“ไม่เหมือนพี่ตรงไหนหรอครับ”
“ก็พี่ไม่เห็นทำหน้า…อ๊ะ!”
โมนาร้องตกใจทันทีเพราะเธอกำลังจะหันหน้าไปพูดกับเอสแต่ไม่รู้ว่าเขานั้นมายืนซ้อนหลังเธอตั้งแต่ตอนไหน แถมยังโน้มหน้ามาใกล้เธอทำให้จังหวะที่เธอหันไปแก้มของเธอก็ไปชนเข้ากับจมูกเขาเต็มๆ
“งืออ ไอ้พี่บ้า มาหอมแก้มหนูทำไม”
โมนาผลักเอสออกแล้วแว๊ดเสียงใส่เอสด้วยความโกรธ แก้มขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาหอมแก้มเธอแบบนี้ ทำเอาเอสถึงกับยิ้มกว้างพอใจ ตอนแรกเขาก็แค่จะโน้มหน้าไปใกล้เพราะอยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไรแต่ไม่คิดว่าเธอจะหันมาจนแก้มเธอไปโดนปากเขา ถึงจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ทำให้เอสนั้นมีความสุขไม่น้อย
“พี่ไม่ได้หอมแก้มหนูสักหน่อย หนูนั่นล่ะเป็นคนเอาแก้มมาชนปากพี่เองนะครับ”
เอสพูดขึ้นพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้ทำจริงๆ ทำเอาโมนาถึงกับทำหน้าเลิ่กลักเพราะเธอทำแบบที่เขาพูดจริงๆ
“หนูไม่คุยกับพี่แล้ว”
โมนาพูดขึ้นแล้วเดินหนีเอสไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ทำเอาเอสได้แต่กระตุกยิ้มเอ็นดูกับท่าทางโมโหของเธอ มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิดแต่กลับน่ารักซะมากกว่า
“โคตรน่ารัก วันนี้จะปล่อยให้ไปเตรียมตัวก่อนหนึ่งวันนะครับ เพราะพรุ่งนี้ไปพี่จะเดินหน้าจีบแบบเต็มกำลังล่ะน่ะ”
เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่มองโมนากำลังเดินไปหาแพรวาที่วิ่งไปทางหลังตึกคณะ แต่ก็ต้องละสายตาจากคนตัวเล็กเมื่อเสียงโทรศัพท์เขาดังขึ้น เอสจึงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมาก็เห็นเป็นเบอร์มาร์เวลโทรมาเขาจึงกดรับสายทันที
“ว่าไงน้องชาย”
(สวัสดีครับพี่เอส พี่ว่างอยู่มั้ยครับ ผมโทรมากวนพี่รึเปล่า)
“ไม่ว่าง กำลังจีบสาวอยู่”
เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ เพราะอยากแกล้งมาร์เวล
(เอ้า! พี่มีคนที่ชอบแล้วหรอครับ)
“อืม มีแล้ว สวยด้วย”
(เสียดายจัง)
“เสียดายอะไรหรอ”
(ก็ผมอุตส่าห์จะแนะนำพี่สาวให้พี่รู้จักสักหน่อยเผื่อพี่จะชอบ แต่ดันช้าไปซะงั้น)
“หึ เสียใจด้วยนะไอ้น้องที่อดได้พี่เป็นพี่เขย ฮ่าๆ ว่าแต่โทรมามีอะไรหรอ จะให้พี่ไปฝึกต่อสู้ให้รึไง”
เอสเปลี่ยนเรื่องแล้วเอ่ยถามมาร์เวลทันที
(เปล่าครับ พอดีผมเล่าเรื่องที่โดนไถเงินให้พ่อกับแม่ฟังตามที่พี่แนะนำแล้วนะครับ)
มาร์เวลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดชื่นเพราะเอสเคยบอกให้มาร์เวลบอกให้พ่อแม่รับรู้เพื่อให้ท่านได้ช่วยแก้ปัญหาซึ่งมาร์เวลก็ยอมทำตามที่เอสบอกอย่างว่าง่าย
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
(ตอนแรกพ่อกับแม่ก็โกรธนิดหน่อยครับที่ผมปิดบังท่าน แต่ก็ได้รับคำชมที่ยังเปลี่ยนใจมาบอก พ่อก็เลยถามว่าเรื่องเป็นมายังไงผมเลยเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังพร้อมกับเล่าเรื่องที่พี่ช่วยผมไว้ด้วย พ่อเลยอยากชวนพี่มากินข้าวที่บ้านเพื่อขอบคุณพี่ครับ เย็นนี้พี่ว่างมั้ยครับมากินข้าวเย็นด้วยกันได้มั้ยครับ)
เอสยืนเงียบสักพักเพื่อใช้ความคิดเพราะนอกจากบ้านอคินเขาก็ไม่เคยไปกินข้าวบ้านใครเลย
(พี่เอสครับ พี่ไม่ว่างหรอครับ)
“ว่าง งั้นเย็นนี้ขอฝากท้องสักมื้อแล้วกันนะ ส่งโลเคชั่นบ้านนายมาให้พี่ด้วย ปกติกินข้าวกันกี่โมงหรอพี่จะได้ไปถูก”
(ปกติก็หกโมงกว่าเกือบหนึ่งทุ่มครับ ‘มาร์เวลถามพี่เค้าหน่อยลูกว่าแพ้อาหารอะไรมั้ยแม่จะได้เตรียมให้ถูก’ ครับแม่)
เอสถึงกับชะงักนิ่งเมื่อได้ยินเสียงแม่ของมาร์เวลพูดแทรกขึ้นมาแถมยังถามเรื่องการกินของเขาจนเอสนั้นรู้สึกคิดถึงแม่ตัวเองขึ้นมาทันที แต่ก็กลับมามีสติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพูดของมาร์เวล
(พี่เอสครับ แม่ให้ถามว่าพี่แพ้อาหารอะไรรึเปล่าครับ)
“พี่กินได้หมด ไม่แพ้อะไรหรอก”
(ดีเลย แม่กับพี่สาวผมทำอาหารอร่อยมากเลยพี่ได้กินต้องติดใจแน่ๆ รีบๆ มานะครับ)
“หึ โอเค เดี๋ยวจะรีบไปเลย เจอกันไอ้น้อง”
(ครับ)
เมื่อคุยกันเสร็จเอสก็วางสายทันที สายตาที่ยิ้มแย้มในตอนแรกเปลี่ยนมาเศร้าลงเมื่อดันคิดถึงแม่ตัวเองแต่ก็แป๊บเดียวเพราะเขาไม่อยากให้ใครมาเห็นตัวเองตอนเศร้าแบบนี้ เมื่อเห็นอคินกลับแล้วเอสก็ตัดสินใจกลับคอนโดตัวเองเหมือนกัน ทางด้านโมนาที่เดินหนีเอสมาแล้วก็รีบตามแพรวามายังหลังตึกคณะคิดว่าเพื่อนจะแอบไปร้องไห้เพราะเห็นอคินทำสีหน้าเหมือนกำลังดุแพรวาเธอจึงตามมาดูเพราะเป็นห่วงแต่เธอดันคิดผิดเพราะแพรวาไม่ได้วิ่งมาร้องไห้แต่กลับร้องกรี๊ดด้วยท่าทางดีใจซะงั้น
“โอ๊ย! ยัยแพร วิ่งมาฉันก็นึกว่าจะมาร้องไห้ ตกใจหมด”
โมนาพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“ฉันดีใจอะแก นี่ฉันใช้แต้มบุญหมดยังเนี่ย ขอให้ได้พี่เค้าเป็นพี่รหัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จัดให้ตามคำขอเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขาถ้าแต้มบุญหนูยังไม่หมดได้โปรดขอให้พี่อคินโสดด้วยเถอะนะคะ”
แพรวาพูดขึ้นพร้อมกับพนมมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนโมนาได้แต่ส่ายหน้ายอมกับการกระทำของเพื่อนตัวเอง
“เป็นหนักนะแกเนี่ย กลับกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันรถเมล์”
“อือ เอ๊ะ! ทำไมแกหน้าแดงยัยโม ไปโดนอะไรมา”
โมนารีบจับแก้มตัวเองด้วยความตกใจเมื่อได้ยินแพรวาถาม
“มะ…ไม่ได้โดนอะไรนิ สงสัยอากาศคงจะร้อนเกินไป”
โมนาตอบแพรวาด้วยน้ำเสียงกุกๆ กักๆ เพราะไม่อยากให้แพรวารู้สาเหตุมาจากอะไร
“แกมีพิรุธนะยัยโม”
แพรวาพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาจับผิดโมนาเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเลิ่กลักใส่
“อะไร ฉันก็ปกติ กลับได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันรถ”
โมนารีบเปลี่ยนเรื่องพูดแล้วกอดคอแพรวาเดินไปรอขึ้นรถเมล์ทันทีแพรวาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์หน้ามหาลัยแล้วโมนาและแพรวาก็ขึ้นรถเมล์กลับทันทีแต่ขึ้นคนละคันเพราะบ้านของโมนาและคอนโดของแพรวาอยู่คนละทางกัน
‘เลิกคิดได้แล้วยัยโม แกจะมาคิดถึงตอนเค้าหอมแก้มทำไมเนี่ย’
โมนาได้แต่คิดในใจพร้อมกับสะบัดหน้าเพื่อสลัดความคิดทิ้งขณะที่นั่งรถเมล์กลับบ้านเพราะตลอดทางทำเอาเธอไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิดเพราะในหัวเธอดันมีแต่ตอนที่เอสนั้นหอมแก้มเธออยู่ตลอดเวลา จนมาถึงบ้านโมนาจึงเลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้วเดินไปหาแม่ที่ห้องครัวทันที
“กลับมาแล้วค่ะแม่ เอ้า! อยู่กันครบเลยหรอคะ มีอะไรพิเศษหรอคะทำไมเตรียมวัตถุดิบทำอาหารเยอะจัง”
โมนาเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย เพราะวันนี้ในครัวไม่ได้มีแค่แม่เธอคนเดียวเหมือนทุกวันแต่กลับมีพ่อกำลังหั่นเนื้อหมูกับน้องชายของเธอที่กำลังล้างผักอยู่ด้วย
“วันนี้จะมีแขกคนสำคัญมาที่บ้านเราจ้ะลูก”
ขวัญใจแม่ของโมนาตอบกลับลูกสาวด้วยรอยยิ้ม
“ใครหรอคะ”
โมนาถามกลับด้วยความสงสัย
“เค้าเป็นคนที่ช่วยมาร์เวลไว้ลูก…”
มนตรีพ่อของโมนาตอบลูกสาวขึ้นพร้อมกับเล่าเรื่องทุกอย่างให้โมนาฟัง
“ไม่คิดเลยว่าแกจะเจอเรื่องแบบนี้ กอดๆ น๊าไอ้เด็กน้อยของพี่”
โมนาเดินไปกอดมาร์เวลทันทีเมื่อรู้ว่าน้องชายตัวเองเจออะไรมาส่วนมาร์เวลก็กอดตอบพี่สาวอย่างอบอุ่นเพราะเวลาที่มาร์เวลเศร้าหรือเสียใจ โมนามักจะเข้ามากอดปลอบเขาอยู่เสมอ สองพี่น้องกอดกันสักพักโมนาก็ผละกอดออก
“งั้นวันนี้พี่ทำเมนูพิเศษให้ผู้มีพระคุณของเราได้ชิมดีกว่า เค้าแพ้อะไรรึเปล่ามาร์เวล”
โมนาหันไปถามมาร์เวลทันทีก่อนจะเริ่มทำข้าวซอยอาหารเหนือที่เธอชอบกินและทำได้อร่อยไม่ต่างจากคนเหนือทำเลย
“ไม่ครับ พี่เค้าบอกว่ากินได้ทุกอย่างเลย”
“ดีเลย มีแขกมาทั้งทีต้องจัดเต็มค่า”
โมนาพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่จากนั้นก็เข้าไปทำอาหารกับครอบครัวตัวเองอย่างสนุกสนานครึกครื้นกว่าปกติเพราะได้ทำอาหารด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วโมนาก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนพ่อกับแม่และมาร์เวลจึงช่วยกันจัดโต๊ะอาหารสักพักก็ได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน
“พี่เอสคงมาแล้วครับ งั้นผมออกไปเปิดประตูบ้านให้พี่เค้าก่อนนะครับ”
พูดจบมาร์เวลก็วิ่งไปหน้าบ้านด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าเอสมาถึงแล้ว ทางด้านเอสเมื่อมาถึงบ้านมาร์เวลตามโลเคชั่นที่ส่งมาก็จอดรถแล้วเดินลงมากดกริ่งหน้าบ้าน สักพักก็เห็นมาร์เวลวิ่งออกมาด้วยความดีใจทำเอาเอสถึงกับยิ้มตามไปด้วย
“สวัสดีครับพี่เอส”
มาร์เวลยกมือไหว้เอสทันทีเมื่อเดินมาถึงแล้ว
“หวัดดีน้องชาย”
เอสทักทายมาร์เวลกลับด้วยรอยยิ้ม
“พี่เอารถเข้ามาจอดในบ้านเลยครับ เดี๋ยวผมเปิดประตูให้”
เอสพยักหน้าตอบมาร์เวลแล้วเดินไปขึ้นรถทันทีเมื่อมาร์เวลเปิดประตูบ้านแล้วเอสก็ขับเข้ามาจอดจากนั้นก็ลงรถเดินตามมาร์เวลเข้าไปในบ้านก็เห็นพ่อกับแม่ของมาร์เวลกำลังจัดอาหารบนโต๊ะอยู่ทำเอาเอสรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะอาหารบนโต๊ะนั้นเยอะจริงๆ
“มาแล้วหรอลูก”
เอสละความสนใจจากอาหารแล้วมองหน้าขวัญใจทันทีเมื่อท่านพูดขึ้น
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”
เอสยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทางนอบน้อมทำเอามนตรีและขวัญใจถึงกับยิ้มขึ้นเพราะรู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มตรงหน้า
“สวัสดีลูก อย่าเรียกลุงกับป้าเลยมันดูห่างเหิน เรียกพ่อกับแม่ดีกว่า มาร์เวลบอกว่านับถือเราเหมือนพี่ชายแสดงว่าเราก็เป็นลูกพ่อกับแม่เหมือนกันเนาะแม่”
มนตรีพูดกับเอสด้วยรอยยิ้มทำเอาเอสถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่อ่อนโยนและดูอบอุ่นจากผู้ที่ให้เขาเรียกว่าพ่อครั้งแรกแบบนี้
“ใช่ๆ พ่อ เรียกพ่อกับแม่เถอะลูก แต่ถ้าลำบากใจที่จะเรียกก็ไม่เป็นไรจ้ะ”
ขวัญใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นเอสยืนนิ่งไม่พูดอะไร
“ไม่เลยครับ คือผมไม่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่จะเอ็นดูผมขนาดนี้ ขอบคุณนะครับที่ชวนผมมากินข้าวเย็นด้วย”
เอสพูดขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณอย่างสุภาพ
“พ่อกับแม่ต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณเอส ถ้าเอสไม่ช่วยมาร์เวลก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นยังไง มาๆ กินข้าวเย็นกันดีกว่า มาร์เวลไปเรียกพี่สาวเรามากินข้าวไปลูก”
มนตรีพูดขึ้นแล้วเดินไปกอดคอเอสให้มาที่โต๊ะกินข้าวจากนั้นก็บอกลูกชายไปตามลูกสาวอีกคน มาร์เวลจึงพยักหน้าแล้วตั้งท่าจะเดินขึ้นบ้านไปเรียกโมนาแต่ก็ต้องหยุดเพราะโมนาเดินลงมาก่อน
“ผู้มีพระคุณมาแล้วหรอคะ”
โมนาตะโกนถามขึ้นขณะเดินลงมาจากบันไดจนมาหยุดที่โต๊ะอาหาร
“พี่เอส!/น้องโมนา!”