แต่เพราะนางเกรงใจสามีอยู่พอสมควรเสียงจึงอ่อยลงเมื่อยังเอ่ยเข้าข้างบุตรชายอันเป็นที่รักเช่นเดิม
“คุณก็ นี่ลูกนะคะ หยวนๆ บ้างสิ ไม่ใช่ลูกน้องของคุณซะหน่อย”
“ยังอีกนะคุณกาน”
กาญจนาได้ยินเสียงดุๆ ของสามีก็ค้อนให้อย่างไม่ชอบใจ ยอมปิดปากเงียบในทันที
“พ่อพูดมาเถอะครับ ผมรอฟังอยู่” ภครัฐตัดบท สีหน้าเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน ที่ท่านเรียกตัวเขากลับมาแบบนี้ ถ้าไม่บ่นเรื่องงานก็เรื่องไร้สาระแล้วแต่ท่านจะสรรหามาพูด จนเขาชาชินเสียแล้ว
“ทีกับฉันแกทำหน้าเซ็งซังกะตาย แต่กับผู้หญิงพวกนั้นแกหน้าระรื่นเชียวนะ” วิรัฐอดประชดลูกชายเสียไม่ได้ ยิ่งมองสภาพเจ้าตัวดีแล้วให้อารมณ์เสีย
“โธ่พ่อ ก็สาวๆ ไม่ได้ทำหน้ายักษ์อย่างพ่อนี่ครับ” ภครัฐยียวนกลับบ้าง ท่านรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะพูดทำไมนักหนาเรื่องสาวๆ ของเขา
“แกอย่ามาทำหน้าทะลึ่งกับฉันเจ้ารัฐ เอาละ ในเมื่อแกกลับมาแล้ว เราก็พูดเรื่องสำคัญกันได้แล้ว”
“พ่อพูดเป็นงานเป็นการจังนะครับ ฟังแล้วสยอง” ภครัฐแสดงสีหน้าสยองจริงๆ
“ฉันต้องพูดเป็นงานเป็นการสิเจ้าลูกบ้า ถ้าไม่อย่างนั้นแกจะฟังหรือไง เคยโผล่หัวกลับมาให้เห็นบ้างไหม ถ้าฉันอยากจะรู้ว่าแกไปมุดหัวอยู่ไหน ต้องอ่านในข่าวบันเทิงที่นักข่าวเขาทำข่าวว่าแกคั่วกับใครอยู่ เวลาหาแกทีต้องไปหาเอากับนางแบบ ดารา พริตตี้ โคโยตี้”
เสียงเข้มข้นของบิดาไม่ได้ทำให้ภครัฐตกใจกลัวหรือโกรธแต่อย่างใด ปกติท่านก็เป็นแบบนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตมา ถ้าบิดาดุมากๆ มารดาก็ช่วยจัดการให้ตลอด
“โธ่พ่อ... ผมเพิ่งรู้นะครับว่าพ่ออ่านข่าวบันเทิงด้วย”
ย้อนให้อย่างยียวน กวนอารมณ์ของบิดาให้เดือดเล่นๆ ตามประสาหนุ่มขี้เล่น แต่ขี้เกียจพ่วงท้ายเข้าไปด้วย เขาคิดว่ารวยอยู่แล้ว เงินทองมากมายใช้ไปทั้งชาติก็ไม่หมด ทำไมต้องตรากตรำทำงานให้เหนื่อยด้วย ดูอย่างมารดาสิ ซื้อเพชรทีหนึ่งเป็นตู้ๆ ขนหน้าแข้งยังไม่ร่วงเลย บิดาก็คาดหวังกับเขามากเกินไป เขาไม่อยากให้ท่านมาคาดหวังอะไรกับเขาอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
“เจ้ารัฐ ฉันพูดแกต้องฟัง แกนี่เถียงคำไม่ตกฟาก เพราะแม่แกมันให้ท้ายตั้งแต่เด็ก อายุแกไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ปีนี้แกยี่สิบเจ็ดแล้วนะ เจ้าลูกบ้า”
“โอเคครับ พ่ออย่าโมโหเดี๋ยวหัวใจวาย ผมจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี แต่แหม... อีกนิดนะครับพ่อ พ่อจำแม่นจังเลยครับ ว่าผมอายุกี่ขวบแล้ว” ภครัฐลากเสียงยาวสีหน้าทะเล้น ทำเป็นนั่งตัวตรงล้อเลียน คุณวิรัฐอยากจะกุมขมับเสียจริง
“เรื่องแต่งงานแกจะว่ายังไง ฉันกับลุงมนชัยของแก คุยกันมาตั้งแต่แกยังเด็กๆ แล้วนะ” วิรัฐเข้าเรื่องสำคัญอย่างไม่อ้อมค้อมอีก
“ผมบอกพ่อแล้วไงว่าผมไม่แต่งงานกับยัยเด็กบ้านนอกนั่นยังไงล่ะครับ โธ่... พ่อ เห็นใจผมบ้าง เคยกอดแต่อวบๆ อึ๋มๆ ขาวๆ ไปเจอดำๆ ไม้กระดาน เหม็นสาบบ้านนอกคอกนา กลิ่นขี้เกลือ ปลาเค็มตากแห้ง ผมไม่เอาหรอกนะ”
ภครัฐทำท่าสยองประกอบคำพูด ก่อนจะหัวเราะตบท้าย ไม่ได้เคร่งเครียดในสิ่งที่บิดาบังคับ เขาคิดว่าถ้าเขาไม่ทำซะอย่างก็ไม่มีใครบังคับเขาได้ ทำไมจะต้องไปเถียงกับบิดาอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ท่านยอม ยังไงเขารู้ว่าท่านไม่ยอม แต่ท่านไม่ยอมแบบนี้มานานมากแล้ว ยังไม่เห็นทำอะไรเขาได้เลยสักที
เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นต้องใส่อารมณ์อะไรมากมายเอากับท่าน เขาไม่ชอบความโมโหสักเท่าไหร่ จึงใช้วิธีการเอาตัวรอดเนียนๆ แบบนี้ทุกครั้ง มารดาเองยังบอกว่าบิดาพูดขู่ไปแบบนั้นจริงๆ ทำอะไรเขาไม่หรอก ลูกก็มีอยู่แค่คนเดียว จะเห็นลูกคนอื่นดีกว่าจนถึงขนาดตัดพ่อตัดลูก ดูจะเกินไปนักในความเป็นจริง
“แต่คราวนี้แกต้องแต่ง” วิรัฐยื่นคำขาด ท่านคุยกับบุตรชายหลายครั้งกลับไม่ได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นคงต้องใช้วิธีที่คิดว่าจะทำเป็นสิ่งสุดท้ายเพื่อให้ลูกชายยอม
“คุณพ่อเรียกผมกลับมาเพื่อจะพูดเรื่องแค่นี้เหรอครับ ผมบอกคุณพ่อแล้วว่าผมไม่แต่ง นี่มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะครับ สมัยพ่อกับแม่ยังพอทน นี่มันยุคสองพันสิบสามแล้วนะคร้าบบบ.... คุณพ่อ”
ภครัฐลากเสียงยาวกวนอารมณ์ ส่ายหน้าไปมา ยังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม ไม่ว่าบิดาจะบังคับยังไง เขาจะค้านหัวชนฝา ทำอะไรไม่ได้ก็เฉยเสีย จบเรื่อง ชายหนุ่มคิดอะไรง่ายๆ เหมือนที่ใช้ชีวิตง่ายๆ ไปวันๆ
“เพราะว่าฉันเป็นหนี้มากมายมหาศาล ธุรกิจของเรากำลังจะเจ๊ง แกไม่เคยไปดูดำดูดีช่วยฉันบริหาร ถ้าแกไม่แต่งงาน เราเตรียมย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ ไปอยู่บ้านที่อนาถากว่ารูหนู ข้าวของทุกอย่างกำลังจะถูกยึด วันนี้ฉันจะบอกข่าวร้ายกับแกว่า บัตรเครดิตของแกใช้ไม่ได้อีกแล้ว ฉันพูดแค่นี้แหละ แกไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน”
ภครัฐหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ฟังประโยคของบิดา
“นี่คุณพ่อไปหัดแต่งนิยายน้ำเน่าตั้งแต่เมื่อไหร่ครับนี่ เก่งครับเก่ง น้ำเน่าได้ใจจริงๆ เลย”
แปะ แปะ แปะ ภครัฐตบมือให้บิดาอย่างชื่นชม ขบขันในคำพูดของท่านจนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“ตารัฐ” กาญจนาเรียกบุตรชายเสียงอ่อน นางเองเคยมีอาการแบบนี้มาก่อน อาการหัวเราะท้องคัดท้องแข็งไม่เชื่อในสิ่งที่สามีเล่า พอมองเห็นอาการของบุตรชาย ทำให้คิดถึงตัวเองขึ้นมาทันที
“นี่คุณแม่ก็เป็นไปอีกคนเหรอครับ เชื่อนิทานของคุณพ่อ” ภครัฐหันไปหัวเราะมารดาเมื่อเห็นท่านแสดงสีหน้าไม่สู้ดีส่งมายังเขา
“แกไม่เชื่อ” วิรัฐถามเสียงเข้ม มองอาการของบุตรชายอย่างเดือดดาล
“จะให้ผมเชื่อนิทานหลอกเด็กของคุณพ่อเหรอครับ บ้านเรารวยจะตาย คุณพ่อก็บริหารงานเก่งขนาดนี้ แล้วเราจะเป็นหนี้สินได้ยังไงกัน ผมไม่เชื่อหรอกครับ” ภครัฐยังส่ายหน้าไม่เชื่อ “ที่คุณพ่อเรียกผมกลับมาเพื่อจะเล่านิทานหลอกเด็กเรื่องนี้ให้ผมฟังเหรอครับ ผมไม่ได้โง่นะครับที่จะเชื่อง่ายๆ”
“งั้นแกดูสัญญานี่ แกจะได้ตาสว่าง ถ้าเราไม่ทำตามที่เขาต้องการ เขาจะเข้ามายึดทุกอย่างของเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้”
ภครัฐยังอดหัวเราะบิดาไม่ได้ เขายื่นมือไปรับเอกสารสำคัญแผ่นนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทาเล็กน้อย แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้ กลบเกลื่อนว่าเขาไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่สีหน้าแววตาและน้ำเสียงจริงจังของบิดา รวมถึงสีหน้าของมารดาทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะถูกต้องเสมอไป
“ยังไงผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ นี่คุณพ่อลงทุนให้คนทำเอกสารปลอมมาหลอกผมเลยเหรอครับ” ภครัฐยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“รัฐ มันจริงนะลูก แม่เองก็ไม่เชื่อเหมือนลูก แต่แม่ก็ไปสอบถามจากทนายประจำตระกูลของเรามาแล้ว” กาญจนาเข้ามานั่งข้างบุตรชายแล้วบีบมืออีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ
“โธ่... คุณแม่นี่มันนิทานหลอกเด็กครับ คุณพ่อฉลาดจะตาย สร้างหลักฐานแค่นี้มาหลอกเรา คุณแม่ก็เชื่อ อะไรกันบ้านเราจะมีหนี้สินมากมายขนาดนี้ได้ยังไง ถ้ามีหนี้จริงจะใช้จ่ายสุขสบายอยู่แบบนี้เลยเหรอครับ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณแม่อาจจะตรวจสอบไม่ละเอียดพอ เดี๋ยวผมจะจัดการเองครับ” ภครัฐกำเอกสารในมือแน่นด้วยความรู้สึกใจหายจนแทบสติหลุด แต่ปากก็ยังพูดไปอีกทางที่ตรงข้ามกับใจคิด
“ทุกอย่างเป็นความจริงครับคุณภครัฐ เอกสารตรงหน้าถูกต้องทุกอย่าง”
ทนายสมชายที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปสบตากับวิรัฐผู้เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรัก แล้วผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ภครัฐอึ้งจนพูดไม่ออก เดาเอาว่าการผ่อนลมหายใจของทนายประจำตระกูลคงเป็นเพราะเรื่องราวที่เป็นอยู่ แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นอีกความหนักใจที่ภครัฐไม่มีวันล่วงรู้
“พ่อ” คราวนี้ภครัฐช็อกตาตั้ง หันมองมารดาที่หน้าซีดเผือดพยักหน้าให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่าให้เขายอมรับความจริงทุกอย่าง
“จริงจ้ะลูก แม่ตรวจสอบละเอียดดีแล้ว ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาเชื่อ อย่างที่รัฐว่าหรอกลูก