ง “ทำผู้หญิงร้องไห้ มันไม่น่าภูมิใจหรอกว่ะ…” มิหนำซ้ำยังให้เหตุผลซึ่งขัดกับนิสัย “เฮ้ย! จะเอาไง จะรับไหม คำขอโทษเนี่ย!?” แถมยังเริ่มขึ้นเสียงใส่เหมือนฉันผิดอะไร เพิ่งรู้ว่าความเมาทำให้คนเป็นบ้าได้ ก็วันนี้! “จะขึ้นเสียงหาอะไร กลัวแม่ไม่ได้ยินไง!?” “แล้วเล่นตัวทำไม คิดว่าอยากอยู่ใกล้มากมั้ง!” “คิดว่าอยากอยู่ใกล้ตายแหละ ขยะแขยง” จากต้องการคำตอบไร้สาระ ตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นการต่อปากต่อคำกันแบบไม่ยอม “ไม่อยากอยู่ใกล้ก็ถอยไปดิ!” แต่ลืมไปว่าเขาเป็นพวก ถ้ารู้ว่าฉันเกลียดอะไร เขามักจะทำ ยิ่งบอกว่าไม่อยากอยู่ใกล้ เขาก็ท้าทายมัน ด้วยการทำสิ่งที่ตรงกันข้าม คำรามจงใจโน้มหน้าลงมาหา และเป่าลมหายใจร้อนเคล้ากลิ่นเหล้าใส่จนต้องเบือนหน้าหลบ “เหม็น!” ฉันว่าเขา แต่จังหวะเดียวกันเขาก็พูดขึ้นเหมือนเทปคนละม้วน “ให้เวลา 3 วิ...” “...” “ถ้าไม่ตอบ...จูบ” คำรามไม่ใช่แค่ออกปากขู่ แต่ยังโน้มหน้าลงมาใกล้เพื่อยืนยันว่าเขาทำจริงแน่ ถ้าไม่ตอตอบรับในสิ่งที่เขาต้องการภายในเวลาที่กำหนด “บอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ไง!” เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรต้องรับคำขอโทษจากคนที่เกลียดขี้หน้ากันเป็นเดิมทุนอยู่แล้ว ฉันจึงเบือนหน้าหลบร้อมทั้งใช้มือที่เป็นอิสระ ทุบใส่ช่วงไหล่อีกฝ่ายอย่างแรงเพื่อให้เขาหยุด เขาปล่อยให้ฉันทุบแบบนั้นอยู่ 2-3 ทีก่อนใช้จะคว้าจับกุมให้หยุดและเอ่ยปากถาม “ทุบพอยัง?” ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกหงุดหงิดรีบใช้มือข้างที่เหลือทุบใส่หัวไหล่เขาอีกข้างแรงๆ แทนคำตอบ แต่รอบนี้ คำรามไม่ปล่อยให้ฉันลงไม้ลงมือใส่เขาอยู่ฝ่ายเดียว รีบฉวยข้อมือฉันกดลงที่นอนอย่างรวดเร็วทั้งสองข้าง “เอาล่ะ ตอบคำถามได้แล้ว” แถมยังพูดจาหน้ามึนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่อยากจะฟัง “ก็บอกว่ามันไม่ได้สำคัญไง อะ...” ฉันทำตาโตขณะที่กำลังปฏิเสธความต้องของฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่รู้สึกถึงริมฝีปากร้อนของอีกฝ่าย ซึ่งเขาจงใจจุมพิตลงบนแก้มขวาเบาๆ “ทำอะไรวะ!? ปล่อยดิ!” การกระทำดั่งข่มขู่ดังกล่าวส่งผลให้ฉันยิ่งดิ้นต้านแรงของเขาให้หนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อย แน่นอนว่าเขาไม่สนใจ ยังคงตามคำขู่ของตัวเองด้วยการกดริมฝีปากลงบนแก้มจนรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด “เฮ้ย! บอกให้ปล่อยไง!” การกระทำถือดีเสมือนตัวเองได้เปรียบกว่า มันทำให้ฉันทนไม่ไหว ดิ้นสุดแรงเป็นครั้งสุดสุดท้ายพลางสะบัดแขนซึ่งถูกเขาตรึงไว้จนหลุดออกได้ในที่สุด แต่การหลุดสู่อิสรภาพครั้งนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะแรงดิ้นจากขาทั้งสองข้างดันกระแทกเข้ากับต้นขาของคนตัวใหญ่อย่างแรง จนเขาเสียหลักทับตัวลงมา และทำสิ่งที่มากเกินกว่าจูบแก้มอย่างฉวยโอกาส ฟึ่บ! ตุบ! โชคดีที่คำรามยังมีสติใช้มือดันที่นอนไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นเสี้ยววินาทีดังกล่าวฉันก็ยังรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนระอุของเขาที่แตะลงมาบนผิวปากตัวเองได้อยู่ดี ถึงมันจะไม่นานก็เถอะ ในความมืดฉันมองเห็นใบหน้าคมคายของเขาชัดกว่าครั้งไหน นัยน์ตาคมซึ่งมองทุกอย่างเป็นศัตรูและจ้องแต่จะคอยหาเรื่อง อยู่ห่างไปเพียงแค่ระยะโฉบเฉี่ยวระหว่างปลายจมูก ระหว่างเรามีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกที่ดังสลับกันอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากใช้กำลังใส่กันมานานพอสมควร ลมหายใจเคล้ากลิ่นของแอลกอฮอล์ถูกเป่ารดลงบนใบหน้าในระยะกระชั้นชิด กลิ่นของแอลกอฮอล์ทำให้คนที่รู้สึกถึงเหมือนจะเมาตามไปด้วย กึก... ช่วงเวลาที่เงียบฉันรู้สึกและได้ยินเสียงของมือเขาที่กดลงกับเตียงแน่นขึ้น และต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหลบ เมื่อปีศาจตรงหน้าทำท่าจะกดริมฝีปากตัวเองลงมาเป็นหนที่สอง โดยไม่ลืมผลักตัวเขาให้ถอยห่างออกไปด้วย ครั้งนี้คำรามไม่ต่อล้อต่อเถียง เขายอมถอยออกไปอย่างโดยดีไม่ใช้กำลัง ฉันรีบขยับตัวพลิกนอนหันหลังให้เขาทันทีเมื่อรู้สึกว่าเขาเคลื่อนกายกลับไปยังฝั่งของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คืนนั้นจบลงด้วยความเงียบ ฉันไม่ได้ตอบรับคำตอบที่เขาต้องการและเขาก็ไม่พูดถึงมันอีก ที่เหลืออยู่ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งหลับไปก็มีเพียง ความร้อนช่วงแก้มที่ลมหายใจเขาเป่ารดไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD