เมื่อลัดดากับครอบครัวรู้ว่า เด็กที่เกิดมาเป็นผู้หญิง ทุกคนจึงพากันเกลียดชัง ไม่เว้นแม้แต่บิดามารดาเด็กน้อย ที่แทบไม่ใส่ใจดูแล ทั้งที่เป็นหลานคนแรกของตระกูล กุลธิรัตน์เลยถูกเมินเฉย ถูกทอดทิ้งให้คนรับใช้เก่าแก่เป็นผู้ดูแล และไม่ให้ออกนอกหน้า หรือบอกใครต่อใครว่าเป็นทายาท น้อยคนนักจึงรู้เรื่องนี้ ต่างกับชนินทร์และคีรยา น้องชายและน้องสาว กุลธิรัตน์ ที่ได้รับการเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างดี ราวกับเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิง
ลัดดาหาทางให้กุลธิรัตน์ออกจากบ้านมาช้านาน ทั้งให้อยู่โรงเรียนประจำของรัฐบาล ไม่ใช่โรงเรียนที่มีชื่อเสียง แต่เป็นสถานสงเคราะห์ ส่วนใหญ่เด็กมาจากครอบครัวยากจน เด็กกำพร้า และมาจากดอยสูง ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้กลับบ้านแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น อาจพูดได้ว่า ทอดทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่สนใจใยดี ความรัก ความอบอุ่นอย่าหวังว่าจะได้
หลังจบชั้นมัธยมปลาย กุลธิรัตน์กลับมาอยู่บ้านลัดดา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นลูกคุณหนูอยู่อย่างสุขสบาย หล่อนเปรียบเสมือนคนรับใช้คนหนึ่งของบ้าน ทำงานแลกข้าว แลกที่อยู่ที่กิน ห้องนอนของหล่อนอยู่เรือนคนใช้ทางด้านหลังบ้าน ทั้งที่ในบ้านมีห้องว่างหนึ่งห้อง กุลธิรัตน์ขอเรียนต่อ ซึ่งหล่อนบอกลัดดาว่า จะหาเงินส่งตัวเองเรียน ลัดดาจึงไม่ขัดข้อง
ตั้งแต่กุลธิรัตน์กลับมาอยู่บ้านลัดดา ก็เกิดเรื่องราวหลายอย่าง ส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ไม่ดี ลัดดาโทษกุลธิรัตน์ หาว่าเป็นตัวซวย ตัวถ่วงความเจริญ ทุบตีหลานแสนชังคนนี้เสมอ ทั้งที่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากกุลธิรัตน์เลย แต่มาจากหลานชายสุดที่รักก่อขึ้นมาทั้งสิ้น ลัดดาปิดหูปิดตา ปิดใจไม่ยอมรับ กลับโยนความผิดให้หลานสาวคนโตคนเดียว ที่ทนกล้ำกลืนด้วยใจเจ็บช้ำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
โอกาสที่ลัดดารอคอยมาถึง ในวันที่ธุรกิจครอบครัวกำลังล้ม จากน้ำมือของชนินทร์ที่บริหารงานไม่เป็น และ โลภมาก นำเงินไปลงทุนอย่างอื่น ห้ามก็ไม่ฟัง ค้านก็ไม่ได้ สุดท้ายคนหาเงินคือลัดดา ที่แบกหน้าไปยืมเพื่อนอย่าง เดือนดาว
ข้อแลกเปลี่ยนจึงเกิดขึ้น อีกคนหนึ่งอยากได้เหลน และหมายตาคีรยา หลานสาวคนเล็กของลัดดามาเป็นหลานสะใภ้ อีกคนอยากได้เงินและมีแผนกำจัดกุลธิรัตน์ให้ออกไปจากชีวิต เมื่อทั้งสองตกลงกันได้ ลัดดาหัวหมอขอเงินก่อน ซึ่ง เดือนดาวไม่ขัดข้องเพราะไว้ใจและเชื่อใจตามประสาเพื่อน แต่วันที่ส่งตัวคีรยา คนมาอยู่บ้านเดือนดาวและเป็นหลานสะใภ้ของนางคือ กุลธิรัตน์
เดิมทีเดือนดาวคิดจัดงานแต่งงานระหว่างธรรม์บดีกับคีรยา เป็นการเปิดตัวคีรยาในฐานะหลานสะใภ้อย่างเป็นทางการ แต่เมื่อถูกเปลี่ยนตัว ความคิดนี้ถูกกลบ กลายเป็นว่า กุลธิรัตน์คือเมียธรรม์บดีที่ไม่มีใครรู้
นอกจากเดือนดาวไม่ชอบหน้ากุลธิรัตน์ ที่มีความสวยน้อยกว่าคีรยามากแล้วนั้น นางยังเคืองใจที่ลัดดาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับตน ทั้งที่นางให้ใจเต็มที่ ความไม่พอใจจึงถูกส่งมาให้กุลธิรัตน์ ตั้งแต่แรกเห็น ความรู้สึกนี้คนในบ้านหิรัญภักดีมอบให้หล่อนเช่นกัน โดยเฉพาะธรรม์บดี
ธรรม์บดีพอใจรูปร่างหน้าตาคีรยาเป็นทุนเดิม ไม่เช่นนั้นคงไม่ตกปากรับคำเดือนดาวว่าจะแต่งงานกับคีรยา คิดว่าฝ่ายตนไม่มีอะไรเสียหาย เพราะเดือนดาวได้ที่ดินผืนหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตอีกหนึ่งผืน หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกรากันไป ครั้นเห็นหน้ากุลธิรัตน์ เรื่องที่คิดไว้ก็พังลง เหมือนถูกหลอกลวง ความพอใจก่อนหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเกลียดชัง ตั้งแง่กับหล่อนนับแต่นั้น ไม่เคยพูดจาหรือทำดีกับหล่อนเลยสักครั้ง
กุลธิรัตน์ฝันสลาย ว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลบหลีกความเกลียดชังจากครอบครัวหนึ่ง ทว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น บ้านหลังนี้หนักกว่ามาก
หล่อนหนีเสือปะจระเข้...
“ถ้าลูกหมีท้องเมื่อไหร่ พอคลอดก็ให้ออกจากบ้านไป”
ชัชวาลพูดกับลูกชายที่นั่งเงียบ
ธรรม์บดีไม่เอ่ยปากบอกครอบครัวให้รู้ได้ว่า เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับกุลธิรัตน์เลยสักครั้ง คำว่าตั้งครรภ์จึงไม่เกิดขึ้นเสียที
“แกก็ขยันทำลูกให้มากกว่านี้ มันจะได้ท้องเร็วๆ เราจะได้ไม่เสียเปรียบไปมากกว่านี้ เสียเงินให้ลัดดาไปตั้งสามสิบล้าน ยังต้องเสียเงินเลี้ยงดูมันอีก มีแต่เสียกับเสีย” เดือนดาวพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ความดันพาลจะขึ้น
“เอาเป็นว่า ผมจะทำให้ลูกหมา เอ๊ย! ลูกหมีท้องเร็วๆ ล่ะกันนะครับ จะได้จบเรื่องไป หล่อนจะได้ไม่ต้องอยู่บ้านนี้ให้เกะกะตาด้วย เห็นแล้วหงุดหงิด” ธรรม์บดีไม่ออมคำพูด หลุดปากเรียกภรรยาที่ไม่ต้องการ และไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้ นอกจากสามเพื่อนสนิทที่มักดื่มเหล้าปรับทุกข์เรื่องกุลธิรัตน์ให้ฟังเสมอ “ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ประโยคนี้ทำให้คนที่ยืนอยู่ใกล้กับประตูห้องกินข้าวนิ่งงัน กุลธิรัตน์ไม่ตั้งใจยืนฟัง หล่อนปวดท้องเบาตั้งใจเดินเข้ามาในบ้านเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่พอมาถึงหน้าห้อง ประโยคนี้ดังลอดออกมา หล่อนได้ยินเต็มสองหู รีบปาดน้ำตาแห่งความชอกช้ำที่ไม่หมดไปจากใจทิ้ง หมุนตัวเดินแกมวิ่งออกไปหน้าประตูบ้าน ก่อนธรรม์บดีจะออกมาเห็นว่า หล่อนยืนอยู่ตรงนั้น และได้ยินคำพูดเขาทุกคำ
ธรรม์บดีมองรองเท้าที่วางเรียงหน้าประตู เขาสวมรองเท้าคู่ซ้ายมือสุด ก้าวเท้าเดินไปยังโรงจอดรถ เพื่อขับรถออกจากบ้าน อีกไม่กี่ก้าวจะถึงรถหรู สีหน้าเขาบึ้งตึงทันทีเมื่อเห็นกุลธิรัตน์ยืนอยู่ข้างรถ
“คุณอิฐไม่ได้กินมื้อเช้า ลูกหมีกลัวว่าคุณอิฐจะหิว เลยทำแซนวิชให้ค่ะ” กุลธิรัตน์ส่งถุงใส่ของว่างให้สามีที่หลุบตามองแวบหนึ่ง มือใหญ่กระชากถุงจากมือหล่อนแรงมาก
“สาระแนนัก ยัยลูกหมา” ธรรม์บดีหมุนตัวเปิดประตูรถ เขาโยนถุงในมือไปตรงเบาะด้านข้างคนขับ สอดตัวเข้าไปนั่งประจำที่ จากนั้นเขาขับรถออกจากบ้านทันที
กุลธิรัตน์มองรถยนต์ธรรม์บดีด้วยสายตาเศร้าสร้อย น้ำตาซึม ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าสามี สถานะที่คนในบ้านคิดว่าใช่ ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น ธรรม์บดีไม่เคยแตะต้องตัวหล่อนเลย ต่างคนต่างนอนหันหลังให้กัน ราวกับว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพูดจากับหล่อนดีๆ มีแต่เสียงเขียวใส่ ปั้นหน้าเรียบตึง ไม่พอใจให้ตลอดเวลา กุลธิรัตน์รู้เหตุผล รู้ว่าไม่มีใครต้องการตน ทว่าหล่อนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมเพื่อผู้มีพระคุณ