1

2273 Words
“ทำไหวแน่นะ ร้านปิดตีหนึ่งก็จริง แต่กว่าจะเก็บของเก็บอะไรก็ราวๆ ตีสามถึงจะเสร็จ ได้ข่าวว่ายังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ” “ไหวค่ะ หนูทำไหว” “ถ้าไหวจะให้ทำวันนี้เลยนะ” “ได้ค่ะ” หญิงสาวในชุดนักศึกษาตอบรับอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของ ‘ซ้อเสียง’ เจ้าของร้านอาหารกึ่งผับมองมาด้วยสายตาประเมิน แบบนี้แล้ว ไม่น่าจะทำงานอยู่ในร้านของนางได้นาน ไม่ใช่ดูถูกแต่อย่างใด แต่เห็นมานักต่อนักแล้ว รูปร่างอวบอัดมีทรวดทรงทั้งยังใหญ่โตเกินตัวดูล่อหูล่อตาเสือสิงห์กระทิงแรดยามราตรีเหลือเกิน แถมใบหน้าก็สวยใช้ได้ทีเดียว แม้แววตาจะเศร้าไปนิดก็ตาม แค่ขัดเกลาเบาๆ ไม่ใช่แค่เด็กหลังร้านหรอก เผลอๆ เอามารับแขกข้างหน้านี่ก็ยังได้ อีกทั้งยังกลัวใจคน กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจากเด็กดีตั้งใจทำงานแลกหยาดเหงื่อแรงกายอดหลับอดนอนเพื่อค่าแรงที่ได้มากกว่างานอื่นเช่นนี้ แรกๆ ไหวกันทั้งนั้น นานไปนี่สิ กลัวจะเปลี่ยนใจไปทำงานอื่นที่สบายกว่า เงินมากกว่า “ชื่ออะไรนะเรา” “ปราณปริยา ชื่อเล่นชื่อนิ่มค่ะ” คนถามชะงักหน่อยหนึ่ง ยิ้มพยักหน้าให้ทำนองว่ารับรู้ พลันเสียงเคาะประตูครั้งเดียวแล้วเปิดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตดังขึ้นที่ด้านหน้า และนี่คือความกลัวของซ้อเสียงอย่างที่สุด! บัดนี้แววตาของหญิงวัยห้าสิบสี่วาววับขึ้น เมื่อนึกไปถึงว่าใครกันที่อยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงทักถามดังทุ้มนุ่มหูอยู่ที่ประตูเหล็กบานนั้นเอง “อ้าว...ยุ่งอยู่หรือครับซ้อ” “มีอะไรหรือคะคุณปรานต์” หญิงเจ้าของร้านกล่าวทักขึ้นทันที แล้วลุกมาแตะไหล่หญิงคราวหลานให้ลุกออกจากเก้าอี้ “ไปหาคุณพลที่ข้างนอก บอกว่าฉันให้เริ่มงานวันนี้เลย” ซ้อเสียงบอกกับร่างอวบอิ่มเต็มมือเต็มไม้จบในประโยคเดียว แล้วดันให้ร่างนั้นพ้นออกจากประตูห้องทำงานไปโดยไวอย่างแนบเนียน รีบปิดประตูลง หันมายิ้มหวานให้คนมาใหม่ที่เป็นชายร่างสูงเกินขนาดชายไทยทั่วไปอย่างปั้นแต่งเต็มที่ หวังว่าตนเองจะบดบังสายตาของนักล่าคนนี้ได้ทันจากเหยื่อชิ้นสดเมื่อครู่นี้ได้ แต่หารู้ไม่ว่ามันไร้ผลสิ้นดี ‘ปรานต์’ เป็นพวกทรงอำนาจและอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้ ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้ล่าอย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญวิธีการล่านุ่มนวลแยบยลไม่ทำให้เหยื่อตื่นกลัวตกใจแต่อย่างใด หากได้ลิ้มชิมเหยื่อรายไหน รายนั้นเป็นได้ตกในห้วงบ่วงเสน่หาแสนหวานล้ำของปรานต์กันทั้งนั้น แต่หากหมดสิ้นความหวานแล้วนั่น คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หญิงสาวหลายคนต่างยอมศิโรราบให้ปรานต์มานักต่อนักแล้ว ที่ว่ายาก ที่ว่าหวงเนื้อหวงตัว ปรานต์จัดการได้ เขาไม่ได้ใช้กำลังข่มขู่ขืนใจบังคับเอา แต่เหยื่อเหล่านั้นต่างหากที่ยอมให้ปรานต์เองทั้งสิ้น “เด็กใหม่หรือไงครับ” คนสนิทที่เห็นสายตาของผู้เป็นนายมองตามหลังไปแวบหนึ่งก็พอรู้ความ รีบถามซ้อเสียงอย่างรู้ใจผู้เป็นนายดีราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน “ถามทำไมตง ชอบหรือไง เดี๋ยวเด็กแกได้มาถอนหงอกฉันอีกหรอก” ‘ตง’ คนสนิทยิ้มก่อนเม้มปากตนเองกลัวจะหลุดขำออกมาแล้วถึงได้เงียบไป หญิงคนนี้เป็นคนกล้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าออกปากว่านายของเขาได้โดยที่ปรานต์ไม่คิดโกรธเคืองเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนายของตงก็หน้านิ่งตึงไปมากทีเดียวเมื่อถูกซ้อเสียงตีวัวกระทบคราดเข้าให้อย่างจัง หญิงวัยเลยหลักสี่ไปไกลโขปรายตามองนายของตง จีบปากจีบคอถาม “มีอะไรหรือคะ มาถึงนี่ได้” ปรานต์เลือกโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งลงแล้วถึงเอ่ยปากออกมา “เรื่องหุ้นที่บอกจะขาย” “อ้อ เรื่องนั้นเอง เชิญนั่งก่อนค่ะ” แล้วจึงเริ่มเจรจากันจากนั้น นานร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ข้อสรุปซึ่งเป็นที่น่าพอใจกันทั้งสองฝ่าย ซ้อเสียงยิ้มก่อนเอื้อนเอ่ยเอาใจ เมื่อผลประโยชน์ลงตัวอย่างที่หมายมาด “ดื่มอะไรก่อนนะคะ เดี๋ยวให้เด็กๆ เตรียมห้องให้ อยากได้ใครมาบริการคะคืนนี้ น้องหลิน หรือ น้องเฌอเอม” ปรานต์ทำเพียงยิ้มแล้วว่าเรียบๆ ตามนิสัยของตน และคำตอบไม่ผิดจากที่ซ้อเสียงคาดการณ์เอาไว้เท่าใดนัก “ไม่ดีกว่าครับวันนี้ไม่อยากดื่ม” “ว้า น้องๆ รู้เข้า เสียใจแย่ สงสัยอยากเก็บท้องไว้กินของสด” ซ้อเสียงเหน็บยิ้มๆ อย่างพอรู้แกว แต่คนหนุ่มอนาคตไกลไม่ว่าอะไรให้ระคายหูระคายอารมณ์ แม้ปรานต์จะอยู่บนสุดห่วงโซ่ของวงจรนี้ แต่เขาไม่ใช่คนโผงผางที่นึกคิดอยากพูดจาอะไร ทำอะไรก็ทำลงไปเลยแบบไม่นึกถึงคนอื่น ชายหนุ่มรักษามาดของความเป็นผู้นำเอาไว้ได้เสมอ หลังเจรจาธุระเรียบร้อย ผู้เป็นนายของตงไม่ได้นั่งดื่มในร้านอย่างทุกทีแต่ให้จอดรถรอที่ทางด้านหลังร้านแทน ตงลอบมองนายผ่านกระจก พบว่าอีกฝ่ายนั่งรอเงียบๆ ที่เบาะหลังอย่างไม่มีท่าทีร้อนรนแต่ประการใด นิ่งคล้ายรอดูความเคลื่อนไหวของเหยื่อเหมือนนักล่าในป่าไม่ผิดเพี้ยน ตงรู้ว่านายของตนจ้องเหยื่อชิ้นนี้เอาไว้แล้ว และไม่มีทางปล่อยให้หลุดไปได้อย่างแน่นอน ทันทีที่ถึงเวลาปิดบริการ รวมทั้งเป็นเวลาเลิกงานของพนักงานในร้าน ต่างทยอยกันออกมาบ้างบางส่วน ไม่นานจากนั้นคนที่เพิ่งได้ทำงานวันนี้วันแรกอยู่จัดการเก็บกวาดงานของตนเองจนเรียบร้อยดีรวมถึงช่วยงานที่ค้างคาในส่วนอื่นเสร็จสิ้น หิ้วสัมภาระตนเองผ่านประตูหลังร้านออกมานาทีนี้เอง ตงจึงเปิดประตูรถแล้วปรี่เข้าไปหาทันที พร้อมเรียกด้วยเสียงไม่ดังเท่าใดนัก “น้อง น้อง” “คะ” ปราณปริยาผงะ หันซ้ายขวามองว่าเรียกตนหรือไม่ รับคำด้วยท่าทีระแวดระวังตัว ตงถามกลับทันที “กลับยังไง ไปกับพี่ไหม” มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหวาดกลัว เป็นใครก็ไม่รู้จัก จู่ๆ มาบอกให้กลับบ้านด้วย เธอไม่ใช่เด็กห้าขวบนะ “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” ตอบจบจับกระเป๋าเป้ขึ้นพาดปิดหน้าอก ก้มหน้าเดินลิ่วๆ จากไปอย่างว่องไว โชคดีที่มีรถสองแถววิ่งจากหน้าร้านไปจนถึงปากซอยเข้าบ้านของเธอ จึงกระโดดขึ้นไปบนรถ ซึ่งกินเวลาไม่นานถึงได้ออกจากบริเวณนั้นไป ตงกลับมานั่งที่หลังพวงมาลัยรถยนต์อย่างรู้งาน เมื่อครู่ที่ลงไปชวนกลับบ้านก็แค่หย่อนเบ็ดดูว่าคนที่นายสนใจมีใครมารับหรือไม่เท่านั้น เมื่อเห็นว่ากระโดดขึ้นรถสองแถวไปยิ่งน่าห่วง จึงค่อยๆ เคลื่อนรถตามเป้าหมายไปจนรู้พิกัดของอีกฝ่าย บ้านเช่าสร้างเรียงติดกันนั่น ทำเอาคนในรถขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองอย่างไม่ใคร่พอใจเท่าไรนัก ปรานต์มองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยสายตาสำรวจ ก่อนมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ พวกนั้นมองหญิงสาวที่เขาตามมาจนหายลับเข้าบ้านไป ปรานต์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงสั่งให้คนของตนออกรถจากไปบ้าง ตงรู้ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องมาตามเฝ้าตามดูหญิงสาวคนนี้ระหว่างร้านของซ้อเสียงและที่บ้านเช่าของเธอ ไปจนกว่านายของตนจะได้ลิ้มชิมรสนั่นเองถึงหมดหน้าที่ของตนในที่สุด    “กลับมาแล้วหรือลูก” เสียงถามงัวเงียจากโทรทัศน์จอเล็กที่เปิดเอาไว้ฟังข่าวสาร และสลับดูละครจนเคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้ได้ มารู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาแล้ว ปรียามองดูเลือดเนื้อของตนเองที่ดิ้นดั้นด้นออกไปหางานทำด้วยสายตาสงสารจับหัวใจ “จ้ะแม่ เขาจ่ายค่าแรงรายวันด้วยนะ นี่...นิ่มให้แม่” เจ้าตัวล้วงเอาเงินออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้มารดาด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างคนมีความหวังเต็มเปี่ยม คนเป็นแม่ไม่ได้รับ นางดันมือลูกเป็นเชิงว่าให้เก็บไว้ ถามยิ้มๆ “เขาจ้างวันละเท่าไรกันเชียว” “ห้าร้อยแน่ะแม่ “แล้วให้แม่หมดนี่ หนูจะเอาที่ไหนไว้ใช้ล่ะลูก” “นิ่มได้ทิปอีกตั้งเยอะเลยนะแม่” ว่าจบล้วงเอาเศษเงินกำออกมาให้มารดาดู ปรียายิ้มมองบุตรสาวคนเดียวด้วยสายตาภาคภูมิใจปนสังเวชในชะตาชีวิตของตนและลูก ก่อนจะย้ายตามสามีคนหนึ่งมาอยู่ในมหานครแห่งนี้ นางเคยอยู่ที่ต่างจังหวัดกับสามีคนก่อนหน้าที่เป็นชาวสวนไม่ลำบากเท่าตอนนี้ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เสียชีวิตไป ‘ปราณปริยา’ เป็นบุตรสาวคนเดียวของนาง จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ บัดนี้เติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่ง ที่สำคัญดูโตเกินวัยไปจนคนเป็นแม่ใจหาย ผิวพรรณไม่ได้ขาวดั่งสำลีแต่เนียนละเอียดนิ่มละมุน ปราณปริยาเป็นเด็กขยันขันแข็ง อดออม ทำงานเก่ง นางจำได้แม่นยำ เมื่อตอนที่ปราณปริยาอายุได้เพียงห้าขวบก็เริ่มหาของไปขายกับนางที่ตลาดแล้ว บ้างก็รับจ้างทำความสะอาดบ้านให้เหล่าคนมีอันจะกินในละแวก ถากหญ้า ปลูกต้นไม้ หรืองานเก็บผลผลิตในสวนก็ทำมาแล้วทั้งนั้น งานหนักเอางานเบาสู้ไม่ถอย คิดๆ แล้วสงสารลูกไม่น้อยที่ต้องมาลำบากเช่นนี้  พลันความคิดของคนเป็นแม่ก็จางหายไปกับอากาศ เมื่อมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังที่หน้าบ้าน บ้านที่เป็นของสามีคนปัจจุบัน “มีใครอยู่บ้าง หาข้าวให้กูกินหน่อยโว้ย ทำงานทั้งวันจนเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย” ปรียานิ่ง มองจนเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ผิวพรรณขาวสะอาดเหมือนผู้ดีที่เปิดประตูเดินโซเซเข้ามายืนอยู่ตรงกลางบ้านแล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “งานอะไรของเอ็งยุทธ ทำไมเมากลับมาแบบนี้” คนเมาไม่ตอบแล้วมองไปทางอีกคนด้วยสายตาจาบจ้วง ปราณปริยาหลบตาไม่มองตอบ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “นิ่มไปนอนก่อนนะแม่” แล้วรีบผละไปจากตรงนั้นทันที ปราณปริยาไม่เคยรังเกียจสามีใหม่ของมารดา แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนหน้ามากกว่าสามครั้งสามคนแล้วก็ตามที แต่ละคนที่มารดาคบหาไม่น่าหวั่นใจเท่าคนปัจจุบันสักคนเดียว เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับยุทธนา ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามารดาร่วมสิบปีนั่น มองเธอด้วยสายตาน่ากลัวและขยะแขยงเหลือเกิน จึงปลีกตัวไปยังห้องของตนเองที่อยู่เยื้องไปอีกนิดจากห้องนอนของท่าน เข้าห้องแล้ว หยิบผ้าขนหนูและชุดใส่นอน ค่อยรี่ไปยังห้องน้ำที่มีเพียงห้องเดียวที่ด้านหลัง จัดแจงอาบน้ำโดยไวเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอยุทธนา พ่อเลี้ยงของเธอ เรียบร้อยดีแล้วจึงเข้าห้องปิดลงกลอนอย่างแน่นหนาเตรียมตัวนอนพักเพื่อที่จะได้ตื่นไปเรียนในเช้าของอีกวัน ในความมืดนั่นเองที่เด็กสาวนอนคิดถึงเงินที่ตัวเองกำลังจะได้รับ หากไปทำงานติดกันทุกวันหนึ่งเดือน เธอจะมีเงินเป็นหมื่นๆ และมันมากพอที่จะให้แม่ แม่ของเธอทำงานไม่ได้แล้วในตอนนี้ ท่านเจ็บป่วยบ่อยและล้มหมดสติต่อหน้าเธอสามครั้งได้ โชคดีที่พอมีคนแนะนำงานในร้านของซ้อเสียงให้ เธอจึงรีบไปสมัครเอาไว้ ไม่คิดว่าทางนั้นจะรับเข้าทำงานด้วยซ้ำ และหากได้ทำที่นี่ไปอีกระยะ ว่าจะลองขอให้แม่ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ ไปเช่าที่อื่นอยู่กันสองคนแม่ลูก เธอไม่เคยกีดกันหากแม่จะมีสามีใหม่แต่ต้องไม่ใช่แบบนายยุทธนา ยุทธนาขี้โอ่ และชอบข่มเหงมารดาของเธอ ปราณปริยาเคยร้องไห้และขอร้องให้ท่านย้ายไปอยู่ที่อื่นหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่มารดาก็เงียบไม่ยอมตอบรับคำของเธอ ถอนหายใจออกยืดยาวอย่างปลงไม่ตก ก่อนปิดตาลงเตรียมนอน พลันพอดีกับที่มีข้อความเข้ามายังโทรศัพท์ที่มารดายกให้เธอไว้ใช้ ‘ขอโทษครับที่ส่งข้อความมาตอนนี้ แต่ทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ อยากให้เช้าไวๆ จะได้เจอหน้ากัน’ อ่านจบอดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อนึกถึงคนที่ส่งข้อความมา แล้วถึงวางโทรศัพท์ลง หลับตานอนไม่นานความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันก็ครอบงำสติพาเข้าสู่นิทรารมณ์ได้ในที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD