บทนำ
มือบางทั้งสองข้างกำแน่น ความกรุ่นโกรธฉายออกทางสีหน้าและแววตา ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสี่ จ้าวเยว่ถิงหาได้เคยคับแค้นใจผู้ใดได้ถึงเพียงนี้ แม้นางจะรู้ว่าการติฉินนินทาเป็นเรื่องสามัญ ถึงเป็นเรื่องเท็จ นางก็หาได้ใส่ใจไม่ ดัวยนางประสบเรื่องเหล่านี้มาจนเคยชินเสียแล้ว ตั้งแต่ตบแต่งเข้ามาเป็นอนุของคหบดีใหญ่แห่งแคว้นอิ้งในวัยเพียงสิบสี่ นางก็ถูกกล่าวถึงในทางไม่ดีนักอยู่ร่ำไป เหตุเพราะ ฮุ่ยเหอ หรือ เถ้าแก่ฮุ่ย มีอายุอานามคราวปู่ ตบแต่งกับนางได้เพราะบิดาขายนางแลกกับสินทรัพย์ อีกทั้งเขายังยกย่องนางออกหน้าออกตา หาได้เห็นหัวฮูหยินที่ร่วมเรียงเคียงบ่ามาช้านาน มิหนำซ้ำ เมื่อครั้งตบแต่งนางเข้าตระกูลคหบดี ยังบังคับให้ฮูหยินฮุ่ยเป็นเถ้าแก่ในงานมงคลสมรสเสียอีก เรียกได้ว่าเฒ่าชราผู้นี้หลงดรุณีน้อยเสียจนหัวปักหัวปำ
หากแต่นั่นเป็นเพียงข่าวลือของชาวบ้าน ไม่มีผู้ใดนอกจากคนตระกูลฮุ่ยและข้ารับใช้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางตบแต่งเข้ามาในตระกูลนี้เพราะสาเหตุใด จ้าวเยว่ถิงไม่ใคร่เปลืองแรงไปอธิบายให้ผู้ใดเข้าใจทั้งนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่านางมาอยู่ตรงนี้เพราะเหตุใด เรื่องทั้งหมดมันแค่บิดาของนางซึ่งเป็นบุตรชายสหายเก่าของฮุ่ยเหอตกที่นั่งลำบาก กิจการร้านรวงถูกหลวงยึดครองด้วยเถ้าแก่จ้าวถวายเครื่องหอมประทินผิวจากแดนไกลให้กับหวงกุ้ยเฟย แล้วพระนางเกิดอาการคันทั่วใบหน้า รอยแดงเป็นปื้นทำให้พระนางหวั่นจะเสียโฉม จึงเข้าร้องขอต่อฮ่องเต้ให้หมอหลวงมาดูแลอาการอย่างใกล้ชิด พระนางเป็นนางในพระองค์โปรด จึงไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะทรงกริ้ว เพียงตรัสคำเดียว ตระกูลจ้าวก็พินาศย่อยยับ บิดาของนางจำต้องคลานเข่าขอความช่วยเหลือจากผู้มีบารมี ซึ่งนั่นก็คือฮุ่ยเหอซึ่งเป็นคหบดีที่ฮ่องเต้ทรงวางพระทัย ครั้นขอพระราชทานอภัยโทษ หัวของตระกูลจ้าวก็ไม่ต้องหลุดจากบ่า หากแต่ต้องสูญสิ้นบุญบารมีที่สั่งสม
จากหงส์ฟ้าร่วงหล่นกลายเป็นหงส์ดิน คุณหนูเช่นจ้าวเยว่ถิงตกระกำลำบาก ตรากตรำทำงานหนักไม่ต่างจากเด็กพเนจร บิดาไม่อาจทนเห็นบุตรสาวซึ่งฟูมฟักเลี้ยงดูดุจไข่ในหินต้องมีเนื้อตัวเปรอะเปื้อนโคลนตมและฝุ่นดินได้ จึงฝากฝังนางให้กับฮุ่ยเหอดูแล ก่อนที่เขาจะเดินทางไปทำงานเยี่ยงกรรมกรยังแดนไกลและหายสาบสูญไปโดยไม่กลับมาเหยียบย่างแผ่นดินเดิมอีกเลย ทิ้งไว้เพียงบุตรสาวที่อยู่ตามลำพังในสกุลฮุ่ย
ฮุ่ยเหอหาได้รังเกียจที่จะเลี้ยงดูเมื่อนางต้องกำพร้า คราแรกจะรับนางเป็นบุตรบุญธรรมเสียด้วยซ้ำ หากแต่บุตรชายเกเรของเขาจ้องจะทำมิดีมิร้ายนาง เขาจึงตัดสินใจให้นางตบแต่งเข้ามาเป็นอนุแทนเพราะคิดว่าหากได้ชื่อว่าเป็นอนุของบิดา บุตรชายคงไม่กล้าแตะต้อง เรื่องนี้เป็นความเห็นดีเห็นงามของฮูหยินฮุ่ยเสียด้วยซ้ำ ด้วยทั้งคู่ไม่อยากให้ดรุณีน้อยนางนี้ต้องแปดเปื้อนเพราะบุตรชายสำมะเลเทเมาของพวกตน
ครั้นจ้าวเยว่ถิงตบแต่งเข้าตระกูลคหบดี สถานะของนางก็สร้างความโกรธเคืองให้กับบุตรชายตระกูลฮุ่ยเป็นอย่างมาก เขาชิงชังบิดา ขุ่นแค้นมารดา สาปแช่งจ้าวเยว่ถิงและหนีหายไป แม้ฮุ่ยเหอจะสั่งคนออกตามหา ก็หาได้พบแม้แต่เงาของเขา เสียใจกับการจากไปของบุตรชายย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าฮุ่ยเหอและฮูหยินก็หาได้ละเลยจ้าวเยว่ถิงแต่อย่างใด เลี้ยงดูรักใคร่ประดุจลูกหลานสืบสายโลหิตจนนางเติบใหญ่ ไม่เคยมีครั้งใดที่คิดจะทำให้นางเปื้อนมลทิน แม้จะได้ยินเสียงครหา หากทว่าก็หาได้สนใจ มอบความรักให้กับนางเป็นอย่างดีชนิดที่เรียกได้ว่ายุงริ้นไม่ให้ไต่ตอม แม้แต่ฝุ่นลมนอกคฤหาสน์ ผิวกายของนางยังหาได้เคยสัมผัสด้วยซ้ำ
จ้าวเยว่ถิงใช้ชีวิตอย่างราบรื่น เติบโตเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยกิริยาและรูปโฉม เป็นที่หมายปองของบุรุษน้อยใหญ่เสียด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าสถานะนางเป็นอนุของฮุ่ยเหอ นางคงมีเถ้าแก่จากตระกูลอื่นมากมายมาทาบทามให้เข้าพิธีมงคลสมรสเป็นแน่
หากแต่ชะตาของนางต้องมาพลิกผันเมื่อปีก่อนนี้ เนื่องจากฮุ่ยเหอซึ่งมีอายุร่วมแปดสิบปีป่วยหนักและสิ้นใจตามสังขารที่โรยรา ไม่นานฮูหยินฮุ่ยก็จากตามไปเพราะตรอมใจตามสามี ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นอนุ แต่ก็เป็นเพียงในนาม จ้าวเยว่ถิงไร้บุตร ไร้สามี ยังสาวแส้ นางจะสมรสใหม่ก็ทำได้ หากแต่นางกลับเลือกตอบแทนบุญคุณของสามีภรรยาตระกูลฮุ่ยที่ฟูมฟักอุ้มชูด้วยการสืบสานกิจการโรงเตี๊ยมและร้านค้าต่อ ตั้งใจทำงานหนักไม่เว้นวัน ถึงจะไม่ได้ออกหน้าไปดูแลกิจการ ทว่าก็หาได้เคยมีครั้งใดที่นางได้หยุดพักผ่อนเที่ยวเล่นตามประสาสตรีสักนิด ซ้ำร้ายยังจะถูกเรียกขานว่า ‘หญิงหม้ายตระกูลฮุ่ย’ แทน ‘ฮูหยินฮุ่ย’ อย่างที่ควรเป็นเสียอีก
น่าเจ็บใจนัก!
หากแต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกของเหล่าบริวารในคฤหาสน์คหบดีที่เห็นนายหญิงตรากตรำทำงานจนไม่ได้กินได้นอนเท่านั้น สำหรับจ้าวเยว่ถิงแล้ว นางแสร้งทำเสมือนหูดับ ไม่ได้ยินเสียงติฉินนินทาใดๆ ทั้งนั้น หรือไม่ก็เป็นเพราะนางชินชาด้วยถูกกล่าวถึงในทางไม่ดีตั้งแต่ตบแต่งเข้าตระกูลฮุ่ยใหม่ๆ นางจึงไม่ใคร่จะรับฟังนัก
ทว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จ้าวเยว่ถิงเดือดดาล เมื่อนางได้ยินข่าวลือว่าโรงเตี๊ยมของตระกูลฮุ่ยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเตี๊ยมชั้นดีและใหญ่ที่สุดในแคว้นอิ้งแปรสภาพเป็นหอคณิกาหลังจากที่นางก้าวเข้ามาดูแล มิหนำซ้ำยังกล่าวหาว่านางคบชู้สู่ชาย เที่ยวสมสู่กับบุรุษมากหน้าหลายตาไม่สนใจฟ้าดินอีกต่างหาก
ได้ยินครั้งแรก จ้าวเยว่ถิงยังทำเฉย
ได้ยินครั้งที่สอง หัวคิ้วเรียวสวยกระตุกเล็กน้อย
ได้ยินครั้งที่สาม สี่ ห้า และอีกนับครั้งไม่ถ้วน นางก็ทนอยู่เฉยไม่ได้
หอคณิกาอันใดกัน เอาเรื่องผายลมอันใดมาพูด!
หญิงสาวพอจะคาดการณ์ได้ว่าข่าวลือหนาหูนี้มาจากพวกไม่ประสงค์ดี คราแรกคิดว่าเป็นพวกฮูหยินหรือคุณหนูตระกูลอื่นปล่อยข่าว หากแต่เมื่อลูกค้าของโรงเตี๊ยมลดลงจนน่าใจหาย นางก็ส่งสายสืบไปหาต้นตอ ก่อนจะพบว่าแหล่งข่าวลือนั่นมาจากโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดในแคว้นอิ้งได้ไม่นาน
โรงเตี๊ยมบุรุษไร้ใจ... สมญานามโรงเตี๊ยมอันเป็นที่นิยมของเหล่าบุรุษฉกรรจ์
จ้าวเยว่ถิงหาได้สนใจว่าโรงเตี๊ยมนั้นมีดีอะไร บรรดาชายหนุ่มกลัดมันถึงได้นิยมชมชอบกันนัก
ใหญ่โตกว่า? อาหารรสเลิศกว่า? การแสดงของนางระบำตระการตากว่า? จ้าวเยว่ถิงไม่อาจคาดเดาได้ด้วยนางหาได้เคยเยือนโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไม่ อย่าว่าแต่โรงเตี๊ยมเลย แม้แต่ออกไปหน้าคฤหาสน์ นางก็ไม่ได้ย่างกรายไปเกือบปีแล้ว ได้แต่ขังตัวเองอยู่ข้างในเท่านั้น
หากแต่ครั้งนี้นางคงจะได้ออกจากถ้ำเป็นแน่แท้เมื่อพ่อบ้านหลี่กลับมาพร้อมกับข่าวที่นางเพิ่งสั่งให้ไปสืบ
“นายหญิงขอรับ” ไม่เรียกนางว่า ‘ฮูหยิน’ ด้วยอดีตนายเก่าสั่งไว้ก่อนสิ้นใจ ก่อนหน้านั้นเรียกจ้าวเยว่ถิงว่าคุณหนูเสียด้วยซ้ำ
ทว่านั่นหาใช่สิ่งที่จ้าวเยว่ถิงสนใจ ครั้นเห็นชายวัยกลางคนวิ่งกระหืดหอบเข้ามา นางก็ตวัดดวงตากลมโตไปมอง
“ได้ความมาเช่นไรบ้างพ่อบ้านหลี่ รู้ตัวเจ้าคนชั่วช้าผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”
คนถูกถามพยักหน้ารัว จ้าวเยว่ถิงใจเต้นระส่ำด้วยอยากรู้ว่าใครกันเป็นคนปล่อยข่าวลือทุเรศนี้
“หากรู้แล้วก็รีบบอกข้ามาเร็วเข้า”
เมื่อถูกเร่งเร้า คนถูกถามก็รีบบอกออกไปพลัน
“ซือโฉว...มันผู้นั้นชื่อ หยางซือโฉว ขอรับ”
ได้ยินชื่อแล้ว เรียวคิ้วสวยก็ขมวดเข้าหากัน นางคุ้นชื่อนี้ดีเพราะได้ยินพ่อบ้านหลี่และบรรดาเสี่ยวเอ้อพูดถึงบ่อย หรืออาจจะไม่ใช่พูดถึงบ่อย เรียกว่าวิวาทกันบ่อยเพราะเรื่องกิจการโรงเตี๊ยมจะดีกว่า ไม่ฝ่ายตระกูลฮุ่ยไปหาเรื่อง ฝ่ายนั้นก็ต้องมาหาเรื่องอยู่ร่ำไป เกือบขวบปีแล้วที่นางได้ยินชื่อนี้ หากแต่ได้เคยพบพานเจ้าของชื่อสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางได้ยินชื่อบุรุษผู้นี้อีกแล้ว
“ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามย้ำเพื่อความแน่ใจ คิดในแง่ดีว่าฝ่ายนั้นไม่น่าจะเล่นงานนางรุนแรงถึงเพียงนี้
หากแต่ต้องผิดหวังเมื่อพ่อบ้านหลี่พยักหน้า
“มั่นใจขอรับ หยางซือโฉวผู้นี้นี่แหละที่เป็นผู้กุข่าวว่าโรงเตี๊ยมของเราเป็นหอคณิกา”
มั่นใจว่าพ่อบ้านหลี่ไม่โกหก จ้าวเยว่ถิงใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบโต๊ะดังปัง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นแค้น
“บังอาจนัก กล้ามาใส่ความกิจการของพ่อแม่บุญธรรมข้าได้ เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าคงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้อีก”
พ่อบ้านหลี่และเหล่าคนรับใช้ที่อยู่ในสถานที่นั้นพยักหน้ารับเห็นด้วยกับนางเป็นพัลวัน ก่อนพ่อบ้านหลี่จะขันอาสารับหน้าที่
“นายหญิงประสงค์ให้ข้าทำสิ่งใด ขอให้สั่งการมา ข้าจะไปจัดการให้”
ดวงตากลมดุจกวางชำเลืองมอง ริมฝีปากแดงชาดเผยอยิ้มเล็กน้อย
“ขอบใจพ่อบ้านหลี่มากที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า แต่การครั้งนี้ ข้าจะเป็นผู้สะสางเอง”
สิ้นเสียงหวาน ต่างก็พากันตกใจประหนึ่งเกิดเรื่องอาเพศ
“ประเดี๋ยวก่อน นายหญิงหมายความว่า...”
“ข้าจะไปเยือนโรงเตี๊ยมแห่งนั้น”
ยิ่งขยายความ ยิ่งสร้างความพรั่นพรึงให้กับคนฟัง
จ้าวเยว่ถิง... ดรุณีน้อยจะไปเยือนโรงเตี๊ยมคนถ่อย มันอันตรายเกินไป!
“อย่าหาว่าข้าสู่รู้เลยขอรับนายหญิง แต่ข้าเห็นว่าเป็นการไม่สมควรหากนายหญิงจะไปเหยียบที่โสมมแห่งนั้น ให้ข้ากับพวกบุรุษอื่นๆ ไปเถิด”
“หากท่านไป ก็คงมิวายวิวาทกันเป็นแน่ ข้าต้องการไปเจรจา หาได้ต้องการไปวิวาท”
ถูกสวนคืนอย่างนั้น พ่อบ้านหลี่ก็สิ้นไร้คำพูด ยิ่งเห็นสีหน้าจริงจังบนดวงหน้างามพิลาส เขาก็มั่นใจว่าต่อให้หว่านล้อมเพียงใด จ้าวเยว่ถิงก็คงไม่เปลี่ยนใจแน่
“แล้วนายหญิงจะไปเจรจาอันใดกัน” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
จ้าวเยว่ถิงชำเลืองมอง ว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ยุติศึก”
เข้าใจอยู่ว่าจ้าวเยว่ถิงรังเกียจการวิวาท และไม่ชอบใจเป็นอย่างมากหากได้ยินว่าข้ารับใช้คนใดในตระกูลฮุ่ยไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แต่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น... บุรุษผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่น...
...นายหญิงจะรู้ไหมว่ามันเป็นคนถ่อยเพียงใด
“หากหยางซือโฉวผู้นั้นหาได้ยินยอมกันเล่า นายหญิงจะทำเช่นไร” คิดเช่นนั้นจึงถามออกไปอีก ด้วยคิดว่าหากจ้าวเยว่ถิงไม่มีแผนการใดๆ เขาจะอาสาไปเอง อย่างน้อยก็ให้เขาเป็นทัพสำรอง
แต่จ้าวเยว่ถิงไม่เปิดโอกาสให้พ่อบ้านหลี่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง นางจ้องมองใบหน้าบุรุษวัยกลางคนนิ่งๆ ว่าออกมาเชื่องช้า ทว่าชัดถ้อยชัดคำ
“หากไม่ยินยอม ข้าก็จะสะสางแค้นให้สาสมกับที่ว่าร้ายตระกูลฮุ่ย พวกท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งใดๆ ข้าจะจัดการของข้าเอง หากไม่ฟัง พวกท่านจะไร้ซึ่งที่ซุกหัวนอน”
แม้ท่าทางของนางจะหาได้น่ากลัว หากแต่น้ำเสียงและแววตาจริงจังกลับสร้างความน่าเกรงขามให้คนฟังได้ไม่น้อย นางมีความเมตตาแต่นางเด็ดเดี่ยว เมื่อตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ต่อให้แผ่นดินแยกเป็นเสี่ยงก็ไม่อาจทำให้นางล้มเลิกความตั้งใจได้ และนางมักทำตามที่พูดไว้เสมอ ความดื้อรั้นนี้เป็นผลพวงจากการเลี้ยงดูอย่างตามใจของสามีภรรยาตระกูลฮุ่ยทั้งสิ้น
เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าขัดอีกต่อไป จ้าวเยว่ถิงก็ผินหน้าไปมองยังสาวรับใช้วัยแรกรุ่น เอื้อนเอ่ยออกคำสั่ง
“มี่เอ๋อร์ จงไปเตรียมเสื้อผ้าให้ข้า เรียกคนอื่นๆ มาช่วยข้าแต่งตัวด้วย ราตรีนี้ข้าจะไปเยี่ยมเยือนโรงเตี๊ยมบุรุษไร้ใจ จำต้องงดงามที่สุดเพื่อเป็นเกียรติให้กับเถ้าแก่ผู้นั้น”
หญิงรับใช้ขานรับ รีบกุลีกุจอไปเตรียมการอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้จ้าวเยว่ถิงยืนนิ่ง วาดแผนการในใจราวกับกุนซือชำนาญศึก
ราตรีนี้ไม่ข้าก็ท่านคงได้เห็นดีกัน...หยางซือโฉว!