ตอนที่ 10
เกร็ดแก้วสะดุ้งเฮือก ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เปล้า...เปล่าสักหน่อย ฉันจะคิดอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”
“แน่ใจ๋” ธราเทพยังแกล้งถามเสียงสูง คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่ค่อยเชื่อในคำพูดหญิงสาวสักเท่าไหร่ นี่คงคิดหาทางหนีจากเขาละซิ
“ทำไม ฉันจะคิดอะไรมันหนักส่วนไหนของนาย แล้วไอ้คำบ้าๆ เมียจ๋า คุณภรรเมียสุดที่รักอะไรของนายนะ เลิกเรียกได้แล้ว ได้ยินแล้วมันจั๊กจี๊หูและรำคาญด้วย ได้ยินไหมว่ารำคาญนะ”
เห็นหน้ายิ้มๆ แล้วเธออยากจะกางนิ้วทั้งสิบนิ้วฝากไว้บนใบหน้ายิ้มๆ นั่นจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะชอบอกชอบใจคำพูดเธอเสียมากกว่า
“ถ้าผัวจะไม่เรียกละคุณเมียสุดที่รักจ๋า” ธราเทพถามกลับน้ำเสียงรื่นเริง แล้วยังมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงและขยับยิกๆ เป็นคำถาม “ถ้าผัวไม่ทำตามความต้องการของคุณเมียสุดที่รักจะทำยังไงละ จะตบด้วยจูบบนแก้มสากๆ ของผัวนี่หรือไงจ๊ะ” ชายหนุ่มยกมือตบแก้มสากเบาๆ
“ใช่...ฉันจะมอบจูบอย่างที่นายต้องการ แต่ไม่ใช่จูบด้วยปาก เป็นจูบด้วยไอ้นี่ เอาไหม” เกร็ดแก้วตวาดเสียงเขียว มือเรียวชี้ไปที่เท้าตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่อยู่กับตาบ้านี่มา เธอไม่เคยสะกดอารมณ์ตัวเองได้สักครั้ง มีแต่พาลโมโหและเกรี้ยวกราดจนไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีริ้วรอยบนใบหน้าเท่าไหร่แล้ว จนเธอต้องยกมือขึ้นจับดู ก่อนจะหายใจอย่างโล่งในอกเมื่อพบว่ายังไม่มีรอยดังกล่าว
“โธ่...ดูซิครับแม่ เมียผมนี่ร้ายจริงๆ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เวลาที่สาวๆ พวกนั้นมา จะได้ไม่ต้องกลัวกันว่าจะสู้ไม่ได้ เอาเป็นว่าผมไม่เรียกเมียจ๋า หรือว่าคุณภรรเมียแล้วก็ได้ แต่...อ๊ะ...อ๊ะ...” ธราเทพยกนิ้วขึ้นส่ายเบาๆ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ ไม่อย่างนั้นผัวก็ไม่ทำตาม”
เกร็ดแก้วยกมือขึ้นกอดอก ทำปากขมุบขมิบอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อมองไม่เห็นหนทางใดที่ขัดความต้องการของเทพได้
“ก็ได้...” หญิงสาวตอบรับอย่างไม่เต็มใจ น้ำเสียงที่ออกมาจึงขุ่นเขียวและเซ็งในอารมณ์ “ฉันจะทำตามข้อเสนอของนายก็ได้ แต่ว่านะ ไอ้ข้อเสนอของนายมันก็ต้องไม่เกินความสามารถของฉันด้วย”
“อันนั้นมันชัวร์อยู่แล้ว” สายตาคมเป็นคำถามตวัดมองไปยังร่างหลานสาวที่เดินมานั่งเคียงข้างคนเป็นย่า
“ว่าไงลูกปัด ไหนล่ะน้าฉวีนะ”
“น้าฉวีบอกว่าขอเวลาเดี๋ยวจ๊ะลุง เดี๋ยวจะรีบออกมา”
“อือ...” ธราเทพทุยผงกศีรษะรับรู้ แล้วหันไปทางเกร็ดแก้วที่นั่งกอดอก ทำหน้าเชิดสูงอย่างไม่กลัวคอจะหัก “สำหรับคุณ ผมก็ไม่ขออะไรมากหรอก เพียงแค่ให้อยู่ที่บ้านนี้ไปก่อน ไม่คิดหนี แค่นี้เองคุณทำให้ผมได้ไหมล่ะไพลิน ถ้าได้ ไอ้ที่คุณขอ ผมก็ตกลง ว่าไง?”
เกร็ดแก้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะมองไปทั่วบ้านหลังใหญ่อีกครั้ง ให้อยู่ที่บ้านหลังนี้โดยไม่หนีนะหรือ ไม่มีทาง บ้านโกโรโกโสไม่เหมาะกับลูกคุณหนูร่ำรวยอย่างเธอสักนิด ใครรู้เข้าเสียชื่อหมดสิ แต่ถ้าไม่ทำก็ต้องทนฟังไอ้บ้านี่เรียกเมียจ๊ะเมียจ๋าอะไรก็ไม่รู้อีกนะซิ แล้วจะเอาไงดี ยอมตกลงไปก่อนดีกว่าไหม แล้วค่อยหาทางหนี ใช่...วิธีนี้ดีที่สุดในตอนนี้ ไว้สมองปลอดโปร่งกว่านี้ก็ค่อยคิดหาทางหนีอีกครั้ง
เกร็ดแก้วพยัก “ได้...ฉันรับปากนายก็ได้ เฉพาะตอนนี้นะที่ยังไม่คิดหนี แต่อย่าเผลอละกัน เผลอเมื่อไหร่ฉันหนีเมื่อนั้น”
“อ้าว...อย่างนี้มันเหมือนไม่ใช่การทำสัญญากันนี่น่า ถ้าอย่างนั้นผมก็...”
เกร็ดแก้วยิ้มเยาะ ยกนิ้วขึ้นส่ายตรงหน้าเทพ “เสียใจด้วยนะยะ นายรับปากแล้วห้ามคืนคำ เห็นไหม...” หญิงสาวชี้มือไปยังหญิงอีกสองคนที่นั่งมองอย่างงุนงง “มีพยานรู้เห็นตั้งหลายคน แม่นาย หลานสาวด้วย หรือนายจะกลับคำพูด อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กเห็น” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า
“ก็ได้ ผมก็จะยอมแพ้ แค่ในตอนนี้เท่านั้นนะคุณ ถ้าคุณผิดคำพูดที่ให้ไว้เมื่อไหร่ละก็...เรื่องยาวแน่” ชายหนุ่มคาดโทษเสียงเข้ม ถ้าเป็นคนอื่นๆ ที่รู้นิสัยชายหนุ่มดี พูดคำไหนเป็นคำนั้นคงจะกลัวจนหัวหด แต่เกร็ดแก้วเพียงแค่นั่งยิ้มหน้าตาเฉยและยังยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่ระเสียอีก
“เอาละ ทีนี้ก็มาพูดกันเรื่องอื่นต่อ เรื่องที่นายลักพาตัวฉันมาจากบ้าน เพราะเหตุผลอะไร และนายต้องการอะไรกันแน่” หญิงสาวถามเสียงแหลมเล็ก
“หือ...” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง อีกทั้งในดวงตาก็มีเครื่องหมายคำถาม “อีกแล้ว คุยกันทีไรก็วกกลับมาเรื่องนี้ทุกที ผมบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วไพลิน บอกจนปากจะฉีกถึงใบหูแล้วนะ คุณไม่ใช่ยายเกร็ดแก้ว กันติวัจน์ ลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น เหยียบขี้ไก่ก็ไม่ฝ่อ ดีแต่เชิดหน้าขอเงินพ่อใช้ไปวันๆ คนนั้น” ธราเทพยังคงยืนกรานคำพูดเดิม
“ไม่เอาละ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ว่าแต่ทำไมป่านนี้แล้วฉวียังไม่ยอมออกมาจากห้องเสียที นี่มันสายแล้วนะ จะนอนกินบ้านกินเมืองเลยหรือไง”
“จะบ่นอะไรนักหนาพี่กำนัน” สาวน้อยร่างโปร่งเดินออกจากห้องมาทั้งที่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิง “ยังไม่ทันแก่เลย บ่นอย่างกับหลวงพ่อที่วัดแนะ หรือจะเปลี่ยนจากกำนันเป็นพระแล้ว บวชเมื่อไหร่หนูคงสบายหูขึ้นเยอะ”
พรฉวียกมือขึ้นปิดปาก กลั้นอาการหาวหวอดๆ อย่างเสียอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะนังลูกปัดบอกว่าพี่ชายเรียกคุยธุระละก็ เธอไม่ยอมตื่นมาเด็ดขาด เสียเวลานอนชะมัด เดี๋ยวผิวผ่องๆ ก็เสียหมด ใบหน้าที่พอกกับครีมราคาแพงก็จะมีริ้วรอยขึ้น อีกอย่างเพราะยังเกรงใจพี่ชายที่เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ไม่อย่างนั้น นังพรฉวีคนนี้ไม่สนใจหรอก
“ขอยืมเสื้อผ้าสักชุดสองชุดสิฉวี”
“ห๊า...อะไรนะพี่กำนัน ขอยืมเสื้อผ้า จะเอาไปไหน จะเอาไปให้ใคร ไม่ให้หรอก เสื้อผ้าของหนูราคาไม่ใช่จะถูกๆ กว่าจะหาซื้อได้มาแต่ละตัวหนูต้องเข้าไปซื้อถึงในเมือง ไม่อยากฝากเพื่อนซื้อจากกรุงเทพฯ เรื่องอะไรจะให้กันง่ายๆ ละ” พรฉวีบอกปัดพร้อมทั้งยกเหตุผลต่างๆ นานามาอ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะงกนั่นเอง
เกร็ดแก้วเบะหน้าให้ใส่ เสื้อผ้าเฉิ่มๆ เชยๆ รูปทรงก็เหมือนกับหุ่นกระบอก แถมยังเอาผ้าสีแตกต่างกันสุดขั้วมาไว้ในชุดเดียวกัน บ้างสีก็แดงจัดเหมือนเลือด บ้างสีก็เหมือนกับผ้าเช็ดเท้าที่บ้านอย่างนั้น สู้ใส่เสื้อตัวหลวมโคร่งของอีตากำนันเทพนี่ยังจะดีกว่าอีก
“ไม่ต้องหรอกนาย ฉันใส่เสื้อผ้าของนายไปก่อนก็ได้”
เสียงใสแจ๋วที่ดังอยู่ใกล้พี่ชายเรียกความสนใจให้พรฉวีต้องรีบหันหน้าไปมองในทันที แล้วดวงตาเล็กหยีก็เบิกกว้าง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้ากว้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปทำรัง แม้จะอยู่ในเสื้อผ้าบ้านๆ ของพี่ชายที่เป็นเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีตุ่นๆ แต่ก็ปกปิดความสวยงามของหญิงสาวคนนี้ไว้ไม่ได้เลย ก่อเกิดความอิจฉาในผิวพรรณผ่องใส ใบหน้านวลรูปไข่ ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้สันรับกับริมฝีปากเล็กรูปกระจับ อีกทั้งผมที่ยาวสลวยหนานุ่มเสียดายอย่างเดียวว่าผมนั้นไม่ได้เป็นสีดำ ไม่เช่นนั้นพวกแมวมองที่มาพาเธอเข้าประกวดนางงามคงจะต้องกราบกรานอ้อนวอนให้แม่สาวคนนี้เข้าประกวดแทนเธอแน่
“คะ...ใครน่ะพี่กำนัน” พรฉวีถามด้วยความอยากรู้
“เมียพี่เอง ไหว้เสียซิฉวี”