Chapter 3 ชีวิตมันก็เทา ๆ แบบนี้แหละ
ปรับโหมดทำงานสู่เช้าวันจันทร์ที่วุ่นวาย ผู้คนที่รีบแข่งขันกันมาสู่ท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถนับแสน
แต่ไม่ใช่กับสายชิลอย่างโนริน เพราะเธอเป็นคนตื่นเช้ามาก เธอมักจะมาถึงที่ทำงานเป็นคนแรก ๆ ราว ๆ หกโมงกว่า เพราะถ้าเช้ามากกว่านี้โนรินก็น่าจะรับหน้าที่เป็นคนดูแลตึกแล้วล่ะ
ส่วนเหตุผลที่เธอมาทำงานแต่เช้าแบบนี้ ก็เพื่อตั้งใจมาให้ทันใส่บาตรพระที่ผ่านหน้าตึกที่เธอทำงานเท่านั้นเอง ที่สำคัญเธอถือคติที่โบราณว่าไว้
นกที่ฉลาดคือนกที่ตื่นเช้า เพราะจะได้กินหนอนดี ๆ ก่อนเพื่อน สำหรับโนรินมันหมายถึงการที่เราตื่นเช้าจะได้เจอเรื่องดีๆ ก่อนใคร โดยไม่ต้องไปแข่งขันกับคนอื่น
“ม๊ามี๊ ม๊ามี๊ ดูหนอนตัวนั้นสิคะตื่นมาก็โดนนกกินแต่เช้าเลย ถ้ามันเป็นหนอนที่ฉลาดควรเป็นหนอนที่ตื่นสาย เนอะมี๊เนอะ ต่อไปหนูจะไม่ตื่นเช้าแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะลูก ถ้าตื่นเช้าจะได้เจอเรื่องดี ๆ ก่อนใครต่างหากล่ะ”
“อ้าว แล้วหนอนที่ตื่นเช้าทำไมโดนกินก่อนใครละคะ ไม่เอาหนูไม่อยากตื่นเช้า หนูไม่อยากเป็นหนอน”
เสียงหนูน้อยเถียงกับแม่ จนโนรินหันขวับ
นั่นสินะ…มุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางคน…การตื่นเช้าคือเป็นเรื่องที่ดี
แต่สำหรับบางคน…การตื่นสายก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
เฮ้อ…กัมมุนา วัตตติ โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดีนะที่ตัวเองปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ เลยปลงได้กับเรื่องง่าย ๆ ในขณะที่หัวของโนรินนึกถึงเรื่องการใส่บาตร แต่ทว่าเมื่อเธอเดินผ่านแผงลอตเตอรี่สมองก็ประมวลถึงตัวเลขได้รวดเร็วเช่นกัน มันเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของโนริน
จำได้ว่าเมื่อวานที่เธอไปปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์เธอจำได้ว่าตัวเองลงทะเบียนเป็นลำดับที่ 99 งั้นงวดนี้ซื้อลอตเตอร์รี่่ 99 ก็แล้วกัน ตามมาสิบกว่างวดมันต้องออกสักงวดสิน่า
ชีวิตมันก็เทา ๆ แบบนี้แหละ ถ้าจะขาวสะอาดขนาดนั้นเธอก็คงต้องอยู่วัด
โนรินพนมล็อตเตอร์รี่ไว้ในมือแล้วหลับตาอธิษฐาน
สาธุ๊ ปังๆ สักงวดแหน่ ถ้าไม่ถูกหวยงวดนี้ขอผู้ชายดี ๆ สักคนก็พอ
“เอ้า ว่าไงหนูโนริน”
เสียงชายสูงวัยท่าทางใจดีอายุราวๆ 82 ปี ท่านดูแข็งแรงและชอบเดินออกกำลังกายและใส่บาตรด้วยกันเป็นประจำกับโนรินทักขึ้น
โนรินค่อย ๆ ลืมตา
-ยะ อย่าบอกนะว่าผู้ชายดี ๆ ที่เธอเพิ่งขอพรคือปู่คนนี้ ม่ายนะโนริน ม่ายยยย-
โนรินรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนรีบยกมือไหว้คุณปู่ตรงหน้าด้วยมือที่ยกมือไหว้ค้างอยู่แล้ว พลางยิ้มทักทายคุณปู่หน้าตาใจดี
“สวัสดีค่ะคุณปู่”
ที่โนรินไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คุณปู่ที่เธอคุยด้วยเป็นประจำทุกวันคือ ท่านประธานบุญพิทักษ์ ประธานใหญ่แห่งบริษัทบุญพิทักษ์ที่เธอทำงานอยู่ พื้นที่หลังตึกที่เธอทำงานมีขนาดยี่สิบไร่ มองจากจุดที่ยืนอยู่จะเห็นเป็นต้นไม้สูงนานาพรรณ และเป็นบ้านของท่านที่มักจะออกมาเดินเล่นอยู่บ่อย ๆ
ใครจะไปนึกว่าระดับประธานใหญ่จะออกมาเดินเล่นนอกรั้วบ้านของตัวเอง เพราะเนื้อที่ขนาดนั้นกว้างมากพอจนเดินได้ทั้งวันได้ยังเดินแทบไม่ทั่ว
ทุกเช้าท่านชอบออกมาเดินดูบริษัทของตัวเองด้วยความภูมิใจ จากเสื่อผืนหมอนใบตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนมีกิจการใหญ่โตได้ถึงทุกวันนี้ นักธุรกิจวัยชราย่อมถือว่าเป็นความภูมิใจสูงสุด แม้ตอนนี้กิจการส่วนใหญ่จะเป็นลูกชายวัย 56 ปีอย่างคุณบุญบวรดูแลทั้งหมดแทนแล้วก็ตาม
เหตุที่โนรินไม่รู้ว่าคุณปู่ที่เธอเจอบ่อย ๆ คือประธานใหญ่แห่งบุญพิทักษ์ เพราะรูปในบอร์ดคณะกรรมการบอร์ดบริหารที่เอามาติดในแผนผังเป็นรูปสมัยท่านหนุ่ม ๆ ตอนนั้นอายุในรูปของท่านแค่ห้าสิบผมยังดำสนิท โครงร่างสูงสมาร์ทหุ่นบึก แต่ทว่าคนเราพอแก่ตัวลงกระดูกก็เหมือนจะหดลงทำให้คุณปู่ที่เธอเจอในตอนนี้ดูตัวเล็กกว่าคนในรูปเยอะ
“หนูโนรินนี่ขยันจังมาทำงานเช้าเสมอเลยนะ”
“หนูแค่กลัวรถติดนะคะ อีกอย่างมาเช้า ๆ จะได้มีเวลาทำอะไรเยอะ ๆ ด้วย”
“เออดีๆ ดีแล้ว หายากนะ ที่วัยรุ่นสมัยนี่จะขยันแบบหนู แถมยังตื่นเช้ามาใส่บาตรก่อนเข้างานทุกวัน”
“แหะ แหะ หนูไม่รุ่นแล้วค่าคุณปู่ จวนจะสามสิบแล้ว” โนรินเขินตัวบิดเพราะไม่ว่าใครก็ชอบคิดว่าเธอยังเป็นละอ่อนอยู่
“โกหกคนแก่หรือเปล่า หรือเพราะฉันไม่เคยถามอายุหนูมาก่อนเลยนึกว่าเพิ่งเรียนจบ”
“หนูไม่โกหกแน่นอนค่ะ ไม่งั้นหนูจะผิดศีลข้อสี่ ว่าด้วย มุสาวาทาเวรมณี” โนรินยิ้มกว้าง
“ไม่น่าเชื่อนี่ปู่ยังนึกว่าหนูอายุไล่ๆ หลานชายปู่เลยนะ เสียดายถ้าอายุใกล้ ๆ กันจะจองตัวหนูให้เป็นหลานสะใภ้แล้ว”
“หล่อไหมคะ ถ้าหล่อหนูจอง” โนรินพูดติดล้อเล่นเพราะนึกว่าคุณปู่ตรงหน้าพูดเล่นด้วย
“ได้ ๆ ฉันจะจองหลานชายของฉันไว้ให้หนู”
บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความสนิทสนมและเป็นกันเองเพราะโนรินเจอท่านแทบทุกวัน เธอก็แค่นึกว่าท่านเป็นคนสูงอายุที่มีบ้านพักใกล้ ๆ กันแถวนั้นมาเดินออกกำลังกายและใส่บาตรด้วยกันเป็นประจำเท่านั้นเอง
หลังจากพระมาถึงได้ใส่บาตรกันสมใจ ทั้งโนรินและคุณปู่ก็พากันล่ำลาและแยกย้ายกันไป คุณปู่ท่านเดินไปอีกทาง ส่วนโนรินขอตัวขึ้นมาทำงานบนตึกอย่างอารมณ์ดี
ชีวิตของโนรินวนลูปไปจันทร์ถึงศุกร์อย่างเป็นปกติสุขในแบบฉบับของเธอ จวบจนถึงเย็นวันศุกร์
มะลิหรือแมร์รี่เพื่อนรักก็โทรมาทวงสัญญาตามนัด
มีหรือโนรินจะปฏิเสธเพราะเธอก็เริ่มเปรี้ยวปากอยู่เหมือนกัน
“สามทุ่มฉันไปรับที่คอนโดแกโอเคปะ” มะลิออกอาการดี้ด้าอย่างสดชื่นเมื่อจะได้เวลาดื่มกันตามนัด
“โอเค้ งั้นเจอกันที่ผับเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันเอารถไปเอง”
“โนริน!” อยู่ๆ มะลิก็เบรกน้ำเสียงดุ เล่นเอาโนรินตอบกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง
“จ๋า มีอะไร แกเรียกชื่อฉันทำไม”
“แกคงลืมเนาะ สภาพตัวเองเวลาเมาเป็นแบบไหน”
“แบบไหนเหรอ อืม…ก็น่ารักดีนะเหมือนฮันโซฮี”
โนรินตอบเหมือนใช้ความคิดกลั่นกรองมาดีแล้ว เพราะเธอชอบนึกว่าตัวเองหน้าตาเหมือนฮันโซอีซุปตาร์เกาหลีขวัญใจเธออีกคน
“เออเหมือน เหมือนจริงแหละ แกเหมือนตอนเมาแล้วนอนกลิ้งกลางถนน”
“เพื่อนรักทำไมร้ายยยยย”
“สรุป…สามทุ่มฉันไปรับ”
“ตามนั้นค่า”