บทที่ 2 กรุงโรม

2190 Words
เวลาต่อมา... ร่างเล็กของเด็กชายวัยสองขวบนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย บนหน้าแขนซ้ายมีเข็มให้เลือดทิ่มอยู่ เขานอนหลับสนิทเช่นเดียวกับคนเป็นแม่ และทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาของหญิงสาวร่างบางคนหนึ่ง ลินินยืนมองเพื่อนสาวอยู่ที่ปลายเตียงของเด็กเล็ก ซึ่งเสียงของญาติผู้ป่วยคนอื่นก็ดังมากพอสมควรเพราะว่าเพื่อนของเธอดื้อที่จะให้ลูกพักที่หอผู้ป่วยรวม “มิน...” เสียงเล็กเอ่ยเรียกเพื่อนของเธอ เพราะนอนก้มหน้ากับเตียงนอนเช่นนี้จะทำให้ปวดเหมื่อยได้ ทว่าเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่นเสียที “ยัยมิน...” คิดได้ดังนั้นหญิงสาวเลยเข้าไปเขย่าตัวเพื่อนเธอ จนในที่สุดมินตราก็ตื่น “หือ...อ้อ มาแล้วเหรอ” มินตราฉีกยิ้มกว้างให้กับเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะมองเลยไปทางด้านหลังของลินิน “ไม่ได้เอาตัวเล็กมาเหรอ” “อยู่กับพ่อเขาน่ะ ข้างนอก” มินตราพยักหน้ารับ ในทุก ๆ เดือนการมาเจอกันที่โรงพยาบาลของเพื่อนสนิทมันไม่น่าดีใจสักเท่าไร ลินินมีครอบครัวที่สมบูรณ์นานครั้งกว่าจะได้นัดเจอกัน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวันที่เธอได้เจอเพื่อนสนิท “หมอว่าไง” “ก็...เหมือนเดิม ค่าเลือดไม่ดีขึ้นก็ต้องรับเลือดตลอด” มินตราตอบเพื่อนเสียงสั่น หน้าแขนเหนือข้อพับของลูกชายนั้นเขียวช้ำจากการโดนเข็มทิ่ม นานข้ามวันกว่าจะสามารถให้เลือดได้ต้องเจาะเลือดของลูกชายไปตรวจ ก่อนจะได้เลือดกลับมาให้อีกที นานเข้าตัวเล็กก็งอแงและหลับไปในที่สุด “แก...จะนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเลยเหรอ ออกไปสูดอากาศข้างนอกกับฉันไหม” “ฉันทิ้งเขาไม่ได้หรอก” มินตรายิ้มบาง ๆ ให้กับความหวังดีของเพื่อนสาว ก่อนที่ลินินจะนั่งลงข้าง ๆ เธอ “กรุงโรม...โรมเก่งจะตาย” ลินินยิ้ม มองเด็กชายผมน้ำตาลแดงด้วยสายตาชื่นชม เขาเติบโตมากับโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย แต่ก็สู้มาจนถึงวันนี้ได้ “ใช่ไหม เขาเก่งมาก” มินตรายกยิ้มขึ้น เธอกุมมือเล็กนั้นด้วยหัวใจที่ฟูขึ้นมา “เขาสู้มาก แกอย่าท้อนะ ติดขัดอะไรแกบอกฉันได้ตลอด” “หึ...” มินตราหัวเราะออกมาให้กับสิ่งที่ลินินพูด หญิงสาวไม่กล้ารบกวนเพื่อนหรอก ทว่า “ฉันพูดจริงนะ ถึงจะเป็นเงินผัวก็เถอะ แต่แกก็รู้ว่าเฮียอัทธ์เขายินดีช่วยแก” “ไม่เป็นไรหรอก โรคนี้ใช้สิทธิ์ช่วยเหลือจากรัฐบาลได้” “แต่แก...” “ฉันโอเค” มินตราพูดแทรกขึ้นพร้อมกับยิ้มให้คนเป็นเพื่อน “แค่แกมาเยี่ยมแบบนี้ทุกครั้งฉันก็เกรงใจจะแย่” “ฉันอยากมาเองแหละ แกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ” “รู้...ฉันมีโรม มีแก มีพ่อแม่อีก” “แต่พ่อแม่แกอยู่ต่างจังหวัด” “หืม วิดีโอคอลมาหาโรมทุกวัน” มินตราว่าพลางฉีกยิ้มกว้าง แม้ว่าลูกของเธอจะเกิดจากความตั้งใจของเธอคนเดียว ทว่าพ่อแม่ก็ยินดีกับเธอมากจนเธอไม่อยากจะเชื่อ “มิน...” ลินินมองหน้าคนเป็นเพื่อน เธอเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่มาก ลูกฝาแฝดชายหญิงของเธออายุสามขวบแล้ว การเป็นแม่คนพอลูกไข้แค่นิดเดียวหัวใจแทบสลาย ทว่าลูกชายของเพื่อนเธอกลับเกิดมาพร้อมกับโรคร้ายอย่างนี้ “ว่า? ...อะไรเนี่ยพูดมาแล้วก็เงียบตลอดเลย” ลินินไม่กล้าพูด หลายครั้งที่มินตราพยายามที่จะร่าเริง ความพยายามของเธอทำให้ลินินสงสารอย่างบอกไม่ถูก “ก่อนฉันจะมาที่นี่ ฉันไปหาพี่โนอาร์มา” มินตราชะงัก ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้แล้วว่าผลตรวจเป็นยังไง แต่ก็ยังถามเธอ ลินินไปคุยอะไรกับคุณหมอของลูกชายเธอ “แกจะพูดอะไรเหรอ” “คือ...แกก็รู้ใช่ไหมว่าโรคนี้รักษาไม่ได้ก็จริง แต่มันสามารถทำให้หายขาดได้ถ้า...” “ฉันก็รอสเต็มเซลล์ที่เข้ากันได้กับลูกอยู่” มินตราเอ่ยพูดขึ้น เธอก็รออย่างมีความหวังเช่นเดียวกันกับผู้ป่วยธาลัสซีเมียคนอื่น “แต่...แก” “หืม?” “คือ...แกไม่ลองตามหาพ่อของโรมอ่ะ คุณหมอบอกว่ามันมีโอกา...” “แกไม่เข้าใจฉัน” มินตราเบือนหน้าหนี เธอไม่กล้าสบตากับลินินขณะเดียวกันที่รู้สึกผิดต่อลูกชายเช่นกันที่สามารถทำได้แค่นี้ “แต่...” พรึ่บ! “ฉันขอไปสูดอากาศข้างนอกก่อน” ลินินยังไม่ทันพูดอะไรมินตราก็ลุกขึ้นก่อนที่เธอจะเดินออกไปข้างนอกในทันที แม้มินตราจะไม่แสดงความโกรธบนใบหน้าแต่ลินินก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินตามไป ลินินไม่ได้เข้าไปหาเพื่อนของเธอในทันทีที่เดินมาเจอมินตราที่สวนดอกไม้หน้าตึกหอพักผู้ป่วยเด็ก แผ่นหลังบางที่สั่นเทิ้มของคนเป็นเพื่อนก็ทำให้เธอไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหาอย่างที่ใจหวัง ลินินอยากให้มินตรากล้าพอที่จะไปคุยกับพ่อของกรุงโรม แม้จะไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหม แต่อย่างน้อยเธอก็อยากให้มินตราได้ลอง “มิน...แกโกรธฉันหรือเปล่า” มินตราค่อย ๆ หันหน้ามามองลินิน เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่หรอก ฉันแค่เสียใจที่ไม่กล้ามากพอ ขณะที่ลูกฉันอาการก็ไม่ดีขึ้น” “_” “มันแย่มาก ๆ ที่ฉันทำได้แค่รอ” “ฉันขอถามหน่อยได้ไหม คุณ...เอ่อ คุณคาลเวิร์ตเหรอที่เป็นพ่อของโรม” “_” มินตรารู้ว่าเพื่อนของเธอรู้อยู่แล้ว ดีเอ็นเอสีผมชัดขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่พร้อมเล่าอะไรให้เพื่อนของเธอฟัง จนถึงวันนี้ที่เธอคิดว่าควรจะเล่าให้ฟังไม่เช่นนั้นลินินก็จะเอาแต่ถามเธอไม่หยุด “เขาเกิดจากความตั้งใจของฉันคนเดียว ฉันทำเขาขึ้นมาจากหลอด แกรู้ปะ...ว่ามันแย่แค่ไหน” “_” “ฉันทำงานที่ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ก่อนจะทำฉันต้องตรวจหลายอย่างว่าคนไข้มีโอกาสจะเป็นธาลัสซีเมียไหม” มินตราเหม่อมองพุ่มดอกไม้ตรงหน้าขณะที่ริมฝีปากของเธอก็ขยับพูดไปด้วย “แต่แกรู้ปะ พอฉันมาทำลูกของตัวเองฉันกลับ...ไม่ตรวจเลย” “_” “ฉันประมาทแค่ไหน และที่ฉันจะบอกแกคือ...เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูก เขาไม่ได้เป็นคนทำให้ฉันท้อง...” “แก...” “ฉันทำของฉันเอง” ลินินตกใจ หญิงสาวอ้าปากค้างให้กับสิ่งที่ได้ยิน มิน่ามินตราถึงไม่กล้าเลยที่จะบอกพ่อของกรุงโรม เพราะเขาคนนั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเพื่อนของเธอท้อง...แถมยังเป็นเด็กหลอดแก้ว* @Sicily, Italy เคเรนด์ คาร์น ชายหนุ่มลูกครึ่งอิตาลี-ไทย ในวัยสามสิบสามปี นัยน์ตาสีดำสนิทกับดวงตารีคมของเขาทำให้ใครหลายคนที่มองมานั้นต้องหลบสายตา เขาชอบเพ่งเล็งและไม่เคยหลบสายตาใคร วายร้ายที่ใครต้องพูดถึงในวงการตลาดมืด นักเจรจามือหนึ่งสำหรับการเป็นพ่อค้าอาวุธ บนดินบอกว่าเขาค้าอาวุธอย่างถูกกฎหมาย ส่งออกอาวุธทุกชนิดไม่ใช่เฉพาะแค่ปืนให้กับสงครามทั่วทั้งโลก ทว่าใต้ดินบอกว่าเขาค้าอาวุธเถื่อน และเป็นอาวุธทำลายล้างสูง ใบหน้าซีดขาวแทบไม่มีเลือดมาเลี้ยงของเขานิ่งเรียบยามได้ยินรายงานจากลูกน้องคนสนิท มิล่าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ร่างกายบอบช้ำอีกไม่นานจะหาย ทว่าหากมีแบบนี้อีกครั้งร่างกายเธอจะอักเสบ หากทำซ้ำ ๆ จะกลายเป็นอักเสบเรื้อรัง “โทรศัพท์ฉันอยู่ไหน” เคเรนด์เงียบไปหลังจากที่ได้ฟังรายงานจากคนเป็นลูกน้อง ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามถึงโทรศัพท์ “อยู่กับผมครับ...” “โทรหาเพียงฝันให้ฉัน” วิลเลี่ยมจัดการโทรหาพี่สาวของเจ้านายในทันทีที่เขาสั่งการ ซึ่งต้องโทรย้ำหลายครั้งกว่าอีกฝ่ายจะรับ “รับแล้วครับ” มาเฟียหนุ่มยื่นมือไปรับโทรศัพท์ทันที เขายกโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นแนบหู [ฮัลโหล เคเรนด์] “ทำอะไร” [อยู่โรงพยาบาล มีอะไรเหรอพี่ทำงานอยู่น่ะ] มาเฟียหนุ่มกลอกตามองบน พี่สาวเขาทำงานเพื่อไถ่บาปให้ครอบครัวหรืออย่างไร ในแต่ละวันอาวุธที่ถูกส่งออกในชื่อของตระกูลฆ่าคนเป็นว่าเล่น ส่วนพี่สาวที่อายุมากกว่าเขาถึงสี่ปีกลับทำงานช่วยเหลือคนอยู่ได้ [ฮัลโหล...ทำไมเงียบ ฮัลโหลๆ] “...รู้ไหม งานแต่งงานของมิล่าวันไหน” [เอ๊ะ? แด๊ดดี๊ไม่ได้บอกเหรอ ว่าเลื่อนมาวันคริสต์มาส] เคเรนด์กำโทรศัพท์แน่นทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แสดงว่ามีแค่เขาที่ไม่รู้ [พี่ต้องลางานเพิ่มเลยรู้ไหม งงเหมือนกันอยู่ ๆ ก็เลื่อนแบบนี้ เห็นบอกอยากให้คาลเวิร์ตมีลูกไว ๆ แต่ว่ามีก่อนแต่งก็ได้นิ ไม่ยา....] ติ๊ด!! เพล้ง!! “มีลูกเหรอ มีลูกกูจะฆ่าลูกแม่ง!!” วิลเลี่ยมตกใจเสียงตะคอกจากเจ้านาย แม้จะเคยชินกับการตะคอกเสียงและเขวี้ยงโทรศัพท์เช่นนี้แต่พอได้ยินว่าจะฆ่าเด็กก็ทำเอาตกใจอยู่เหมือนกัน “นายครับ...อีกหนึ่งชั่วโมงมีไปส่งของครับ” “ไม่ไป...บอกมันว่าไม่ขาย” “อะไรนะครับ” วิลเลี่ยมเงี่ยหูฟังอย่างไม่อยากจะเชื่อหู อยู่ ๆ จะยกเลิกงานแบบนี้ได้ยังไง “พวกมันทำอะไรอยู่” “ใครครับ ถ้าหมายถึงลูกค้าก็น่าจะมารอแล้วครับ” “ไม่ใช่ มิล่าทำอะไรอยู่” “ไม่ทราบครับ ผมอยู่กับนายตลอด” เคเรนด์หันขวับไปมองลูกน้องคนสนิททันที “ไม่รู้ มึงก็ไปดูสิวะ! อยู่ใกล้กันแค่นี้” วิลเลี่ยมก้มหน้าลง เขาเผลอพูดออกไปด้วยความเคยชิน แม้ว่าเจ้านายจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็มีบางครั้งที่เจ้านายของเขาชอบที่จะพูดคุยกับเขาเหมือนเพื่อน ทำให้เผลอพูดออกมาอย่างไม่ทันระวัง “ครับ...” ทว่า “ไม่ต้อง กูไปเอง” เคเรนด์ว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกไปวิลเลี่ยมก็เอ่ยพูดขึ้นเสียก่อน “ผมดักฟังจากคลื่นวิทยุของทางนั้นบอกว่าถ้าเห็นนายเดินเข้าใกล้สองร้อยเมตรให้บอกคุณคาลเวิร์ตครับ” “อะไรนะ” “คนเต็มบ้านเลยครับ” “แล้วยังไง มันจะฆ่ากูหรือไง” เคเรนด์แค่นหัวเราะ พี่เขาทำได้แค่ตีเขานั่นแหละ ทำอะไรได้มากกว่านี้คงไม่ได้ “ฟ้องไปสิ กูจะฟ้องพ่อกูเหมือนกัน” เขาว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน ท่าไม้ตายของเขาคงหนีไม่พ้นการฟ้องบิดาหาว่าพี่รังแก ซึ่งอีกฝ่ายก็เป็นคนเงียบไม่พูดไม่จา “ครับ แต่คุณคาร์นบอกไม่ให้ใครโทรหาตอนนี้” “ก็โทรหาแม่สิวะ!” วิลเลี่ยมกลืนน้ำลายลงคอ จะผ่านมากี่ทศวรรษเจ้านายเขาก็คงเป็นที่หนึ่งของการฟ้องพ่อแม่อยู่เหมือนเดิม เข้าทางเขาตลอดเพราะพี่ชายเป็นคนไม่ชอบฟ้อง และชอบเงียบแม้จะไม่ใช่ความจริง “นายจะไปจริง ๆ เหรอครับ” “ทำไม...” “คือลูกค้ามารอแล้วน่ะครับ” “กูไม่ขาย! บอกพวกมันว่าถ้ารอไม่ได้ก็ไม่ต้องมาซื้อ” เคเรนด์กระแทกเสียงออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องของเขาเพื่อไปยังคฤหาสน์อีกหลังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกัน ขณะเดียวกันที่คาลเวิร์ตยังไม่ออกไปคาสิโนของเขาเพราะเป็นห่วงคู่หมั้นสาว มาเฟียหนุ่มยืนมองตึกอีกตึกหนึ่งผ่านกระจกกันกระสุนในห้องนอน ก่อนที่เขาจะเห็นร่างหนาของเคเรนด์กำลังเดินมาทางคฤหาสน์ของเขา “ฉันจะย้ายไปอยู่กับมิล่าที่ไทย” “อะไรนะครับ” มาร์โคตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ในตอนแรกเจ้านายบอกว่าจะแต่งงานอยู่กินกับเธอที่นี่ และจะเอาน้องชายของเขาให้อยู่หมัด คาลเวิร์ตบอกว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมรับความจริงนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างต้องเลื่อนเข้ามา “บอกมินตราว่าฉันจะพามิล่าไปทำเด็ก...” *การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย หรือการทำเด็กหลอดแก้ว หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษสั้น ๆ ว่า IVF (In-vitro Fertilization) เป็นการนำไข่และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ จากนั้นจึงจะนำไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ย้ายกลับเข้าไปในมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD