หลายวันต่อมา...
มิล่าไม่ได้ทำตามที่เคเรนด์สั่ง เธอไม่ได้มาหาเขาหลังจากวันนั้น ซึ่งความท้าทายของเธอทำให้มาเฟียหนุ่มไม่คิดจะอ่อนข้อให้อีกแล้ว ทว่าหลายวันมานี้พี่ชายเขาไม่ออกจากบ้านเลย ราวกับไม่มีการมีงานให้ทำ
“นายครับ...ผมไปแอบฟังมาว่าคุณคาลเวิร์ตจะไปงานเปิดตัวเพชรที่โรมวันพรุ่งนี้...”
“เหรอ เดี๋ยวกูจะไปหามิล่า” มาเฟียหนุ่มยกยิ้ม นี่แหละวันเวลาที่รอคอย ทว่า
“คุณมิล่าก็ไปครับ”
“ห้ะ!” เคเรนด์อุทานออกมาเสียงดัง เขาขมวดคิ้วยุ่ง พี่ชายเขากำลังจะเอาเธอไปเปิดตัวหรืออย่างไร ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่
“กูจะไปด้วย”
“เอ่อ...ตอนนั้นนายบอกว่าให้ปฏิเสธคำเชิญไม่ใช่เหรอครับ บัตรเชิญก็ไม่รับไว้” เคเรนด์หันขวับมามองหน้าลูกน้อง เรื่องนี้ไม่ได้ยากสำหรับเขาเลย
“มึงก็โทรไปหาเจ้าของงานสิ บอกว่ากูจะไป แค่นี้...” วิลเลี่ยมพยักหน้ารับ เคเรนด์ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้มาเสมอ เขาเป็นที่รู้จักในวงสังคมกว้าง เหล่าไฮโซในเมืองก็ต้องสยบแทบเท้า รวมถึงสาว ๆ ที่อยากได้เขาเช่นกัน
ขณะเดียวกันที่มิล่านั่งซึมอยู่ในห้อง ยาที่คนใจร้ายฉีดให้เธอเมื่อหลายวันก่อนทำให้รู้สึกแปลก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้เธอไม่ได้โหยหามันอย่างที่คิด ซึ่งเขาก็บอกแล้วว่าเธอจะยังไม่ติด แต่มิล่าก็รู้ว่าเขาพูดอย่างนี้เพียงเพราะอยากให้เธอไปหา ซึ่งก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าการที่จะไปหาเขานั้น เขาจะไม่ฉีดยานรกนั้นให้เธออีก
ครืดด ครืดด~
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ ๆ ก็กรีดร้องขึ้นทำให้หญิงสาวหันไปมอง ที่ประเทศไทยในเวลานี้คงดึกมากแล้ว ไยน้องสาวเธอถึงยังไม่นอน
ติ๊ด!
“ว่าไง ทำไมไม่นอนอ่ะ” ทันทีที่กดรับ มิล่าก็กรอกเสียงลงไปในทันที
[นอนไม่หลับค่ะ พี่ทำอะไรอยู่เหรอ] แพนเค้กว่าเสียงอ่อน ซึ่งเสียงของน้องสาวอ่อนอย่างนี้ทำให้คนเป็นพี่ใจหาย
“ไม่สบายเหรอ บอกพ่อหรือยัง” มิล่าลุกขึ้นยืน แพนเค้กเสียงแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี อดเป็นห่วงไม่ได้แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ ๆ แต่คุณพ่อของเธอรับแพนเค้กมาเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่เธอยังเป็นทารก ทำให้แพนเค้กนั้นเปรียบดั่งน้องสาวแท้ ๆ ของเธอ
[เปล่าค่ะ แค่คิดถึงพี่] มิล่าหัวเราะในลำคอ แพนเค้กวัยยี่สิบสี่ปีงอแงอย่างนี้ได้อย่างไร
“งอแงเหรอเรา เดี๋ยวพี่ฟ้องพี่อาเล็กซ์นะ”
[อย่านะคะ!] มิล่าตกใจเสียงร้องตะโกนของแพนเค้ก เธอดึงโทรศัพท์ออกจากหูในทันที ก่อนจะแนบใส่หูดังเดิม
“แสบแก้วหูหมดเลยแพน กลัวพี่เขาอะไรขนาดนี้”
[ก็พี่อาเล็กซ์ชอบดุ] น้ำเสียงอ่อน ๆ ของแพนเค้กทำให้เธอเอ็นดู แพนเค้กกลัวพี่ชายคนโตมาก ซึ่งพี่ชายของเธออายุเท่ากับคาลเวิร์ต แต่สนิทกับเคเรนด์มากกว่าเสียอย่างนั้น
“หึ ก็พี่เขาเป็นห่วงเราไง”
ไม่เห็นต้องมาเป็นห่วงกันเลย แพนไม่ชอบ...] มิล่าถอนหายใจ ไม่รู้ว่าแพนเค้กเป็นอะไรถึงไม่ชอบให้อาเล็กซ์ยุ่งด้วย ทั้ง ๆ ที่เธอก็เป็นน้องสาวของเขาอีกคน
[พี่คะ...พี่เคเรนด์ทำอะไรพี่อีกหรือเปล่าคะ] มิล่าชะงักไปเมื่ออยู่ ๆ เธอก็ยิงคำถามมา หญิงสาวไม่อยากบอกอะไรคนเป็นน้อง เธอก็เลยเงียบไป ทว่า
[พอดีแพนโทรหาพี่เขา แต่พี่เขาไม่รับค่ะ] คำพูดต่อมาของแพนเค้กก็ทำให้เธอไปไม่ถูก หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ สองคนนี้ยังคงติดต่อกันตลอดอย่างนั้นหรือ
[พี่มิล่า ได้ยินหรือเปล่าคะ]
“ดะ ได้ยิน”
[ถ้าเจอพี่เขาบอกให้ด้วยนะคะ ว่าเรื่องเรียนต่อที่พี่เขาบอกอ่ะค่ะ ฉันอยากไปเรียนแล้ว]
“ยังไงเหรอ”
[ก็เรียนต่อที่โรมค่ะ พี่เคเรนด์บอกจะทำเรื่องให้] มิล่าตกใจเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าแพนเค้กจะมาเรียนที่นี่
“ทำไมพี่ไม่รู้ล่ะ แพน...”
[แพนกลัวคุณพ่อไม่อนุญาต ก็เลยไม่บอกใคร พี่อย่าเอาไปฟ้องคุณพ่อนะ] น้ำเสียงปนเศร้าของน้องสาวทำให้เธอเงียบไป มิล่ายกมือขึ้นกุมใจดวงน้อย มันเป็นแบบนี้ไม่ถูกต้องเลยสักนิด
“พี่ไม่ได้คุยกับเคเรนด์แล้ว”
[เหรอคะ เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันได้นิ] มิล่าแค่นหัวเราะ เธอไม่อยากใจร้ายกับแพนเค้กเลย แพนเค้กน่าสงสาร แต่สิ่งที่น้องสาวเธอทำก็ผิด...แต่ทั้งหมดไม่ใช่น้องสาวของเธอผิดคนเดียว เพราะการตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง
“แล้วเราให้เขาทำเรื่องเรียนต่อให้ตั้งแต่ตอนไหนล่ะ...”
[ก็นานแล้วค่ะ]
“ติดต่อกันตลอดเหรอ...” มิล่ารู้สึกราวกับมีอะไรมาบีบอัดหัวใจ มันเจ็บแปล๊บ ๆ ยามพูดประโยคเมื่อครู่
“ค่ะ ทำไมเหรอคะ...”
[ปะ เปล่า...]
“อ๊ะ! แค่นี้นะคะ พี่เขาโทรมาพอดี...” อยู่ ๆ แพนเค้กก็พูดขึ้น ก่อนที่ต้นสายจะกดตัดไปในที่สุด และประโยคที่น้องเธอพูดเมื่อครู่มันก็ยืนยันความจริงที่เธอคิดอยู่แล้ว
มิล่าทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง ปากของเขาบอกรักเธอ แต่การกระทำของเขากลับสวนทาง
ภาพติดตาเมื่อห้าปีก่อนยังไม่เคยลืมเลือน มันเหมือนกับวนมาให้เธอเจ็บซ้ำ ๆ ตลอด น้ำตาสีใสไหลอาบแก้ม อยู่ ๆ ก็ไหลออกมาแม้ว่าจะไม่มีเสียงสะอื้นไห้ ซึ่งหญิงสาวก็คอยบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าจะไม่กลับไปรักคนใจร้ายคนนั้นอีก...
วันหยุดสุดสัปดาห์คงทำได้เพียงพาลูกออกมาเดินที่สวนสาธารณะในตอนเช้า มินตรานั่งยอง ๆ สวมรองเท้าผ้าใบขนาดเล็กให้กับกรุงโรม ผิวของเขาเริ่มแยกไม่ออกว่าขาวจากพันธุกรรมของคนเป็นพ่อหรือภาวะซีดจากโรค
“ดีใจไหมครับ” กรุงโรมพยักหน้า เขาไม่ได้อยากออกไปหรอก อยากนอนอยู่ในห้องเสียมากกว่า ความรู้สึกเหนื่อยอย่างไม่ทราบสาเหตุของเด็กเล็กทำให้เขาไม่อยากทำอะไร
“โรมอยากกินอะไรวันนี้ แม่จะแวะซื้อของที่ตลาดด้วย” หญิงสาวว่าพลางสอดมือเข้าใต้วงแขนเล็ก แต่กรุงโรมก็ขยับออกเสียก่อน เขายังไม่ตอบเธอเสียด้วยซ้ำ
“ผมอยากเดิน” มินตราส่ายหน้า ก่อนจะอุ้มลูกขึ้นเหมือนเดิม
“หนูจะเหนื่อยนะ แม่อุ้มน่ะดีแล้ว” กรุงโรมไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งในมือของเขามีหุ่นยนต์ขนาดเล็ก หญิงสาวยิ้มให้ทุกครั้งที่หันมามองใบหน้าของคนเป็นลูก เลี้ยงง่ายแบบนี้เธออยากอยู่กับเขาในทุก ๆ วันโดยไม่ต้องทำงาน
ครั้นมาถึงสวนสาธารณะไม่ไกลจากคอนโดผู้คนก็มองลูกชายเธอเป็นตาเดียว เด็กเล็กหน้าตาหล่อเหลาสะกดสายตาใครต่อใครได้เหมือนกับแม่ของเขา
“น่ารักจังเลยค่ะ กี่ขวบแล้วตัวเล็ก” มินตราหันไปยิ้มให้กับคนที่เดินออกกำลังกายไปมา
“โรมตอบพี่สาวสิ...”
“สองขวบฮะ” เขาว่าพลางยื่นมือไปโอบกอดรอบคอของเธอ ความเขินอายของกรุงโรมน่าเอ็นดูในสายตาเธอ ทว่า
“แม่ฮะ...”
“หืมม”
“ผมอยากเดิน” มินตราชะงักฝ่าเท้า เธอค่อย ๆ ย่อตัวลงปล่อยให้กรุงโรมได้เดินตามที่เขาขอ
“ถ้าเหนื่อยบอกแม่นะครับ” ใบหน้าเล็กพยักหน้าให้เธอ ตัวเล็กค่อย ๆ เดินข้าง ๆ แม่ของเขา ขณะที่มือเล็กก็ยกหุ่นยนต์ในมือขึ้นเหาะไปมาด้วย
มินตรามองหลังเล็กนั้น ขณะที่เรียวขายาวก็ก้าวขาเดินตามลูกไปด้วย เพราะโรคที่ติดตัวมาทำให้เขาเหนื่อยง่าย ร่างกายของเขาสร้างเม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ทำให้มันถูกทำลายตลอด กรุงโรมเลยมีภาวะซีดและออกซิเจนเลี้ยงร่างกายไม่พอ ทำให้เขาเหนื่อยง่าย ซึ่งเขาต้องรับเลือดทดแทนตลอด ขณะเดียวกันเลือดที่รับมามีอายุใช้งานไม่นาน ร่างกายของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเม็ดเลือดมาแทนด้วยแต่มันก็แทบไม่ได้ช่วยอะไร
เพราะร่างกายที่สร้างเม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ทำให้ต้องเปลี่ยนสเต็มเซลล์ที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างเม็ดเลือดใหม่ ปกติพี่น้องจะให้กันได้ แต่เธอมีลูกคนเดียวและสเต็มเซลล์ของเธอก็เข้ากับลูกไม่ได้ ซึ่งความหวังเดียวคงมาจากพ่อของเขา แต่ทำไงได้ กรุงโรมเกิดจากความรักของเธอคนเดียว และพ่อของเขากำลังจะแต่งงาน
มินตราเดินคิดอะไรเพลิน ๆ เธอเหม่อไปชั่วขณะโดยไม่ทันสังเกตว่าตัวเล็กเห็นอะไร
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกำลังขยับตัวไปมาทางด้านหน้าของเขา กรุงโรมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและใคร่อยากจะรู้ ฝ่าเท้าของเขาก้าวขาเดินเร็วขึ้น ดวงตากลมโตและเส้นผมน้ำตาลแดงไหวตามลู่ลม ก่อนที่เขาจะออกตัววิ่งเมื่อเห็นว่าสิ่งมีชีวิตนั้นกำลังวิ่งอยู่เหมือนกัน
การเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วของกรุงโรมทำให้มินตราหันกลับมาสนใจ เธอตาโตเมื่อเห็นตัวเล็กวิ่งอยู่
“โรม!! อย่าวิ่ง!” เสียงของคนเป็นแม่ตะโกนไล่หลัง ก่อนที่มินตราจะออกตัววิ่งเช่นกัน แน่นอนว่าขาเรียวยาวของเธอก็วิ่งทันคนเป็นลูก
หมับ!
“โรม!” กรุงโรมตัวปลิวตามแรงกระชากตัวของคนเป็นแม่ ใบหน้าซีดเซียวและเหงื่อท่วมตัวของกรุงโรมทำให้หญิงสาวตกใจ
“โรม...ทำไมไม่บอกแม่” เขาไม่ได้เพิ่งเหนื่อย เหงื่ออาบตัวอย่างนี้แสดงว่าเขารู้สึกเหนื่อยนานแล้ว
“แม่ฮะ ตัวอะไรก็ไม่รู้” นิ้วมือเล็กค่อย ๆ ยกขึ้นชี้ไปทางด้านหน้าของเขา ก่อนที่มินตราจะหันไปมองตาม
“เต่าลูก ฮึก...เหนื่อยไหม ดูเหงื่อสิ” เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเล็ก ผมของตัวเล็กชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดจนแทบไม่มีเลือดมาเลี้ยงนี้ทำให้มินตราอุ้มลูกของเธอขึ้น
“โรม...โรม!” อยู่ ๆ เขาก็เงียบไป ใจดวงน้อยของเธอรู้สึกราวกับมีอะไรมาบีบอัด เปลือกตาของโรมค่อย ๆ ปิดลง ซึ่งหญิงสาวก็ไม่รีรอที่จะยกมือขึ้นโบกแท็กซี่ที่วิ่งอยู่ข้าง ๆสวนสาธารณะ ครั้นจะโทรหารถพยาบาลก็เกรงว่าจะไม่ทัน ซึ่งโรงพยาบาลก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากนัก
“โรมได้ยินแม่หรือเปล่า โรม!” มินตราร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอโอบกอดร่างเล็กนั้นแนบอก ก่อนที่หุ่นยนต์ในมือของกรุงโรมจะหล่นลงพื้น
“ซุป...เปอร์แมน แม่...” ริมฝีปากของเขาพึมพำออกมาแม้เปลือกตาบางนั้นจะปิดลงแล้ว มินตราชะงักฝ่าเท้าเธอส่ายหน้าไปมา
“โรม ฮึก” มินตราอุ้มกรุงโรมพาดบ่าก่อนที่เธอจะขึ้นรถแท็กซี่ที่มาจอดให้เธอพอดี
“โรงพยาบาลค่ะ ฮึก...โรงพยาบาล” คนขับแท็กซี่เหยียบคันเร่งทันที เขาจอดให้เธออย่างไม่รีรอตั้งแต่เห็นหญิงสาวอุ้มลูกอยู่ในระยะไกล
“แม่ฮะ...ซุป...เปอร์แมนของ...โรม” น้ำเสียงของกรุงโรมแหบแห้ง มันแทบไม่มีเสียงออกมา
“เดี๋ยวแม่มาเอาให้นะ ฮึก ฮืออ~” เสียงร่ำไห้ของเธอดังออกมาอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรับเลือดมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาไม่เคยเป็นลมอย่างนี้มาก่อนซึ่งถ้าเป็นช่วงสิ้นเดือนเธอจะระมัดระวังมากกว่านี้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่
“โรม อย่าหยุดพูดสิ โรม..” มินตรากอดร่างเล็กของคนเป็นลูกแนบอก เธอลูบศีรษะของเขาพร้อมกับโน้มหน้ากดปลายจมูกลงกลางกระหม่อมเล็กนั้น
ใบหน้าซีดเซียวของเขาทำให้เธอส่ายหน้าไปมา อกเล็กสะท้อนขึ้นลงเบา ๆ มันเบามากจนเธอกลัวเขาจะหยุดหายใจ
“โรม...โรมไปหาพี่หมอนะ ฮึก..อืออ~” ร่างบางของมินตราสั่นเทา เธอแทบเสียสติ หญิงสาวกอดร่างเล็กของคนเป็นลูกแนบอกพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมของเขาไม่หยุด ราวกับกลัวว่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้กลิ่นนี้...