“มึงเซี่ยกูเถาะขนม บักจอห์นหนิมันแม่นอีกหลีเด้” (เมื่อเชื่อกูเถอะขนมไอ้จอห์นเนี้ยมันแม่นจริงๆ นะ) ปลาส้มเอ่ยขณะปั่นจักรยานไปด้วย ขนมที่ซ้อนท้ายได้แต่กลอกตามองบน ดูก็รู้ว่าหมอเก๊ ทำไมปลาส้มมันไปหลงเชื่อได้
“จ้า กูสิพยายามเซี่ยแล้วกัน” (จ้า กูจะพยายามเชื่อแล้วกัน)
“ดี พยายามกะยังดี” (ดี พยายามก็ยังดี)
เมื่อถึงบ้านของขนมทั้งสองก็ไปนั่งประจำเหมือนทุกวันนั่นคือโต๊ะม้าหินอ่อนข้างห้องครัว ในครัวมีกล้ากำลังทำอาหารอยู่กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
“มึงเฮ็ดหยังกินนั่นกล้า” (มึงทำอะไรกินน่ะกล้า) ปลาส้มเอ่ยถามแทบจะทันทีที่ได้กลิ่นอาหาร กลิ่นแบบนี้ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน คุ้นๆ ราวกับจะได้เอาสาโทมานั่งจิบเบาๆ
“ต้มไก่ครับเอื้อยปลาส้ม” (ต้มไก่ครับพี่ปลาส้ม)
“หอมแท้วะ มึงเอาไก่มาแต่ไส” (หอมจัง มึงเอาไก่มาจากไหน) ขนมเองก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที กล้าเป็นคนเก่งเรื่องทำอาหาร ฝีมือดีไม่ต่างจากป้านุ่มเลยสักนิด
“อ้ายปาล์มเราเอามาให้ครับ บอกว่าอ้ายปลาส้มต้องมาเล่นนี่แท้ๆ ให้ผมต้มถ่าอ้ายปลาส้มครับ” (พี่ปาล์มแกเอามาให้ครับ บอกว่าพี่ปลาส้มต้องมาเล่นที่นี่แน่ๆ ให้ผมต้มรอพี่ปลาส้มครับ) กล้าบอกขณะใส่ต้นหอมผักชีลงไปพร้อมกับปิดแก๊ส
“บักปาล์ม? มันยังบ่เซาตาบอดนำจีบมึงอีกอยู่ติ” (ไอ้ปาล์ม? มันยังไม่เลิกตาบอดตามจีบมึงอีกอยู่เหรอ) ขนมถึงกับอึ้งไปเลย เพราะเธอจำได้ว่าตอนพ่อส่งมานี่ครั้งสุดท้ายคือช่วงม.3 ปาล์มตามจีบปลาส้มตั้งแต่ตอนนั้น
“ตาบอดไสคะเพื่อนสาว กูงามปานนี้ ถ้ามื้อใด๋กูมีผัวต้องเกิดเหตุน้ำตานองอำเภอแท้” (ตาบอดไหนคะเพื่อนสาว กูสวยขนาดนี้ ถ้าวันไหนกูมีผัวต้องเกิดเหตุน้ำตานองอำเภอแน่) ปลาส้มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“มาแล้วครับ ฮ้อนๆ เลย” (มาแล้วครับ ร้อนๆ เลย)
“หูยยย สาโทที่กูเอาไว้นี่มื้อนั่นเหลือบ่?” (หูยยย สาโทที่กูเอาไว้ที่นี่วันนั้นเหลือไหม)
“นี่ครับพี่ปลาส้ม อยู่ในตู้เย็นตลอดบ่มีไผแตะ” (นี่ครับพี่ปลาส้ม อยู่ในตู้เย็นตลอดไม่มีใครแตะ) กล้าถือขวดที่บรรจุน้ำสีขาวยื่นให้อย่างรู้งานก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพร้อมตักข้าวใส่จาน
“กูขอแค่เหล้ากะพอข้าวบ่ต้อง” (กูขอแค่เหล้าก็พอ ข้าวไม่ต้อง) ปลาส้มเบรกกล้าที่กำลังตักข้าวให้เธอ
“คาแต่กินเหล้าอยู่ฮั่น กูขอซดแกงก่อนล่ะนะ” (มัวแต่กินเหล้าอยู่นั่น กูขอซดแกงก่อนแล้วนะ) ว่าแล้วขนมก็หยิบช้อนขึ้นมาตักแล้วเป่า...
“ทางนี้ค่ะๆ” ยังไม่ทันได้เอาเข้าปากก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางประตูรั้วหน้าบ้าน ขนมวางช้อนลงอย่างขัดใจก่อนจะเดินออกไปดู
“แม่นหยังน้อบาดหนิ” (มีอะไรหนอคราวนี้) เมื่อเดินมาถึงประตูรั้วก็พบกับยายอายุราวๆ หกสิบกว่า ถัดไปคือไอ้ปาล์ม ถัดไปอีก... “เอ้า จ่าน้อยหวัดดีจ้า” ขนมยกมือสวัสดีจ่าน้อยทันที
“ไผเป็นหยังน้อขนม” (ใครเป็นอะไรเหรอขนม?) ปลาส้มกับกล้าเองก็ออกมาดูสถานการณ์เหมือนกัน
“ปลาส้ม!” เมื่อเห็นหน้าปลาส้ม ปาล์มที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณยายคนนั้นก็เบิกตากว้างรีบเข้าไปหาปลาส้มทันที
ปลาส้มไม่ได้สนใจนักเธอมองผ่านปาล์มไปก็ยกมือไหว้จ่าน้อยแล้วเอ่ยถามคุณยายที่ยืนข้างกัน “มีเรื่องอิหยังน้อแม่ใหญ่สอน” (มีเรื่องอะไรเหรอคะ ยายสอน) ยายสอนคนนี้ตัวจี๊ดของหมู่บ้านเลย แค่เดินผ่านหน้าบ้านแกยังมีปัญหาได้ เป็นบุคคลที่ควรอยู่ห่างๆ มากที่สุด
“บักปาล์ม มันลักไก่กูมาให้สูกินติ” (ไอ้ปาล์ม มันขโมยไก่กูมาให้พวกมึงกินเหรอ?)
“ห๊า!!” ปลาส้มตะลึง
“ปลาส้มมันบ่แม่นแบบนั้นเด้ เจ้าของอย่าเข้าใจเฮาผิด” (ปลาส้มมันไม่ใช่แบบนั้นนะ ตัวเองอย่าเข้าใจเขาผิด) ปาล์มรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน
“อิหยังอีกน้อบาดหนิกู” (อะไรอีกน้อกู คราวนี้) ขนมกุมขมับรอแล้วตอนนี้ เธอมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องมันจะจบลงที่การเสียเงินอันมีค่ามหาศาลสำหรับเธอ
“คือว่าเฮาสิเอาไก่ที่แม่เลี้ยงไว้อยู่บ้านมาให้เจ้าของ แล้วเฮาจำไก่ผิดโตมันดันกลายเป็นไก่แม่ใหญ่สอน” (คือว่าเราจะเอาไก่ที่แม่เลี้ยงไว้อยู่บ้านมาให้ตัวเอง แล้วเราจำไก่ผิดตัวมันดันกลายเป็นไก่ยายสอน) ปาล์มเอ่ยคอตกใบหน้าเศร้าสร้อยมองปลาส้มอย่างรู้สึกผิด
“โอ้ยตาย มึงสิจีบสาวมึงกะบ่ลงทุนแหน่เนาะ ลักไก่แม่อยู่บ้านเสือกจำไก่ผิดอีก กูเบิ่ดคำสิเว้าแท้น้อ” (โอ้ยตาย มึงจะจีบสาวมึงก็ไม่ลงทุนหน่อยเนอะ ขโมยไก่แม่ที่บ้านเสือกจำไก่ผิดอีก กูหมดคำจะพูดจริงๆ) ขนมร่ายด่ายาวอย่างเหลืออด
คนพึ่งโกงค่าอึ่งมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นี่เงินก็จ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอื่นๆ เหลืออยู่แค่สองพัน...
“สูพากันไปจัดการกันเอา แต่จ่ายค่าไก่มาให้กูก่อนตอนนี้ บ่งั้นกูจะแจ้งความให้สูไปนอนคุก” (พวกแกพากันไปจัดการกันเอง แต่จ่ายค่าไก่มาให้กูก่อนตอนนี้ ไม่งั้นกูจะแจ้งความให้พวกมึงไปนอนคุก) น้ำเสียงดุดันของยายสอนเอ่ยขึ้นด้วยความแข็งกร้าว
“ปาล์มมึงจ่ายเลยมึงเป็นคนเอามา” (ปาล์มมึงจ่ายเลยมึงเป็นคนเอามา) ปลาส้มเอ่ย
“เจ้าของ เฮาบ่มีตังค์แม่กะพึ่งสิออกจากโรงพยาบาล” (ตัวเอง เขาไม่มีตังค์แม่ก็พึ่งออกจากโรงพยาบาล) ปาล์มเอ่ยด้วยสีหน้าสลดดูแล้วอีกใจก็น่าสงสาร
แต่ไม่ใช่สำหรับขนม!
รู้ว่าแม่พึ่งออกจากโรงพยาบาลยังไม่มีเงินยังจะเอาไก่มาฝากสาวอีก
“มันสิจักเท่าใด๋กันถึงสิบ่มีเงินปานนั้น” (มันจะสักเท่าไหร่กันถึงจะไม่มีเงินขนาดนั้น) ปลาส้มเริ่มขุ่นเคืองในใจ
“หนึ่งพัน” ยายสอนเอ่ยคำขาด
“แค่พันเดียว..”
“ห๊ะ!!” ทั้งหมดตกใจพร้อมกันราวกับนัดกันไว้
“เว้าอีกเที่ยดุ๊ยาย” (พูดอีกสักครั้งสิยาย) ปลาส้มยกนิ้วมาแคะหูเพื่อฟังอีกรอบ
“หนึ่งพันจ่ายมา!!”
“ป้าดยาย ไก่เจ้าเลี้ยงด้วยเม็ดข้าวทองคำบ่?” (โหยาย ไก่ยายเลี้ยงด้วยเมล็ดข้าวทองคำเหรอ) ขนมถึงกับปากสั่น เจอแล้วตัวแม่ตัวมัมแห่งการโก่งราคา ที่เธอต้องชิดซ้ายไปเลย
“บ่รู้ล่ะ สูบ่จ่ายกะเตรียมตัวนอนคุกได้เลย” (ไม่รู้แหละ พวกแกไม่จ่ายก็เตรียมตัวนอนคุกได้เลย)
“จ่าซ่อยเจรจากับยายเราให้แหน่ ไก่มันโลละ 80-90 เอง” (จ่าช่วยเจรจากับยายแกให้หน่อย ไก่มันโลละ 80-90 เอง) เธอหันไปขอความช่วยเหลือจากจ่าน้อยที่ยืนข้างๆ อีกที
จ่าน้อยที่ผ่านการแค้นเคืองโดยการถูกโก่งราคาอึ่งในครั้งนั้นมีหรือจะอยากช่วย
กรรมตามสนองแล้วอิหล่าน้อย!
“เรื่องนี้จ่ากะซ่อยหยังบ่ได้ดอก ซุมโตเอาไก่เพิ่นมาต้มเอง” (เรื่องนี้จ่าก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก พวกเธอเอาไก่เขามาต้มเอง) จ่าน้อยทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ยายงั้นกะครึ่งราคาเถาะ ถ้ายายบ่เอาพวกฉันนอนคุกกะได้” (ยายงั้นก็ครึ่งราคาเถอะ ถ้ายายไม่เอาพวกฉันนอนคุกก็ได้) ขนมทำท่าทางสบายๆ เพื่อแสดงให้ยายรู้ว่าเธอเอาจริง
ยายสอนเริ่มชั่งน้ำหนักในใจก็พยักหน้ายอมเพราะความจริงเธอตั้งราคาสูงๆ ไว้เพื่อรองรับการต่อราคาอยู่แล้ว ห้าร้อยเป็นจำนวนที่เธอพอใจแต่แรก
“ขนม ตั้งห้าร้อยเลยนะมึง” (ขนม ตั้งห้าร้อยเลยนะมึง) ปลาส้มไม่เห็นด้วย เห็นได้ชัดว่ายายสอนคนนี้ตั้งราคานี้ไว้ในใจอยู่แล้ว
“ซ่างเถาะ ถือว่าฟาดเคราะห์” (ช่างเถอะ ถือว่าฟาดเคราะห์) กล่าวจบเธอก็ยื่นเงินให้ยายสอนจำนวนห้าร้อยตามที่เธอต้องการเพื่อจบปัญหา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนใช้เงินพ่อเธอคงเอาเงินจ่ายไปตั้งแต่ได้ยินคำว่าหนึ่งพันแล้ว แต่ตอนนี้เธอเป็นเพียงคนจนๆ คนหนึ่งเพราะฉะนั้นแม้แต่บาทสองบาทก็มีค่า
เมื่อได้รับเงินยายสอนก็พยักหน้าพึงพอใจก่อนจะบอกจ่าว่าขอกลับก่อน แต่ก่อนที่เธอจะกลับปลาส้มยังคงค้างคาใจไม่หาย…
“ยายสอนยามย่างตำหนามเจ้าคือสิบ่ต้องหาเข็มบ่งให้ยากเนาะ” (ยายสอนเวลาเดินเหยียบหนาม ยายคงจะไม่ต้องหาเข็มบ่งให้ลำบากเนอะ)
“เป็นหยังล่ะ” (ทำไมล่ะ?)
“เอาหัวเจ้าบ่งแทน แหลมคั้ก” (เอาหัวยายบ่งแทน แหลมเกิน) หลังจากพูดเสร็จยายสอนก็หันขวับมาทันที นึกโมโหเด็กน้อยในใจ
“กะไคแหน่กว่าหัวตู้ๆ แบบสูดอก ถืกป.4 แบบกูถือไพ่เหนือกว่า” (ก็ดีหน่อยกว่าหัวทู่ๆ แบบพวกแกหรอก ถูกป.4 แบบกูถือไพ่เหนือกว่า)
“อุ๊ย แรงมาก” ปลาส้มเอามือกุมอกราวกับใจจะสลาย
“อย่าไปย่างให้หนามตำเด้อสู เดี๋ยวบ่มีแนวบ่งสิหาว่ากูบ่เตือน” (อย่าไปหาเดินให้หนามตำนะพวกแก เดี๋ยวไม่มีที่บ่ง จะหาว่ากูไม่เตือน) พูดจบก็เดินจากไปอย่างผู้มีชัย ปลาส้มถึงกับจุกอกราวกับโดนเหยียบซ้ำแล้วให้รถมาช่วยเหยียบอีกครา
“เอาแล้ว วุฒิปริญญาตรีกูถืกสั่งสอนด้วยวุฒิป.4 แม่ใหญ่สอนแล้ว” (เอาแล้ว วุฒิปริญญาตรีกูถูกสั่งสอนด้วยวุฒิป.4 ยายสอนแล้ว)
“ไปขอค่าเทอมมหา’ลัยคืนซะมึง อยู่ดีบ่ว่าดีเด่ตีนหาเสี้ยน” (ไปขอค่าเทอมมหา’ลัยคืนซะมึง อยู่ดีไม่ว่าดี ยื่นเท้าหาเสี้ยน) ขนมส่ายหน้า
“มีอะไรกันเหรอจ่า” เสียงทุ้มน่าเกรงขามดังมาจากด้านหลังสักพักก็เห็นคนโผล่มาตามเสียง
ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีดำดูสบายๆ เดินสาวเท้ามายืนข้างจ่าน้อย ก่อนจะมองร่างเล็กชุดเอี๊ยมสีดำเสื้อสีขาวราวกันทั้งคู่ใส่ชุดคู่รักอะไรทำนองนั้น
ขนมที่มองโทนเสื้อผ้าตัวเองก็ตกใจเช่นกันก่อนจะนึกวิธีหาเงินคืนได้ ปากเล็กยกยิ้มมุมปากก่อนจะหันไปหาปลาส้มด้วยดวงตาแพรวพราว
“ปลาส้มกูพ้อคนหารแล้ว” (ปลาส้มกูเจอคนหารแล้ว)