“มาทำงานใหม่หรือเราน่ะ”
เสียงถามนั่นมาจากหญิงสาวหน้าสวยจัดจ้านในชุดเดรสเกาะอกสั้นแค่หน้าขาลายทางขาวสลับดำ ปราณปริยามองไปรอบๆ บริเวณ เมื่อเห็นว่ามีเธอลำเลียงของอยู่ตรงนี้แค่คนเดียวเลยยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนตอบรับ
“ใช่ค่ะ”
“ชื่ออะไรนะ”
“นิ่มค่ะ”
“หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าซ้อจะให้มาอยู่หลังร้าน”
อีกฝ่ายพิจารณาหน้าตารูปร่างของเธอด้วยสายตาริษยานิดๆ แล้วเงียบ ดูท่าทีไม่พูดอะไรอีก คนที่ถูกเอ่ยถึงว่า ‘หน้าตาแบบนี้’ ยิ้มก้มหน้าทำงานของตนไป
“นี่ถ้าสนใจงานสบายๆ เงินดีๆ บอกนะ”
สาวสวยในชุดเดรส กอดอก เอ่ยปากขึ้นมาโต้งๆ
ปราณปริยาไม่ได้ละมือจากงานของตัวเอง แล้วตัดสินใจถามไป “งานอะไรคะ”
“เชียร์สินค้าในห้าง เงินเดือนไม่เยอะหรอกนะ แต่ค่าคอมก็หลายอยู่ ถ้าสนใจบอกฉันได้”
“นิ่มพูดไม่เก่งค่ะ”
บอกปัดไปอย่างนุ่มนวล ทางนั้นมองเธอทั้งตัวขึ้นๆ ลงๆ ครู่หนึ่งแล้วขยับมาถามใกล้กว่าเก่า
“ถ้าพูดไม่เก่ง มีอยู่งาน”
ปราณปริยาเงียบโดยไม่ถามว่างานอะไร เป็นคนชวนเสียเองที่อดรนทนรอไม่ไหว เอ่ยปากบอกแบไต๋จนหมด
“เป็นเพื่อนเที่ยวน่ะ สนไหมล่ะ”
คนถูกชวนยิ้มค่อยหันมาสบตาด้วย ส่ายหน้าเบาๆ
“นั่นยิ่งไม่ถนัดเลยค่ะ”
แล้วก้มหน้าทำงานต่อ โดยไม่เห็นสายตาหมั่นไส้ของสาวงามคนนั้น
“เอาเถอะ ถ้าอยากทำมาบอกฉันก็แล้วกัน ฉันชื่อแตงกวา”
สาวสวยที่ชื่อแตงกวาเดินหายไปยังอีกทางแล้วตอนนี้ ปราณปริยาค่อยมองตามหลังไป ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เพราะพอรู้อยู่บ้างว่างานที่อีกฝ่ายเอ่ยปากชวน มันเป็นงานเช่นใด คงไม่ต่างจากที่สุริวิภาเอ่ยปากชวนเธออยู่เป็นแน่
“น้องใช่ไหมเด็กใหม่”
เสียงถามแบบนี้อีกแล้ว ปราณปริยาได้ยินแล้วชักขยาด พอหันไปทางคนถามเห็นว่าเป็นชายร่างสูงในชุดสูท ก็ได้แต่ยิ้มขืนๆ
ทางนั้นเห็นแล้วก็ว่า “ซ้อเสียงให้พี่ช่วยมาดูแลเรา”
ได้ยินว่าเจ้าของร้านให้มาดูแลเธอก็ค่อยโล่งใจ “ขอบคุณค่ะ”
“ได้ข่าวว่ายังเรียนอยู่หรือ”
“ใช่ค่ะ” ปราณปริยาตอบอย่างสงวนคำ
คนถามว่าต่อมาอีกด้วยเสียงขรึมๆ “ถึงว่า...เห็นซ้อบอกว่าให้เรามาเข้างานไวหน่อย แล้วเที่ยงคืนก็กลับบ้านได้”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“แค่เปลี่ยนเวลาเข้างานน่ะ”
“แล้วเงิน...”
“เงินยังได้เท่าเดิม งกเหมือนกันนะเรา” ชายร่างสูงว่ายิ้มๆ
ค่อยโล่งใจ ว่าเบาๆ งึมงำ “นิ่มทำไหวค่ะ”
“แรกๆ คงไหวหรอก แต่นานไปจะไม่ไหวเอาน่ะสิ มีเรียนเช้านอนไม่กี่ชั่วโมงจะตื่นทันได้ยังไง”
ปราณปริยายิ้มไม่ว่าอะไรจากนั้น
“แล้ว...วันนี้ซ้อจะเข้าไหมคะ”
ถามหาเนื่องจากว่าอยากเข้าไปถามให้มั่นใจอีกที หากเป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกเธอมา เหตุใดเจ้าของร้านไม่เรียกเธอเข้าไปคุย แต่แล้วไม่กล้าย้อนถามถึงประเด็นนี้กับชายตรงหน้า
“ไม่มา แกไปต่างจังหวัดสองสามวันมั้ง”
ปราณปริยาจำใจต้องชวนคุยเนื่องจากเงียบกันไปนาน บรรยากาศชักอึดอัด เมื่ออีกฝ่ายยังไม่จากไปไหนเสียที
“คนเยอะทุกวันไหมคะที่ร้าน”
“ที่นี่คนเยอะทุกวัน” บอกอย่างโอ้อวดนิดๆ “แล้วมีปัญหาอะไรในร้านบอกพี่ได้เลยนะ...ทุกเรื่อง” อีกฝ่ายย้ำจริงจัง เธอมองตอบชายรูปร่างสูงตรงหน้าแล้วยิ้มให้ พร้อมรับคำเบาๆ
“ขอบคุณนะคะ”
ลืมถามไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร ชายร่างสูงเดินหายลับไปเสียแล้ว พอสบจังหวะหญิงสาวจึงลองถามคนในร้าน คุยกันตั้งนานสองนาน แถมซ้อเสียงยังให้มาดูแลเธออีกด้วย ไม่รู้จักชื่อกันแบบนี้ ดูไม่ค่อยดีนัก เลยนึกได้ว่าเขาอาจเป็นผู้จัดการของร้าน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอภิสิทธิ์อย่างที่แสดงออกมาเช่นนั้น เลยลองถามกับพี่ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน หลังจากที่อีกฝ่ายออกปากให้ยืมนิยายมาอ่านก็ดูเหมือนจะสนิทสนมกันขึ้นมาอีกหน่อย เมื่อพบว่าทั้งสองเป็นคอนิยายยุงชุมเช่นเดียวกัน
“คนที่เป็นผู้จัดการชื่ออะไรหรือคะพี่ดรีม”
“ผู้จัดการชื่อคุณพล นั่นไงคนนั้น”
คนตอบชี้มือให้ดูแล้ว ปราณปริยาก็ได้แต่ขมวดคิ้วเพราะคนนี้เธอจำได้ วันแรกที่ทำงานตามหาจนทั่วร้านเลย แล้วยังไม่ใช่คนที่ยืนคุยกับเธอเมื่อครู่นี้ด้วย
“แต่เห็นว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการร้านแล้วนะ” ดรีมบอกขณะเคี้ยวหมากฝรั่งในปาก
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“เขาว่ากันว่า ร้านกำลังถูกเปลี่ยนมือ” ดรีมเล่าอย่างกับรู้อะไรมา ก่อนถามเกริ่นนำ “รู้จักคุณปรานต์ไหม”
คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ให้เป็นคำตอบ
“ซ้อแกขายหุ้นของแกกับของเพื่อนให้คุณปรานต์แล้วด้วย”
“แล้วเขาจะให้เราออกไหมคะแบบนี้”
“ไม่หรอก” คนเล่าตอบแต่ก็เป็นแบบไม่แน่ใจนัก
ปราณปริยาฟังจากที่อีกฝ่ายเล่ามาแล้ว เลยว่าต่อ
“งั้นสงสัยว่าคนสูงๆ นั่นแน่เลยค่ะ ผู้จัดการใหม่ของร้าน”
ดรีมหันขวับ ถาม “คนไหน”
พยายามมองหาอีกทีแต่ไม่พบ พอใกล้เที่ยงคืนชายที่ชื่อพลผู้จัดการของร้านก็เข้ามาสำทับกับเธออีกเรื่องเวลาเข้างาน ปราณปริยายกมือขอบคุณอีกฝ่ายแล้วช่วยงานจนเสร็จ เข้าไปเก็บของก่อนออกไปยังประตูหลังร้านนั่นเพื่อกลับบ้าน
“ซ้อจะไม่ว่าหรือครับนาย”
ตงถามยิ้มเมื่อเข้ามานั่งในห้องผู้โดยสารด้วยกันแล้ว
“เรื่องอะไร”
“ก็ที่เราเปลี่ยนเวลาเข้างานของ…” คนเป็นลูกน้องเอ่ยยังไม่ทันจบ ปรานต์ก็ว่าขึ้น
“อย่าลืมว่าตอนนี้ใครถือหุ้นในร้านมากกว่ากัน”
เสียงเจรจาในรถคันใหญ่เงียบลงเมื่อถึงเวลาเลิกงานของใครบางคน พร้อมกับคนที่เฝ้ารอเดินออกจากประตูหลังร้าน โดยมีชายหนุ่มวัยไม่หนีจากกันมากเดินเข้าไปหา แล้วพากันไปยังรถยนต์คันหรูที่จอดถัดไปไม่ไกลจากนั้น
“วันนี้มีรถมารับด้วย”
ตงว่ายิ้มๆ เหลือบมองคนที่เบาะด้านหลังแล้วเบือนหน้าไปอีกทางไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาเสียก่อน แว่วเสียงผู้เป็นนายถามดังขึ้น
“ใคร”
“ถ้าจำไม่ผิด ลูกเฮียกวงครับนาย” ตงบอกยิ้มๆ
“ลูกชายเฮียกวง? จับได้ ไม่สบายไปทั้งชาติเลยหรือนั่น”
ปรานต์ว่าเสียงเยาะนิด ไม่คิดว่าหน้าตาอ่อนต่อโลกจะไปไวกว่าที่ตนเองคาดคิดเช่นนี้
“ถ้าเก่งขนาดนั้น มาจับเฮียปรานต์ไม่ดีกว่าหรือครับ”
ตงย้อนกลับยิ้มกว้างกว่าเก่า รู้ว่าเด็กคนนี้นายเขาท่าจะเอาจริง ไม่อย่างนั้นไม่เฝ้าถึงขนาดนี้ ก่อนบอกรายละเอียดที่รู้มาคร่าวๆ
“เพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยครับ ตามจีบตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนนี้ถ้าให้เดา...” ไม่ลืมตีไข่ใส่สีให้คนอารมณ์เสียเล่น “ตอนนี้คงคบกันแล้วมังครับ”
“ถ้าคบกันแล้วจริงๆ ไม่น่าจะปล่อยให้มาทำงานร้านซ้อเสียงได้นะ”
คนเป็นนายวิจารณ์ต่อ เล่นเอาลูกน้องยิ้มอย่างรู้ทัน นายเขาไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้หลุดมืออย่างแน่แท้ ถ้ามองเกมออกถึงขนาดนี้แล้ว
“ไม่งั้นนายคงไม่เสียเวลามาเฝ้าหรอกใช่ไหมครับ”
ปรานต์โบกมือ แสร้งทำสีหน้ารำคาญใจ ก่อนส่งสัญญาณให้คนสนิทออกรถไปจากบริเวณนั้นเสียที แต่แทนที่ตงจะขับรถไปส่งนาย เขากลับพานายตามรถคันหรูที่มีเป้าหมายเป็นดอกไม้แรกแย้มที่ในรถคันนั้นแทน
เลยเป็นอันว่าชายรุ่นพี่อย่างไทธัญมารอเธอเลิกงานพร้อมกับไปส่งที่บ้านด้วย
“ขอบคุณมากนะคะพี่ธัญ”
“ไม่เป็นไรครับนิ่ม แต่พี่ไม่อยากให้นิ่มทำงานในร้านแบบนั้นเลยนะ มันดูไม่ดี ถ้าอยากหารายได้เพิ่ม พี่ฝากงานที่บริษัทของคุณพ่อให้เอาไหม”
“อย่าเลยค่ะ นิ่มเกรงใจ แต่ยังไงนิ่มก็ขอบคุณพี่ธัญมากนะคะ” บอกจบทำท่าจะลงรถไป ไทธัญเรียกเสียงอ้อนเอาไว้
“นิ่ม”
“คะ”
ไทธัญว่าเสียงจริงจัง แววตาเว้าวอนอย่างที่เคยใช้ได้ผลทุกที
“นิ่มรู้ใช่ไหมว่าพี่ชอบนิ่มน่ะ” ตัดสินใจบอกความในใจให้หญิงสาวได้รู้ แล้วเตรียมรุกต่อ “นิ่มล่ะครับ พอจะชอบพี่บ้างไหม”
ได้ยินอีกฝ่ายสารภาพออกมาตรงๆ แบบนี้แล้วก็ให้อึดอัดใจขึ้นมาทันที
“เอ่อ คือนิ่ม นิ่ม”
“เราลองคบกันดูได้ไหม ให้โอกาสพี่สักครั้งนะครับ”
“นิ่มยังไม่คิดเรื่องนั้นค่ะ” ปราณปริยาตัดสินใจเบี่ยงออกไป อีกอย่างชื่อเสียงของไทธัญก็ดังเหลือเกินในความเจ้าชู้ชนิดหาตัวจับได้เช่นนี้ หากเธอจะคบใครจริงจังสักคน หลักๆ เลยคือต้องไม่เจ้าชู้
“เอางี้ พี่ขอแค่โทรหานิ่มทุกวัน แล้วก็มารับนิ่มไปมหาลัย มาส่งนิ่มที่บ้าน วันไหนไม่มีเรียนเราไปเที่ยวด้วยกัน แค่นั้นได้ไหมครับ”
“หืม...พี่ธัญคะ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าแฟนแล้วหรือคะ”
ปราณปริยาย้อนถามด้วยใบหน้าเหลอหลานิดๆ ในสิ่งที่อีกฝ่ายขอ นั่นไม่ใช่ที่คนเขาคบกันแล้วทำหรอกหรือไร
“ได้ไหมล่ะครับ” ไทธัญรุกต่อ
ถอนใจอย่างเนือยเพราะเหนื่อยและง่วงนอน จึงต้องรีบคุยให้จบไป “เราคุยกันตรงๆ เลยนะคะ คือ นิ่ม…”
“โอเค พี่พอรู้แล้วว่านิ่มจะพูดอะไร งั้น เรามาตกลงกันใหม่”
ไทธัญมีความเป็นผู้ต่อรองเก่งฉกาจไม่น้อย คงเพราะได้รับยีนเด่นจากบุพการีที่เป็นนักธุรกิจมือฉมังมาก็เป็นได้
“ถ้าพี่พิสูจน์ตัวเองได้ นิ่มต้องตกลงคบกับพี่นะครับ”
หญิงสาวลอบถอนหายใจแผ่วๆ บอกปัดด้วยสุ้มเสียงมั่นคง “ยังค่ะ”
“อ้าว แบบนี้ก็ปิดทางพี่หมดเลยสิ แล้วไหนว่าจะให้โอกาสพี่ไงครับ”
งงกับเขาอยู่พอควร แล้วเธอบอกตอนไหนว่าให้โอกาสอะไรนั่น แต่แล้วก็คร้านจะต่อคำด้วย เพราะอยากเข้าบ้านเต็มที
“พี่ธัญน่าจะรู้ตัวเองดีนะคะว่าเป็นคนมีเสน่ห์มากขนาดไหน แล้วยังมีสาวๆ ในสังกัดอีกตั้งหลายคน หากนิ่มตกลงใจจะคบกับใครแล้ว นิ่มก็อยากเป็นแค่ผู้หญิงคนเดียวของผู้ชายที่นิ่มเลือกค่ะ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนหนึ่งในสต๊อก”
ปราณปริยาเพียงต้องการจะคุยให้จบไป แต่ไทธัญไม่คิดแบบนั้น คนมั่นใจในตัวเองกลับคิดว่า การที่หญิงสาวเอ่ยปากมาแบบนี้ แสดงถึงความที่มีใจให้แก่ตนเองอยู่บ้าง และชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยฐานะและหน้าตาอย่างเขาก็ไม่เคยไม่ได้อย่างที่ใจต้องการเลยสักครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น...พี่ขอโทรหานิ่มทุกวันได้ไหมครับ”
คนถูกวอนขอได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ไทธัญขอในสิ่งที่ตนเองกระทำไปแล้วทำไม เขาส่งข้อความหาเธอบ่อย และโทรศัพท์มาหาก็บ่อยไม่ต่างกันกับส่งข้อความ และเธอเลือกรับบ้างไม่รับบ้าง เท่านี้ชายผู้มากประสาบการณ์อย่างเขาน่าจะรู้ เลยยิ้มขืนๆ ตอบไป
“ค่ะ แต่นิ่มอาจจะไม่ได้รับทุกสายนะคะ บางทีติดงานยิ่งตอนเข้างาน เขาไม่ให้พกโทรศัพท์ติดตัวค่ะ”
“พี่เข้าใจครับ แล้ว...ให้พี่มารับนิ่มไปเรียนได้ไหม”
“ยังก่อนค่ะ ขอนิ่มไปไหนมาไหนเองก่อนนะคะ อย่าลืมนะว่าเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เราเป็นคนที่ตกลงจะคบหากันไงครับ”
สุดท้ายแล้วไทธัญก็ยังวกกลับเข้ามาที่หัวข้อสนทนาเดิม ปราณปริยายิ้มเนือยๆ เพราะเหนื่อยและง่วงมากแล้ว เลยตัดบท
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งนิ่ม”
ขอบคุณอีกฝ่ายแล้ว ลงรถโดยมีสายตาของไทธัญมองตามจนเห็นว่าหญิงสาวหายลับเข้าบ้านไป แล้วก็ให้ขัดใจที่เห็นพวกผู้ชายตั้งวงกินเหล้าใต้ต้นไม้มองไปที่หญิงสาวไม่วางตา หนึ่งในนั้นเหมือนจะเอ่ยปากแซวหญิงสาวอีกด้วย แถมปราณปริยายังแวะคุยกับพวกนั้นอีก พอเห็นเธอเดินลับเข้าบ้านไป จึงค่อยเคลื่อนรถออกจากบริเวณนั้น ไม่นานมีรถอีกคันที่ขับตามมาห่างๆ เข้ามาจอดแทนที่รถของไทธัญ
“มาส่งมารับแบบนี้ทุกวัน เสร็จลูกเฮียกวงแน่ครับนาย”
เสียงคนใต้บังคับบัญชาบอกยิ้มๆ ผู้เป็นนายทำเพียงมองแต่ไม่ว่าอะไร แล้วสั่งให้กลับไปยังที่พำนักของตนเองในเวลาต่อมา
“แม่”
เรียกมารดาเพราะเห็นว่าไฟในบ้านยังคงเปิดเอาไว้ พร้อมกับโทรทัศน์ที่มีเพียงเครื่องเดียวในบ้านนั่นก็ด้วยที่ทำงานของมันไปเรื่อย
“แม่ไปไหนนะ” เดินไปปิดพร้อมกับพึมพำเบาๆ คนเดียว
“หลับไปแล้ว”
เสียงตอบเป็นยุทธนา สามีของท่าน อีกฝ่ายยืนยิ้มตาเยิ้มขวางเธออยู่ ปราณปริยาไม่อยากพูดคุยด้วยจึงเลี่ยงแล้วหาทางหลบเข้าห้อง ยุทธนายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตรงเข้ามา อ้าแขนจะกอดคนตรงหน้าให้ได้แต่เพราะดื่มหนักจึงเสียหลักเซไปอีกทาง ส่งผลให้ปราณปริยาหน้าซีดเผือด ดีที่เธอหลบได้ทันแล้วสั่งอีกฝ่ายเสียงหลง
“หลบไป นิ่มจะเข้าห้อง”
“เข้าไปสิจ๊ะ พี่จะได้เข้าด้วย”
อีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่กับเธอออย่างหน้าด้านๆ ปราณปริยาสั่งเสียงดุอีกที
“ถอยไป ไม่งั้นนิ่มจะฟ้องแม่”
สามีวัยเด็กของมารดาเดินหน้าเข้าหาเธอพร้อมรอยยิ้มและท่าทีคุกคาม
“กล้าฟ้องหรือจ๊ะน้องนิ่มคนสวย”
ว่าจบ คราวนี้โจนเข้ามาคว้าร่างของเธอเข้าไปกอดได้ในที่สุด ปราณปริยาตกใจแทบสิ้นสติ แล้วออกแรงสะบัดจนสุดตัว พร้อมตวาดเสียงดังลั่น
“ปล่อยนิ่มนะ!”
“เรื่องอะไรจะปล่อย มามะ ขอเอาลูกสาวพี่ยาทำเมียอีกคนเถอะวะ”
“แม่! แม่จ๋า”
ปราณปริยาดิ้นรนพร้อมกับเรียกมารดาของตนเอง แต่ทำได้เพียงเปล่งเสียงแค่คำเดียวเท่านั้นว่า ‘แม่’ เพราะถูกมือของชายโฉดปิดปากของเธอเอาเสียแน่น พร้อมกับรัดร่างของสาวสะพรั่งเข้ามาในอ้อมกอด สูดดมพวงแก้มของเธออย่างย่ามใจ
“อ่อยอ๊ะ อ่อย!”
เสียงที่เล็ดลอดดังออกมาได้ไม่ชัดเท่าไรนัก ก่อนจะฮึดสู้เค้นแรงทั้งหมดที่มีตวัดตัวเหวี่ยงไปที่ของในบ้านให้ล้มจนเกิดเสียงดัง แต่ก็ไร้ผลเมื่ออีกฝ่ายรั้งตัวของเธอให้ลงไปนอนที่พื้นบ้านแทน
ยุทธนาทาบทับอยู่บนตัวของเธอ หมายมาดด้วยแววตาหื่นกระหาย
“วันนี้กูไม่ได้มึงเป็นเมียอีกคน อย่ามาเรียกกูว่าไอ้ยุทธ”
เสียงน่าขนลุกนั่นทำให้ปราณปริยาหวาดกลัวอย่างที่สุดจนอยากร้องไห้และกลั้นใจตายไปจากตรงนี้เสียนัก