หวออ วี้ หวออ...
เสียงไซเรนของรถตำรวจซึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ทำผมสะดุ้งจากภวังค์ความคิดเหลียวหลังมองไปยังต้นเสียง ก่อนพบกับไซเรนสีแดงสดบ่งบอกถึงชนิดรถที่กำลังขับตรงมายังสถานที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันเสียงหวานก็เอ่ยตะคอกสั่งขึ้น
“ป้า! เดี๋ยวหนูมาจ่ายค่าเสียหาย!”
บอกตรง ตอนนี้ไม่รู้จะมองห่าไรก่อนดี ระหว่างรถตำรวจกับน้ำหอม
“เฮ้ย! ไปเอารถดิ พ่อมาไม่เห็นเหรอ!?” อีกครั้งที่ผมต้องสะดุ้งจากภวังค์ความคิดเป็นหนที่สองเมื่อเสียงสั่งของผู้หญิงคนเดิมตะคอกใส่อยู่ข้างตัว
ผมจิ๊ปากอย่างนึกรำคาญใจเนื่องจากไม่ค่อยชอบถูกใครออกคำสั่ง ถึงอย่างงั้นช่วงนาทีวิกฤตผมก็ยังตัดสินใจคว้ามือเธอพาวิ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อยู่ดี
บรืนน บรืนนน
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะล้วนต้องแข่งกับเวลา สถานการณ์แบบนี้ผมกับไอ้โตเจอมาบ่อย การสตาร์ทรถแล้วบิดหนีออกจากหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความเร็วเต็มกำลังเครื่องสูบ จึงไม่เรื่องครนามือ
ผมพาน้ำหอมนั่งซ้อนท้ายบิดหนีตำรวจมาจนเสียงไซเรนค่อยๆ ดังแผ่วลงไปจนเงียบลงในที่สุด เมื่อรู้ว่าบิดหนีจนพ้น ความเร็วที่บิดมาเต็มลูกสูบจึงเริ่มชะลอตัวช้าลงจนเอื่อย
“เบาเครื่องทำไม!? เดี๋ยวพ่อก็ตามมาทันหรอก”
“เงียบปาก อย่าสั่งน่า!” ผมบอกเธอเสียงอู้อี้ผ่านหมวกกันน็อก นั่นเลยทำให้บรรยากาศระหว่างการขับรถเงียบลงอีกครั้ง สายตาผมมองถนนเบื้องหน้า
‘เฮ้ย! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง เกี่ยวกับน้ำหอม’
‘หึ! คุยด้วยอะไรดีล่ะ มือหรือตีน?’ แต่ไม่ใช่กับความคิดที่ดันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
‘ตีน’ คืนนั้นผมกับไอ้โซลมีโอกาสได้แลกหมัดใส่กันนิดหน่อยตามคำขอที่อีกฝ่ายบอกอยากคุยกับตีน แต่แล้วมันก็พูดบางอย่างขึ้นมา
‘อย่าทำให้หอมต้องร้องไห้...’ การที่มันพูดขนาดนั้นเลยทำให้ผมเดาได้ว่าการที่ไอ้โซลมาดักเจอผมตัวแบบนี้ คงเพราะผู้หญิงคนนั้นน่าจะโทรไปฟ้อง ‘อย่าคิดทำเรื่องเชี่ยๆแบบนั้นกับหอมอีก!’
ผัวะ!
‘เรื่องของผัวเมีย มึงเสือกไรด้วย!’
‘ก็เพราะว่ากูไม่อยากเห็นหอมร้องไห้เพราะมึงไง!’ แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็เปลี่ยนไปเมื่อไอ้เวรนั่นเรียกผมด้วยชื่อต่างไป ‘เขาใจไหมซี!?’
‘อย่ามาหวงเมียจนพูดจาไม่เข้าเรื่อง!’
พลั่ก!!
‘อึก...หอมไม่ใช่เมียกูว่ะซี…ไม่ใช่เมียกู’
บรืนน บรืนนน
ความเร็วของรถเริ่มเร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อภาพความจำและคำพูดน่าหงุดหงิดลอยวนเวียนอยู่ในหัว และมันก็เป็นอยู่แบบนั้นจนกระทั่งรถที่ขับมาเลี้ยวมาหยุดจอดที่หน้าบ้านในที่สุด
น้ำหอมรีบกระโดดลงจากท้ายรถอย่างรวดเร็ว เธอไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว มีเพียงแค่หางตาที่เหลือบมองหน้าแบบไม่สบอารมณ์เท่านั้น ผมถอดหมวกกันน็อกออกโดยมองตอบสายตาดังกล่าวโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน พอเห็นสายตาแบบนั้นของอีกฝ่ายแล้วในหัวมันก็มีแต่คำพูดของไอ้เวรนั่น
‘หอมไม่ใช่เมียกูว่ะซี...ไม่ใช่เมียกู’ คำพูดพวกนั่นทำผมรีบกวาดขาลงจากรถเดินตามหลังหญิงสาวตรงหน้าเข้าไปในบ้าน โดยไม่ลืมส่งเสียงเรียกเธอออกไปด้วย
“เฮ้ย!” ครั้งนี้น้ำหอมยอมหยุดเท้าลง เธอหันขวับกลับมามองผมในท่ากอดอก และคงสายตาแบบเดิมไว้
“อะไรอีก?” เมื่อถูกถามผมจึงเร่งฝีเท้าตรงเข้าประชิดตัวเธออย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ! หมับ!
“...อะ” วูบหนึ่งที่คนตัวเล็กทำตาโตคล้ายกับตกใจเมื่อถูกผมพุ่งมือคว้าตัวเอาไว้และคงแววตาตกใจไว้แบบนั้นแม้แต่ในตอนที่ผมค่อยๆ ใช้หัวแม่โป้งมืออีกข้างปาดเช็ดคราบเลือดบนแก้มเนียนออกอย่างแผ่วเบา
รอบตัวเราคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าลง จนสามารถมองเห็นนัยน์ตาคู่สวยในระยะใกล้ได้ชัดกว่าครั้งไหน และมันยังทำให้ผมสามารถจดจำทุกสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงออกในเวลานี้ได้อย่างชัดเจนจนกระทั่งผมลดมือลงแล้วบอกเธอ
“แก้มเธอแม่ง...เปื้อนเลือด”
“ขอบใจ”
น้ำหอมตอบเพียงแค่นั้นก่อนหันไปเปิดประตูเดินเข้าบ้าน บนใบหน้าสวยไม่ได้มีรอยยิ้มอย่างผู้หญิงคนอื่น กลับกันคนที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากมันดันเป็นเสียเอง ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ
‘จากรอยยิ้มที่เธอส่งมา จากเวลาที่เราใกล้กัน จับมือเธอไว้ข้างใจฉัน แค่นาที~’ เพลงบ้าๆ จากวิทยุที่ร้านก๋วยเตี๋ยวมันดันแว่วเข้ามาให้ได้ยินไม่หยุด
‘เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน14 ตอนที่ฉันมีแฟนคนแรก~’
จนอดฮัมเพลงระหว่างเดินตามหลังเธอเข้าไปในบ้านไม่ได้
“ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง~”
อ่าบ้าฉิบ... เขินว่ะ
-NUMHORM TALK-
“กลับมาแล้วเหรอลูก ไปไหนกันมา”
เสียงทักทายของคุณน้าดังขึ้นทันทีที่ฉันโผล่หัวเข้ามาในตัวบ้าน
“หนูไปทำธุระที่…” ทว่า ยังไม่ทันตอบจนจบประโยคดี ตอนนั้นเองก็มีเสียงฮัมเพลงของใครอีกคนดังแทรกขึ้น เรียกความสนใจจากคุณน้าและฉันให้หันมองได้อย่างพร้อมเพรียง
“ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง~”
คุณน้าหลุดหัวเราะคิกคักพลางเอื้อมมือตีแขนฉันเบาๆ คล้ายกับหยอกเย้า แล้วเอ่ยถามกระซิบ
“วันนี้พี่รามดูอารมณ์ดีเนอะ คิกๆ”
“ระ เหรอคะ?”
“แม่ไม่เห็นเขาฮัมเพลงแบบคนอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้วนะ ไปทำอะไรกันมา”
“เปล่านี่คะ”
“แม่ครับ วันนี้มีไรกินบ้าง~” อีกครั้งที่บทสนทนาระหว่างฉันถูกขัด เมื่อคำรามเดินเข้ามาสวมกอดคุณน้าจากทางด้านข้าง แถมยังทำตัวประจบหอมแก้มแม่ตัวเองฟอดใหญ่ ดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตา
“มีแกงเหลือจากเมื่อวาน รามอยากกินอะไรล่ะ?” สิ้นเสียง คนถูกถามก็ชำเลืองสายตามองมาทางฉันก่อนผละอ้อมกอดออกห่างจากคุณน้า แล้วตอบ
“อะไรก็ได้ แค่เรานั่งกินกันครบทุกคนก็พอแล้ว” รู้ไหมตอนเขาตอบน่ะ ฉันรู้สึกเหมือนถูกสายตาเขามองอยู่ตลอดเวลา ด้วยแววตายียวนกวนประประสาท
“แหม ดูตอบเข้า...วันนี้พวกลูกไปทำอะไรมา ทำไมถึงอารมณ์ดีแบบนี้”
“ไม่ได้ทำอะไรนี่แม่” คำรามตอบ ฉันเลยเสริม
“ค่ะ เราไม่ได้ทำอะไรกัน”
“จริงเหรอ?” แต่คุณน้าก็ยังแซว
“ค่ะ หนูว่าที่คำรามอารมณ์ดีน่าจะ...” ฉันจงใจหันไปปะทะสายตากับเขาตรงๆ ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ตั้งท่ามองและมองมานานแล้วด้วย
พอเราสบตากันจู่ๆ คำรามก็ทำเรื่องน่าสะพรึงด้วยการฉีกยิ้มจนตาปิด เห็นแล้วรู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ ทำเอาความคิดในหัวเหมือนถูกทำลายจนพังเสียหาย
ชะงักไปชั่วขณะ...
“น่าจะอะไรจ๊ะ?”
‘เป็นบ้า’ ตอนแรกฉันคิดจะแขวะเขาไปแบบนั้น แต่พอเจอรอยยิ้มแปลกๆ ชวนสะพรึงนั่นแล้ว ถึงกับต้องหยุดความคิดลงเพราะรับไม่ได้ จำต้องพูดเปลี่ยนประเด็น
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ หนูขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ว่าแล้วฉันก็เดินปลีกตัวออกจากคู่แม่ลูกนั้นทันที และอดไม่ได้ที่จะใช้มือลูบไปตามแขนทั้งสองข้างอย่างนึกขนลุก
ยิ้มทำบ้าอะไรของเขาวะ คิดว่าน่ารักตายล่ะมั้ง
ขนลุกชะมัด...
ฉันพาตัวเองเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง มือพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางไปด้วย เมื่อนึกได้ว่ามีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ
ศิลป์ :: กลับยัง
เพราะฉันปิดเสียงไว้ตลอดเวลา เมื่อเปิดหน้าจอจึงพบเข้ากับข้อความของศิลป์ซึ่งน่าจะส่งมาได้สักพักแล้ว
น้ำหอม :: ถึงแล้ว
น้ำหอม :: แกอยู่ไหนอ่ะ
พอส่งกลับไปศิลป์ก็ตอบกลับทันที
ศิลป์ :: เพิ่งกลับ
เมื่อคืนตอนที่สติแตกแล้วพึ่งอะไรพี่โซลไม่ได้ ฉันก็ได้ศิลป์นี่แหละที่ช่วยทำให้สงบสติอารมณ์ลงได้ อย่างที่บอกเขามักทำตัวเป็นคนฟังที่ดี
เวลาระบายด้วยแล้วสบายใจ...
“เฮ้ย! คุยกับใครอ่ะ” ฉันกลอกตาอย่างนึกรำคาญใจเมื่อเสียงทักดังขึ้นจากบริเวณขั้นบันได้ รีบลดโทรศัพท์ในมือลงพร้อมทันหมุนลูกบิดเปิดประตูพาตัวเองเข้าห้องเพื่อเลี่ยงคำพูดชวนหาเรื่องดังกล่าว
แต่ก็ลืมไปว่าเราอยู่ห้องเดียวกัน
“ถามว่าคุยกับใคร?” คำรามยังคงเดินตามเข้ามาในห้อง แล้วถามคำถามเดิมๆ คล้ายกับถูกตั้งโปรแกรมชีวิตมาแค่นั้น
“เพื่อน”
“เพื่อนหรือชู้” พอตอบก็ยียวนแบบนี้ มันน่าตอบไหมล่ะ?
“เสือก”
“ด่าเป็นแค่นี้เหรอ?” พอเริ่มต่อปากต่อคำ คำรามก็เริ่มเยอะ ทำเหมือนว่าเขาสนุกกับการเถียงมันเสียอย่างนั้น
ครั้งนี้ฉันไม่ตอบแต่เลือกที่จะถอดเสื้อคลุมตัวนอกแล้วแขวงมันกับตู้เสื้อผ้า ปล่อยให้อีกฝ่ายบ้าอยู่คนเดียว แต่ดูท่าแล้วเขาน่าจะอยากให้ฉันบ้าหรือไม่ก็เป็นโรคประสาทเป็นเพื่อนเขามากกว่า
“ไม่ด่าแล้ว?”
“เลิกหาเรื่องได้ยัง ลำไย!” ฉันว่า
“ไม่ มีไรป่ะ?” เขาตอบกวนๆ ก่อนทิ้งตัวลงไปนอนแผ่บนเตียง ฉันไม่ได้สนใจสิ่งที่คำรามทำมากนัก แต่เลือกอาศัยจังหวะที่เขานอนอยู่บนเตียงถอดกางเกงยีนที่สวมอยู่ออกเพื่อเปลี่ยนเป็นบ็อกเซอร์ใส่สบายๆ แทน
ตอนนั้นเองที่คำรามถามขึ้น
“พรุ่งนี้จะไปไหนป่ะ?”
“ถามทำไม?” ฉันถามโดยไม่มอง
“ถามไปงั้น”
“ไม่ต้องรู้หรอก” ปากน่ะตอบ ส่วนมือกำลังวุ่นวายกับการค้นกางเกงขาสั้นในลิ้นชัก
“แค่ตอบว่าจะไปไหนมันยากมากนักไง?”
“รู้แล้วได้อะไร?”
“จะได้ไปส่ง”
ได้ฟังแบบนั้นฉันจึงเปลี่ยนความคิดที่จะลีลายียวนเขา ด้วยการพูดบางอย่างที่ต่างออกไป
“วันหลังก็พูดตรงๆ ลีลาอยู่ได้...” ฉันเหลือบมองท่าทีคำรามเป็นหนสุดท้าย ขณะเดินตรงไปยังห้องน้ำ และเห็นว่าเขากำลังใช้แขนก่ายหน้าตัวเอง แต่ไม่รู้หรอกว่าคำรามกำลังทำหน้าแบบไหน
เห็นแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับสิ่งที่ต้องการ
ฉันพาตัวเองเดินหนีเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจท่าทีอีกฝ่ายพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ทันทีที่เข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัว โทรศัพท์เครื่องสำคัญก็ถูกหยิบขึ้นมาพิมพ์ข้อความอีกครั้ง
น้ำหอม :: เรื่องที่คุยเมื่อคืน เหมือนจะไปได้สวย
ศิลป์ :: เฮ้ยถามจริง ไมมันง่ายขนาดนี้วะ 555+
ศิลป์ :: แล้วไอ้นักเลงที่ส่งไปวันนี้มันได้ทำหอมเจ็บป่ะ?
น้ำหอม :: นิดหน่อย แลกกับการเอาคืน ถือว่า OK