ตอนที่ 5... เด็ดขนาดไหน?

3006 Words
เช้าวันต่อมา วันแห่งความขี้เกียจหรือวันจันทร์ นวินดามีเรียนทั้งวัน เธอกลัวว่าหากออกจากบ้านช้า รถจะติดจนเข้าเรียนสาย วันนี้จึงตื่นตั้งแต่ตีห้า และหกโมงครึ่งก็เตรียมของและแต่งตัวพร้อมไปมหาวิทยาลัย “ยังเช้าอยู่เลย ขยันเรียนเกินไปหน่อยหรือเปล่า” ภาคินยืนขวางประตูเล็กบริเวณหน้าบ้าน หลังจากออกไปวิ่งสูดอาการยามเช้าที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน “วิวกลัวรถติดค่ะ” “สงสัยจะรีบมากเลยทาลิปสติกเปื้อนแก้ม” เขาวางมือลงบนใบหน้าสวยใสของนวินดาอย่างแผ่วเบา ถูมันออกเบาๆ ก่อนจะดึงตัวเธอมายืนอยู่ในมุมลับสายตา “คุณคิน... ปล่อยค่ะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” “ไม่มีคนเห็นหรอก ขอจูบหน่อย” นวินดาส่ายหัวปฏิเสธ เมื่อคืนคำพูดของป้าบัวหลอกหลอนเธอทั้งคืน อีกเหตุที่รีบออกจากบ้านก็เพราะว่ากลัวจะเจอเขา แต่พลาดท่าจนได้ “ทำไมล่ะ กลัวปากเลอะเหรอ” “เปล่าค่ะ” “แล้วทำไมไม่ให้จูบ รังเกียจที่ฉันมีเหงื่อเต็มตัวเหรอ” “เปล่าค่ะ” “หรือว่ากลัวเสื้อนักศึกษาจะเลอะเหงื่อ ฉันถอดออกได้นะ” พูดจบเขาก็ถอดเสื้อทิ้งลงพื้น ยืนเท้าเอวโชว์กล้ามท้อง พร้อมมองนวินดาไม่ละสายตา “จูบหน่อยได้ไหม... เด็กดีของฉัน” เขาดึงตัวเธอเข้ามาใกล้อีกครั้ง เชิญชวนเธอด้วยการลูบไล้ต้นขาภายใต้กระโปรงนักศึกษา แต่วันนี้เด็กดีรู้สึกจะดื้อมากไปหน่อย เล้าโลมยังไงก็ไม่โอนอ่อนให้เขาเลย “เป็นอะไร” ภาคินปล่อยเธอเป็นอิสระ ไม่อยากใกล้ ไม่อยากให้กอด ไม่อยากให้จูบ ไม่อยากให้แตะต้องตัว เขาก็ยินดีถอยห่าง แต่หน้าตาและน้ำเสียงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจอย่างมาก ไหนตกลงกันแล้วว่าการเด็กในปกครองของเขา จะต้องตามใจเขาทุกอย่าง “เปล่าค่ะ วิวแค่กลัวคนเห็น คุณวรรณก็กลับบ้านมาแล้วด้วย” นวินดาบอกหน้าเศร้า ยิ่งคำเตือนของป้าบัวฝังอยู่ในหัว เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อพิมลวรรณ เขาพอจะเข้าใจ แต่ความหงุดหงิดยังคงไม่จางหาย “วันนี้เลิกเรียนกี่โมง” “คุณคิน... ถามทำไมเหรอคะ” “เลิกกี่โมง” “สี่โมงเย็นค่ะ” เมื่อเขาเสียงเข้ม เธอก็ยอมตอบแต่โดยดี “เดี๋ยวฉันไปรับ ถ้าการอยู่ใกล้ฉันในบ้านหลังนี้ทำให้เธอลำบากใจ ฉันจะพาเธอไปอยู่ในที่ที่ทำให้เธอสบายใจ” ภาคินโน้มหน้าลงมาบอกใกล้ๆ ใกล้ซะจนอีกไม่กี่เซนติเมตร ปากเขาจะสัมผัสแก้มนวล “ที่ไหนเหรอคะ” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของนวินดา เพราะสายตาขี้เล่นของเขาทำให้เธออดใจถามไม่ไหว “เอาเป็นว่าวันนี้ตั้งใจเรียน รู้แค่นี้ก็พอ” “ค่ะ” “จำได้ใช่ไหม ว่าเด็กดีของฉันจะต้องตั้งใจเรียน” “จำได้ค่ะ” “ส่วนเรื่องที่เมื่อกี้เธอดื้อ เย็นนี้ฉันจะลงโทษ” ภาคินพูดจบก็เดินจากไป แต่ก็มิวายมอบรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์แต่มีเสน่ห์เหลือล้นให้นวินดาต้องใจเต้นแรง “จะตั้งใจเรียนได้ไหมเนี่ย” เธอกังวล เขาสามารถทำลายสมาธิได้ตลอดเวลา แม้จะแค่เห็นหน้าเขาผ่านความคิดก็ตาม “วิวววววววววว” เสียงสู๊ง... สูงแถมยังลากยาวจากเชียงใหม่ไปถึงภูเก็ตจากเพื่อนซี้สุดสนิทชิดใกล้ของนวินดาอย่างหนูแต้วดังขึ้นตั้งแต่เพื่อนเพิ่งเปิดประตูห้องเรียน “ไงจ๊ะหนูแต้วคนสวย วันนี้มาเช้าจังเลยนะคะ” นวินดาเรียกเพื่อนว่า หนูแต้ว แม้ว่าความจริงแล้วเพื่อนจะมีร่างกายห่างจากคำว่าหนูอยู่มาก ชื่อหนูแต้วนี้เพื่อนก็คิดขึ้นมาเองเพื่อความกิ๊บเก๋ แล้วอย่าได้คิดจะเรียกว่านายภานุพงศ์เชียวล่ะ โดนหมัดฟาดหน้าเข้าให้ จะหาว่าน้องวิวไม่เตือน “ก็วันนี้ที่รีบมาแต่เช้าก็เพราะว่า...” “ว่า?” “เพราะว่า...?” หนูแต้วเล่นตัว ไม่ยอมพูด จีบปากจีบคอให้เพื่อนหมั่นไส้ “ไม่อยากรู้ละ” “เดี๋ยวสิยะ” “ก็พูดมาสิ” นวินดาเบ้ปากใส่เพื่อน เรื่องเล่นตัวนี่ยกให้ที่หนึ่งเลย “อยากรู้ ก็เลยต้องถามให้เคลียร์ มีข่าวแว่วมาถึงหูอันสวยงามของฉันว่าเห็นแกกับต้นกระหนุงกระหนิง กระปรี้กระเปร่ากันอยู่ที่ห้าง เรื่องจริงหรือเปล่า” “ห้าง?” “เยส เยส เยส ใช่แล้วค่ะ” “ไปห้างด้วยกันจริง แต่ไม่ได้ไปสองคน ไปกินข้าวกับสายรหัส มีทั้งน้องปีหนึ่ง พี่ปีสาม ปีสี่และพี่ที่เรียนจบไปแล้ว” “ตายละ!” หนูแต้วยกมือป้องปาก เมื่อเห็นรูปแสดงหลักฐานยืนยันว่าเพื่อนพูดจริง “แล้วเรื่องที่ต้นไปส่งแกที่บ้านล่ะ เรื่องจริงป่าว” “จริง” “จริง!” “ใช่ จะไม่ให้ติดรถไปด้วยกันหน่อยเหรอ บ้านต้นอยู่ห่างจากบ้านฉันไปไม่กี่หลัง เอ๊ะ ลืมไป ไม่ใช่บ้านฉัน บ้านที่ฉันอาศัย แกก็รู้นิว่าจริงๆ แล้วฉันจนมาก” “จนแต่มีคนอุปการะเลี้ยงดู โชคดีจะตาย” หนูแต้วคิดถึงชีวิตของเพื่อน ประทับใจที่เพื่อนไม่อายที่เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใครในบ้านหลังใหญ่ หลังจากเข้าผิดคิดว่าเพื่อนเป็นลูกคุณหนูเมื่อครั้งรู้จักกันตอนเรียนชั้นมัธยมปลาย “แล้วใครคาบข่าวมาบอก เรื่องนี้แค่นี้ต้องถูกนินทาด้วยเหรอ” “ใช้คำแรงมาก นินทาอะไรกัน เค้าเรียกว่าข่าวกอซซิบ ซุบซิบ กระซิบกระซาบ เพราะว่าอิพวกผู้ชายหลังห้องน่ะ...” หนูแต้วปรายตามองไปด้านหลังชั้นเรียน ซึ่งเป็นที่ประจำของเพื่อนร่วมชั้นผู้ชาย “...มันบอกว่าต้นชอบแก” “อ๋อ...” นวินดาตอบสั้นๆ ได้ข้อสรุปแล้วล่ะที่โดนชมเมื่อวานไม่ได้ถูกชมเล่นๆ “แค่นี้เหรอ? มีผู้ชายมาชอบแล้วแสดงออกแค่นี้เหรอ” “แล้วจะให้แสดงออกยังไงล่ะ ตีลังกาดีใจเหรอ” “แต่ต้นหล่อนะ แกดูสิ หล่อกว่าใครทั้งหมดในห้องนี้เลย นี่ถ้าตอนปีหนึ่งมันตกลงประกวดเดือนคณะ ฉันว่ามันชนะจนได้เป็นเดือนมหาลัยเลย” “ฉันไม่ชอบรุ่นเดียวกัน” นวินดาตอบสบายๆ ในใจมีภาคินอยู่แล้วทั้งคน และเป็นเขาคนเดียวมาโดยตลอด “แล้วชอบแบบไหน แก่กว่าหรือเด็กกว่า” “แก่กว่า” “แก่กว่ามากไหม?” หนูแต้วทำเป็นถามเนียนๆ เห็นเพื่อนกำลังหยิบหนังสือกับกล่องดินสอเตรียมเรียน คงจะหลอกถามเพื่อนได้เรื่อยๆ แต่นวินดาก็รู้ทัน “ไม่บอก อาจจะแก่กว่าฉันหนึ่งเดือน หรืออาจจะแก่กว่าสิบปีก็ได้” “อีบ้า แก่กว่าหนึ่งเดือนก็นับว่าเป็นเพื่อนกันรุ่นเดียวกันสิ แล้วแก่กว่าสิบปีก็พอรับได้ วัยสามสิบต้นๆ กำลังดี มีความมั่นคงในหน้าที่ พร้อมสร้างครอบครัวอะไรประมาณนี้” “แล้วถ้าแก่กว่านั้นล่ะ?” “แก่กว่านั้นก็อย่าเอาเลยวิว ถ้าเลยสามสิบห้า ฉันว่าโชกโชนเรื่องผู้หญิง ไม่รู้ว่าคบเราคนเดียวหรือมีคนอื่นอีก วัยนี้สับรางเก่งเป็นที่สุด” “เรียนเถอะ” นวินดารีบเปลี่ยนเรื่อง พยายามตั้งใจเรียนเมื่ออาจารย์เริ่มสอน แต่ก็มิวายใจลอยเพราะคำพูดของหนูแต้ว... ตอนนี้ภาคินมีพิมพ์มาดา มีเธอ แล้วเขาจะมีคนอื่นอีกหรือเปล่า ไหนจะคำพูดของป้าบัว คิดดีแล้วเหรอที่ใจง่ายให้เขาได้ใกล้ชิด เขามีเด็กในปกครองอีกหลายคนก็เป็นไปได้ “นางสาวนวินดา” “ค่ะอาจารย์” นวินดาตอบรับคำเรียกของอาจารย์ หลังจากนั่งเหม่ออยู่สักพัก “ตอบคำถามของผมด้วยครับ” เธอเลิ่กลั่ก หันไปมองหนูแต้วที่พยายามจะช่วย แต่อาจารย์ก็ส่งสายตาดุให้ “ถ้าไม่ตอบภายในห้าวินาที เย็นนี้ไปผมที่ห้องพักอาจารย์ด้วย” เธอเศร้า รู้ทันทีว่าคราวซวยมาถึงตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาจารย์ธนภัทรเรียกนักศึกษาที่ไม่ตั้งใจเรียนไปตักเตือน เมื่อสิบนาทีก่อนก็มีคนตอบคำถามเขาไม่ได้และถูกเรียกไปพบแบบเธอ แต่ที่เธอตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ฟังคำถามเลยต่างหาก “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม” หนูแต้วถามหลังจากเรียนทั้งวิชาในช่วงเช้าและบ่ายเสร็จแล้ว “ไม่เป็นไรแต้ว แกกลับบ้านเถอะ ฝนจะตกแล้ว” “แล้ววันนี้แกกลับยังไง” “แท็กซี่” นวินดาโกหก ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง อีกอย่างเธอมีเพื่อนอีกสามคนที่โดนเรียกพบเช่นกัน ไม่เหงาอยู่แล้ว “โอเค งั้นโดนอาจารย์ดุว่าอะไร เล่าให้ฟังด้วยนะ” “ได้เลย ฉันไปละ” “บ๊ายบาย” นวินดารีบแยกกับหนูแต้ว อีกไม่นานภาคินก็จะมารับเธอแล้ว รีบไปโดนดุจะได้รีบไปเจอภาคิน แต่เมื่อมาถึงห้องพักอาจารย์ คิดว่าจะได้เข้าไปพบอาจารย์พร้อมเพื่อน กลับโดนเรียกเข้าพบทีละคน และเธอก็เป็นคนสุดท้าย... “วิว ตาแกแล้ว” “ขอบใจ” เพื่อนคนก่อนหน้าบอกอย่างเซ็งๆ ไม่รู้เพื่อนเจออะไร จะถามก็ไม่ได้ เพราะต้องเข้าไปพบอาจารย์แล้ว “ขออนุญาตค่ะ” นวินดายกมือไหว้อาจารย์ธนภัทร สำรวจห้องพักอาจารย์ที่เต็มไปด้วยหนังสือ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ “สวัสดีค่ะ...” “สวัสดีครับ” เขามองเธอไม่ละสายตา ทำให้นักศึกษาขวัญอ่อนเกิดความกลัว “ทำไมวันนี้ไม่ตั้งใจเรียนครับ ถึงวิชาของผมจะเป็นวิชาเลือก แต่ก็สำคัญไม่แพ้วิชาหลักที่คุณต้องเรียนนะ” “เอ่อ...” “เหตุผลคืออะไรครับ เพื่อนคุณคนแรกบอกว่าตอบไม่ได้ เพราะเนื้อหายากเกินไป คนที่สองตอบ แต่ตอบผิดทั้งๆ ที่ผมก่อนหน้านี้ผมเฉลยคำตอบไปในเนื้อหาที่สอน แล้วคุณล่ะ... เหตุผลของคุณคืออะไร” นวินดากลืนน้ำลาย คอแห้งเพราะคิดคำแก้ตัวไม่ออก “คือ... หนูหิวข้าวค่ะ” “ไม่ได้ทานข้าวเช้าเหรอครับ?” อาจารย์ถึงกับถอนหายใจ เหตุผลไม่ซ้ำใครแต่ก็ฟังไม่ขึ้นเลย “ทานค่ะ แต่... หนูเป็นประจำเดือน เวลาเป็นประจำเดือน ฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกายผู้หญิงจะหลั่งออกมามากปกติ แต่หนูจำชื่อฮอร์โมนไม่ได้ค่ะ มันส่งผลให้หิวบ่อยค่ะ แล้วเวลาที่มดลูกบีบรัดเพื่อขับเลือดเสียออกมา หนูปวดท้องมากๆ ค่ะ ขอโทษอาจารย์ด้วยนะคะ” ธนภัทรมองอย่างพิจารณา ไม่รู้หรือว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ แต่ไม่มีความรู้เรื่องร่างกายผู้หญิงขนาดนั้น ถือว่าครั้งนี้เธอรอดตัวไปก็แล้วกัน “โอเค แต่ไม่ว่าคุณจะปวดท้องหรือหิว ตอนอยู่ในห้องเรียนก็ต้องตั้งใจฟังที่ผมสอน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปนอนห้องพยาบาล กลับบ้านไปอ่านเรื่องที่ผมสอนวันนี้ สรุปความเข้าใจส่งให้ผมในอีเมล และครั้งหน้าอย่าให้ผมเห็นว่าคุณไม่ตั้งใจเรียนอีก” “ได้ค่ะ ส่งภายในวันไหนคะ” “วันนี้” นวินดายิ้มออก งานง่ายๆ สบายๆ เดี๋ยวจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบค่ะอาจารย์ “เชิญครับ” นวินดาจะออกจากห้องไปตามคำสั่งก็ไม่กล้า ในเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอาจารย์หยิบกระเป๋าพร้อมลังกระดาษสองลัง “หนูช่วยถือไหมคะ=” “ไม่เป็นไร ผมถือไหว” “หนูอยากช่วยค่ะ เผื่อว่า... เดินไปอีกนิดแล้วมันจะตก” เธอยิ้มแหย เป็นห่วงจริงๆ นะว่าไอ้ลังที่ซ้อนอยู่ข้างบนจะตกลงมาระหว่างทาง “ขอบคุณมาก แต่ผมไปลานจอดรถนะ” “สบายค่ะ” อีกครั้งที่เธอยิ้ม แต่เป็นยิ้มสมน้ำหน้าตัวเอง ไม่น่าอาสาเลย ลานจอดรถเดินไปอีกตั้งหลายร้อยเมตร แถมภาคินก็ใกล้ถึงมหาวิทยาลัยแล้วด้วย “คุณรอผมที่หน้าคณะแล้วกัน เฝ้าของให้ผมหน่อย เดี๋ยวผมเดินเอารถมารับของดีกว่า” “ได้ค่ะ” ครั้งนี้เธอยิ้มกว้าง แบบนี้สิถึงจะถูกหลัก เธอนัดหมายภาคินไว้ตรงนั้นเช่นกัน เลยเวลา 16.45 มานิดหน่อย ภาคินก็จอดรถเทียบฟุตพาท ก่อนจะเปิดกระจกเรียกนวินดา “วิว” “คุณคิน...” เธอยิ้มด้วยความดีใจ เขามาตามนัด ไม่ปล่อยให้เธอรอเก้อ “ขึ้นรถสิ” เขางงว่าทำไมเธอเอาแต่ยืนยิ้ม “คุณคินคะ แป๊บนึงได้ไหมคะ อาจารย์ให้วิวเฝ้าของค่ะ อาจารย์กำลังขับรถมาเอาค่ะ” “รถอาจารย์อยู่ไหน” เขาไม่ชอบรอ มันเสียเวลาชีวิต “อยู่ข้างหลังคณะนี่เองค่ะ” “โอเค” แต่ถ้าไม่นานแบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว เห็นลังกระดาษด้านหลังก็เข้าใจ มันก็น่าเฝ้าอยู่หรอก คงเป็นเอกสารทางวิชาการ ไม่ก็ข้อสอบหรือการบ้านของนักศึกษาและสามนาทีต่อมา อาจารย์ก็มาถึง “ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเฝ้าของ” “ไม่เป็นไรเลยค่ะอาจารย์” “เฮ้ย!” เสียงทักทายที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรของใครบางคนดังขึ้น ดังจนนวินดายืนงง แต่อาจารย์ธนภัทรไม่แสดงท่าทีแปลกใจเลย “ไอ้คิน!” “ไม่ได้เจอนานเลยไอ้ภัทร” เขาโผกอดเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างธนภัทร ทั้งคู่เคยเรียนด้วยกันตอนปริญญาตรี ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนต่อปริญญาโทตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ ภาคินเลือกเรียนต่อด้านบริหาร เพื่อมาดูแลธุรกิจของที่บ้าน ส่วนธนภัทรเลือกเรียนด้านการสอน เพราะมีความสามารถจากการเป็นติวเตอร์มาตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้เขาอยากถ่ายทอดความรู้ให้เด็กรุ่นใหม่ และแม้จะมีเส้นทางการเดินต่างกัน แต่ความเป็นเพื่อนและมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่ต่างกันเลย “สบายดีไหมมึง ได้ข่าวว่าตอนนี้เป็นผู้บริหารใหญ่แล้วใช่ไหม” ธนภัทรเอ่ยถาม ลืมไปเลยว่าที่ลงรถเพื่อมายกลังเอกสาร “กูสบายดี เป็นผู้บริหารจริงเว้ย แต่ยังไม่ใหญ่โตเท่าไหร่” ภาคินหัวเราะร่า มีความสุขที่ได้เจอเพื่อน โดยที่นวินดานั้นถอยไปยืนมองเขาอยู่ห่างๆ เธอไม่เคยเห็นคุณคินในมุมนี้ ปกติจะเห็นเขาเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจา จะได้คุยกันเยอะหน่อยก็ตอนที่เขามาทานข้าวในห้องครัว และเพิ่มมากขึ้นอีกตอนเป็นเด็กในปกครองของเขานี่แหละ “แล้วมึงเป็นไงบ้างภัทร เป็นศาสตราจารย์หรือยัง” “ยัง แต่กูเป็นด็อกเตอร์แล้วนะเว้ย เดี๋ยวสอนไปสักสามสี่ปี น่าจะเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ “เชี่ย! โคตรเจ๋ง” “ไม่เจ๋งหรอก มียศนำหน้า แต่ไม่ค่อยมีเงิน รู้งี้เรียนต่อด้านเดียวกับมึงดีกว่า” “อย่าอิจฉากูสิ กูต้องอิจฉามึง เดี๋ยวนี้เด็กมหาลัยมีแต่คุณภาพคับแก้วทั้งนั้น” “มึงหมายถึงเรื่องเรียนใช่ไหมคิน” ธนภัทรแกล้งถาม “มึงก็รู้ว่ากูหมายถึงอะไร ทำเป็นถาม เออ แล้วนี่มึงทำไรวะ” ภาคินลืมไปสนิทใจ ต้องเข้าใจหน่อยนะว่าไม่เจอคนคุ้นเคยมาหลายปีและยังญาติดีกันอยู่ เลยต้องทักทายให้หายคิดถึงสักหน่อย “เออ! กูจะยกลังเอกสาร ฝากนักศึกษาไว้” เขาชี้ไปที่ลังกระดาษ แต่นักศึกษาที่ว่าไม่อยู่แล้ว “อ๋อ” ภาคินไม่แสดงออกอะไรที่เป็นพิรุธ เขาเห็นแล้วละว่าเธอเดินห่างออกไป “สงสัยกลับบ้านไปแล้ว” หากลูกศิษย์จะยืนรอเพื่อยกมือไหว้ขอลากลับบ้าน ระหว่างเขากำลังคุยกับคนอื่นอย่างออกรส คงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ เป็นเขา เขาก็จะเลือกเดินออกไปเงียบๆ “แล้วมึงมาทำอะไรวะไอ้คิน อย่าบอกนะว่ามารับนักศึกษาคุณภาพคับแก้ว” อาจารย์มองเพื่อนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ รู้กันดีว่าภาคินเก่งรอบด้าน รวมทั้งเรื่องหว่านเสน่ห์ใส่สาวสวย “มึงนี่ก็พูดไปเรื่อย” “แล้วกูพูดถูกไหมล่ะ” ภาคินอยากตอบว่า ‘ถูก’ หากนักศึกษาที่ยืนเฝ้าของให้ธนภัทรไม่ใช่นวินดา “เสียดาย ลูกศิษย์กูหายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะให้มึงจำหน้าเอาไว้ จะได้ไม่ต้องเลือกคนเดียวกับกู” ธนภัทรบอกสบายๆ ตัวเขาเองก็ใช่ย่อย เรื่องเจ้าชู้ไม่เป็นสองรองภาคินหรอก “มึงจะจีบเด็กเหรอ” ภาคินเริ่มยิ้มไม่ออก โลกจะกลม ความบังเอิญจะเกิดตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นตอนนี้ “คิดว่าอย่างนั้น กูชอบ น้องเค้าตั้งใจเรียน เรียนดี เรื่องสวยหรือเปล่าไม่ต้องพูดเยอะ เพราะถ้าไม่สวยกูคงไม่มอง แต่ทำอะไรมากไม่ได้หรอก รอให้ใกล้เรียนจบแล้วค่อยว่ากัน” “เฮ้ย! อย่างมึงต้องระดับอาจารย์ด้วยกันสิวะ” ภาคินโน้มน้าวให้เพื่อนเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล “เอางี้เว้ยไอ้คิน เหตุผลง่ายๆ เลยนะ อาจารย์กับนักศึกษาไม่ควรคบกัน มันผิดจรรยาบรรณ ถ้ามีคนรู้เรื่องนี้จะฉาวเชี่ยๆ แต่กูกล้าจะเสี่ยง เพราะน้องเด็ดจริง” ภาคินฟังอย่างใจเย็น ข่มใจไม่ให้ความโกรธครอบงำ “เด็ดแค่ไหน มึงเคย... แล้วเหรอ” ธนภัทรเข้าใจความหมายที่เพื่อนเว้นวรรค ปากจึงคลี่ยิ้มยียวนออกมา “ยัง แต่เวลาเห็นแล้วอยากสอดมือไปใต้กระโปรง ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาทีละเม็ด” “โอเค” ภาคินทนฟังไม่ไหวและไม่มีอะไรจะถามอีกต่อไป “กูต้องไปแล้ว เดี๋ยวว่างๆ นัดกินเหล้ากันนะ” “โชคดีเว้ยมึง ขับรถดีๆ” ธนภัทรยืนส่งเพื่อน แม้จะยังไม่ได้คำตอบว่าเพื่อนมาทำอะไรแถวนี้ก็ตาม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD