บทที่ 10 พิธีแต่งงาน

2380 Words
บทที่ 10 พิธีแต่งงาน หลังจากนี้จะเปลี่ยนจากรัชทายาทเป็นหวงไท่จื่อแทนนะครับและขอเปลี่ยนจากชายาเอกและชายยารองเป็นหวงไท่จื่อเฟยและหวงไท่จื่อผินแทนนะครับ “ฝ่าบาทเมตตาด้วยพะย่ะค่ะ พวกเขาถูกบังคับพะย่ะค่ะ” เหล่าแม่ทัพที่เห็นด้วยในตอนแรกรีบกับลำทันที “ลากออกไปโบย 50 ไม้พร้อมปลดออกจากตำแหน่งและยึดทรัพย์ทั้งหมดแล้วนำไปไปตัดลิ้นแล้วส่งตัวไปเป็นทาสอยู่ที่ชายแดน”ฮ่องเต้ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเยือกเย็น “ฝ่าบาทได้โปรดเมตตาด้วยพะย่ะค่ะ ท่านหญิงทั้งสองได้โปรดอภัยด้วยขอรับ”เหล่าแม่ทัพทั้งหลายได้ขอร้องอ้อนวอนอย่างหน้าสมเพช “ข้าก็อยากจะช่วยแต่นี่เป็นบัญชาของฝ่าบาทคงช่วยพวกท่านไม่ได้”ชิงอี้นางได้แสดงว่ากำลังเสียใจที่ช่วยไม่ได้และทุกคนก็หลงเชื่อว่านางกำลังเสียใจอยู่จริงแต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ดูออกนั้นก็คือพี่สาวของนาง “เหตุใดเจ้าถึงอยากช่วยพวกเขาทั้งๆทีพวกเขาเพิ่งจะใส่ร้ายเจ้า”ฮ่องเต้ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย และนั้นก็เข้าแผนการของนางที่วางเอาไว้ “กราบทูลฝ่าบาทเพคะหม่อมฉันเพียงแค่คิดว่าพวกเขาเหล่านี้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองมากแม้ว่าพวกเขาจะว่าร้ายพวกเราสองคนพี่น้องยังไงก็ไม่ควรที่จะโดนลงโทษหนักถึงเพียงนี้เพคะ” นางได้เอ่ยออกมาด้วยความจริงใจนั้นทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็พากันเอ่ยชื่นชมพวกนางที่จิตใจดีขนาดโดนใส่ร้ายก็ยังไม่เอาผิดแถมยังเอ่ยช่วยเหลืออีก และนี่ก็เป็นอีกแผนที่นางวางเอาไว้ที่จะเรียกความน่าเชื่อถือและความเอ็นดูจากฮ่องเต้ พร้อมเรียกคะแนนที่ดีจากเหล่าขุนนางอาวุโสเพื่อเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น “ช่างเป็นคนดีจริงๆ แล้วเจ้าอยากให้ข้าลงโทษอย่างไรเพราะจะให้เว้นโทษเลยเป็นไปไม่ได้” “ถ้าอย่างนั้นโบยซัก 20 ไม้แล้วหักเบี้ยประจำเดือนของพวกเขา 6 เดือนเอาไปบำรุงแคว้นช่วยเหลือราษฎรดีหรือไม่เพคะ” ชิงเหมยที่เห็นน้องสาวตนคิดไม่ทันจึงเอ่ยช่วยเหลือทัน “ดี งั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าลากตัวพวกมันออกไปโบยแล้วหักเบี้ยประจำเดือนของพวกมันทั้งหมดไปทำโรงทานที่หน้าประตูเมือง แล้วยึดทรัพย์สินของพวกมันหนึ่งส่วนเอาไปแจกในประชาชนที่ยากไร้” “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา ขอบพระคุณท่านหญิงทั้งสองที่เมตตา”เหล่าแม่ทัพขุนพลทั้งหลายเอ่ยขอบคุณออกมาแล้วเดินออกไปเพื่อถูกโบยแต่ด้วยดี “ทีนี้พวกเจ้ามีใครอยากจะร้องเรียนเรื่องอะไรอีกหรือไม่ข้าก็ได้จัดการทีเดียว”ฮ่องเต้เอ่ยถามเหล่าขุนนางทั้งหลาย “ดีถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบรางวัลให้กับผู้คนที่มีความดีในครั้งนี้” เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้เขียนราชโองการขึ้นมา 2 ฉบับแล้วส่งให้กงกงคนสนิท “เหล่าขุนพลทหารกล้าทั้งหลายรับราชโองการ รางวัลของเหล่าแม่ทัพคือ ทองคำจำนวน 10 ตำลึงเหรียญเงินจำนวนหนึ่งหีบใหญ่ที่ดินจำนวน 5 ไร่ รางวัลของเหล่ารองแม่ทัพคือ ทองคำจำนวน 10 ตำลึงหรียญเงินจำนวนหนึ่งหีบเล็กที่ดิน 3 ไร่ ส่วนเหล่าทหารทั้งหลายรางวัลคือ เหรียญเงินจำนวนหนึ่งหีบเล็กจบราชโองการ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”เหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพได้เอ่ยออกมาเปลี่ยนกันลั่นท้องพระโรง “ ท่านหญิงทั้งสองรับราชโองการ ท่านหญิงทั้งสองนั้นมีความรู้ความสามารถมากมายช่วยเหลืองานในกองทัพจนฝ่ายศัตรูนั้นพ่ายแพ้ ฝ่าบาทจึงมีบัญชาให้แต่งตั้งท่านหญิงทั้งสองเป็นขุนนางขั้นอันฉีและให้อภิเษกสมรสกับหวงไท่จื่อโดยให้ท่านหญิงซีซวนดำรงตำแหน่งเป็น หวงไท่จื่อเฟย และให้ท่านหญิงซิ่วอิงดำรงตำแหน่งเป็น หวงไท่จื่อผิน และให้จัดพิธีอภิเษกสมรสหลังจากนี้อีก 3 วันจบราชโองการ” “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” “เอาล่ะไม่ต้องมากพิธีข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ให้พวกเจ้าแล้วกินกันให้เต็มที่ให้สมกับการที่พวกเจ้าทำศึกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากสิ้นเสียงของฮ่องเต้งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างสนุกสนาน” “หวงไท่จื่อ” “เรียกข้าว่า หลี่หยาง ก็พอเพราะหลังจากนี้พวกเราจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วเรียกสั้นๆก็พอ” “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เรียกข้าว่าชิงเหมยแล้วเรียกน้องข้าว่าชิงอี้ก็แล้วกัน” “ได้ แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ” “ข้าแค่อยากจะถามท่านว่าท่านรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างพวกเรา เพราะตอนที่ตกลงกันทีแรกมีเพียงแค่ฝ่ายเราบีบบังคับให้ท่านต้องยอม” “สำหรับข้านั้นแต่งกับใครก็ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่ข้าได้ครองราชอย่างสงบสุขก็พอ” “แล้วที่ตำหนักของท่านมีนางสนมกี่คนแล้ว” ชิงอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆกับพี่สาวได้เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “ถ้าไม่นับพวกเจ้าที่เป็นหวงไท่จื่อเฟยกับหวงไท่จื่อผินก็มีขั้นเฉิงฮุยอยู่ห้าคนและขั้นเจาซวิ่นอยู่อีกหกคนทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นท่านพ่อท่านแม่หามาให้” “สำหรับพวกเรานั้นแต่งงานกันเพราะเรื่องราวส่วนตัวท่านจะมีมากน้อยเพียงใดพวกข้าไม่สนแต่โอรสคนแรกที่จะเกิดกับท่านต้องเกิดกับพวกเราคนใดคนหนึ่งก็ได้ท่านตกลงหรือไม่” “ข้าตกลงอีกอย่างยังไงข้าก็จะต้องมีทายาทกับพวกเจ้าเป็นคนแรกเพื่อสืบทอดบัลลังก์ต่อจากข้าอยู่แล้วเพราะต้องสืบทอดสายเลือดอันบริสุทธิ์ของตระกูลอู่ลู่ซินหยางกับตระกูลอูลาเร่อปาให้สืบสายเลือดนี้ต่อจากข้าอยู่แล้ว” “ถ้าตกลงเช่นนี้ก็ดีงั้นพวกเราก็กินเลี้ยงกันได้แล้วคนอื่นมองมาที่เราตาเป็นมันแล้ว” เมื่อกล่าวจบชิงเหมยก็คีบหมูย่างหอมๆขึ้นมาป้อนหวงไท่จื่อ อย่างน่ารักส่วนชิงอี้นางก็รินเหล้าป้อนนั่นก็ทำให้ทุกคนที่มองรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสามคนนั้นช่างคู่ควรกันยิ่งนัก แล้ววันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วในตอนนี้คือเช้าวันที่ 4 หลังจากงานเลี้ยงฉลองชัยชนะซึ่งเป็นวันอภิเษกสมรสของหวงไท่จื่อ กับท่านหญิงจากตระกูลอูลาเร่อปานั่นก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงทุกบ้านต่างก็จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข ตัดกลับมาที่ทางเจ้าสาวทั้งสองที่ในตอนนี้นั้นกำลังเตรียมตัวอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา “พวกเจ้าในยามนี้ไร้ญาติขาดมิตรเดี๋ยวข้าจะเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวให้กับเจ้าเอง”ฮองเฮาที่กำลังแต่งตัวให้กับชิงเหมยนางไม่เอ่ยออกมา “ขอบพระทัยฮองเฮาที่เมตตาเพคะ” “เหตุใดพูดจากันห่างเหินเช่นนี้อีกไม่นานเจ้าก็แต่งงานเป็นสะใภ้บ้านข้าแล้วเจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่แล้วพูดกับข้าอย่างสามัญชนเถอะ” “เจ้าค่ะท่านแม่”พวกนางทั้งคู่เอ่ยออกมาพร้อมกันนั่นก็ยิ่งทำให้ฮองเฮารู้สึกรักและเอ็นดูพวกนางมากขึ้นกว่าเดิม “ท่านหญิงทั้งสองช่างงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”ซูเพ่ยนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาที่ช่วยทั้งคู่แต่งตัวได้เอ่ยออกมา “ท่านป้าท่านก็กล่าวชมเกินไป” ชิงอี้ได้เอ่ยออกมาด้วยความเขินอาย ในตอนนี้ทั้งคู่นั้นสาก็สวมใส่อาภรณ์แต่งงานสีแดงที่ปักด้วยไหมทองเป็นลวดลายหงส์กางปีกอย่างวิจิตรงดงามพร้อมสวมใส่เครื่องประดับนานาชนิด “เอาล่ะได้ฤกษ์พิธีแล้วเชิญเจ้าสาวทั้งสองขึ้นเกี้ยวเพื่อไปตำหนักของหวงไท่จื่อได้แล้วเพคะ”อี้หลินกงกง กงกงหญิงที่เป็นอดีตนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาจากตระกูลอูลาเร่อปาได้เอ่ยบอกกับทุกคน “ถึงเวลาแล้วสินะงั้นไปเถอะเดี๋ยวข้าจะจูงมือพวกเจ้าไปขึ้นเกี้ยวตามพิธี” เมื่อกล่าวจบฮองเฮาก็นำผ้ามาคลุมศีรษะของทั้งสองคนแล้วจูงมือทั้งคู่ไปขึ้นเกี้ยวที่หน้าตำหนักทันที เมื่อทั้งคู่ขึ้นเรียบร้อยแล้วนั้นข้ารับใช้ก็แบกเยี่ยวเดินไปยังตำหนักของหวงไท่จื่อทันที ตลอดเส้นทางการเดินทางนั้นมีดอกไม้นานาชนิดโปรยนำหน้าแล้วมีเสียงดนตรีดังตลอดทางจนมาถึงหน้าตำหนักคุนหลุนซึ่งเป็นตำหนักของหวงไท่จื่อ เมื่อมาถึงหน้าตำหนักแม่สื่อที่เป็นคนเดินนำหน้านั้นก็เปิดม่านเพื่อให้เจ้าสาวลงจากเกี้ยว แล้วหลังจากนั้นก็มีเด็กน้อยชายหญิงเดินจูงมือเจ้าสาวเข้าไปร่วมพิธีภายในงาน และเมื่อแขกทั้งหมดที่มาร่วมงานในครั้งนี้ได้เห็นเจ้าสาวทั้งสองเดินลงมาจากเกี้ยวทุกคนก็แสดงท่าทางตกตะลึงในความงดงามหลังผ้าคลุมใบหน้านั้นกันถ้วนหน้า และเมื่อรัชทายาทได้เห็นเจ้าสาวของตนนั้นหัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรงโดยที่ความรู้สึกนี้เขาไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ในยามนี้ไม่รู้ว่าฮองเฮาเดินทางมายังไงเพราะพระนางนั้นได้มานั่งอยู่ข้างๆฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ในเมื่อเจ้าสาวมาถึงแล้วงั้นเริ่มพิธีได้” เมื่อทั้งคู่เดินมายืนอยู่ข้างหวงไท่จื่อฮ่องเต้ก็เอ่ยเพื่อเริ่มงานทันที “โดยผู้ทำพิธีในครั้งนี้คือเจ้าอาวาสวัดกานลู่ซึ่งเป็นวัดประจำราชวงศ์อู่ลู่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง” “บ่าวสาวคำนับฟ้าดิน”ผู้ทำพิธีได้เอ่ยออกมาเสียงดังด้านทำให้ทั้งสามไปทำความเคารพป้ายมากมายที่ตั้งอยู่ในศาล “บ่าวสาวคำนับบิดามารดา”เมื่อสิ้นเสียงนั้นทั้ง สามก็หันไปทำความคารวะผู้เป็นบิดามารดาทันที “บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อสิ้นเสียงนั้นทั้งสามคนก็หันหน้าเข้าหากันแล้วทำการคารวะซึ่งกันและกัน ที่นี้ต่อไปก็ถึงพิธียกน้ำชาเจ้าสาวทั้งสองพวกท่านจงไปชงชามาเพื่อทำความเคารพ” ผู้ทำพิธีได้เอ่ยบอกแกทั้งสองคนเพื่อเริ่มขั้นตอนต่อไป แล้วเมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นต่างก็หันไปชงน้ำชามาคนละกา โดยที่คู่แรกที่เข้าไปยกน้ำชาก่อนก็คือหวงไท่จื่อกับชิงเหมยแล้วเมื่อทั้งสองทำพิธีเสร็จแล้วนั้นหวงไท่จื่อก็หันกลับมายกน้ำชาพร้อมกับชิงอี้ในรอบที่สองเป็นการเสร็จพิธี “ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหออออ”ผู้ทำพิธีได้เอ่ยออกมาเสียงดังและเมื่อหวงไท่จื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นแล้วจับเชือกสีแดงที่อีกฝ่ายนั้นถืออยู่เดินพาคนทั้งคู่ไปเข้าห้องหอทันที แล้วส่วนเหล่าบุคคลข้างนอกนั้นฮ่องเต้ก็ได้เป็นคนเปิดฉลองดื่มเหล้ามงคลก่อนเป็นคนแรกนั่นทำให้แขกที่มาร่วมงานต่างก็ดื่มเหล้ามงคลพร้อมกินเลี้ยงกันอย่างมีความสุข “ท่านพี่ท่านว่าพวกเราจะได้หลานภายในเร็วๆนี้หรือไม่” ฮองเฮาได้หันไปเอ่ยกับสวามีของนาง “ข้าว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงเพราะตัวของพวกนางนั้นในใจก็อยากจะล้างแค้นแล้วถ้าจะล้างแค้นได้อย่างรวดเร็วนั้นคงจะต้องมีทายาทให้กับหวงไท่จื่อเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตน” “สำหรับข้านั้นข้าไม่สนหรอกว่าพวกนางจะยอมมีลูกเพราะอะไรขอแค่อย่างเดียวขอให้มีทายาทก็พอ”ฮองเฮาได้เอ่ยออกมา ตัดกับไปยังห้องหอที่ในตอนนี้ทั้งสามคนนั้นได้อยู่บนเตียงเดียวกัน “ท่านจะเปิดผ้าได้หรือยังข้าร้อนและอึดอัดเต็มทนแล้ว”ชิงอี้ที่เห็นว่าหลี่หยางนั่งนิ่งมาสักพักแล้วข้าก็ได้เอ่ยถามทันที “ข้าขอโทษด้วยข้าลืมไป”เมื่อกล่าวจบหวงไท่จื่อก็หันไปเปิดผ้าทั้งสองคน ในเมื่อทั้งสองคนถูกเปิดผ้าแล้วนั้นพวกนางก็รีบแกะเครื่องประดับพร้อมชุดชั้นนอกที่หนักอึ้งทันที “ข้าว่าพวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าแล้วค่อยคิดวางแผนว่าจะเอาอย่างไรดี”หวงไท่จื่อได้เอ่ยออกมาแล้วเดินตามไปที่โต๊ะที่ในยามนี้มีอาหารมากมายวางเต็มโต๊ะ และเมื่อคนทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยขัดแล้วลุกขึ้นไปตั้งร่วมกินข้าวกับหวงไท่จื่อ และเมื่อทั้งหมดกินเสร็จก็นั่งมองหน้ากันโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี “เดี๋ยวข้าจะไปนอนที่ห้องตำราพวกท่านทั้งสองจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่”หลังจากที่ทุกคนเงียบกันมานานชิงอี้ก็ได้เอ่ยออกมา “ชิงอี้นี่น้องพูดอะไรออกมา”ชิงเหมยได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เขินอายและใบหน้าที่แดง “ท่านพี่ข้ารู้ว่าท่านมีใจให้กับหลี่หยาง ข้าจะไม่ขัดขวางความสุขของท่านอย่างแน่นอน”เมื่อกล่าวจบนางก็ลุกแล้วเดินไปที่ห้องตำราซึ่งอยู่ข้างๆกัน ส่วนคนทั้งคู่นั้นก็มองหน้ากันไปสักพักแล้วหวงไท่จื่อก็จับมือของชิงเหมยขึ้นมาจูบก่อนที่ทั้งคู่นั้นจะค่อยๆล้มตัวลงนอนแล้วเริ่มผลิตทายาทกันจนถึงเช้า.......
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD