“คิดเองอีกแล้ว! ข้าเอ็นดูเหม่ยฟางเสมือนคนในครอบครัวก็เท่านั้นเอง คิดหรือว่านางมีความสุขที่พี่สาวถูกพรากไปจากบ้านต้าหวังอย่างกะทันหัน ซ้ำยังใจร้ายไม่เคยติดต่อกลับมาจนเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่านานถึงห้าปี นางต้องเติบโตอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางกฎระเบียบอันเข้มงวดเพียงลำพัง เจ้าคิดว่าข้าควรละเลยไม่สนใจนางเช่นนั้นหรือ”
อดีตแม่ทัพจ้องหน้าผิงอันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ร่างบางนิ่งเงียบด้วยรู้ดีว่าผู้เฒ่าทั้งสองคงทำให้เหม่ยฟางอึดอัดจริงดั่งเขากล่าว
“จงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี หากมีใครหาญกล้าแตะต้องเหม่ยฟางแม้เพียงปลายเล็บ มันผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบอย่างหนัก คอยดูก็แล้วกันว่าข้านั้นเก่งแต่เพียงลมปากหรือไม่”
ลู่เหวินเจี๋ยเอ่ยเสียงเบาแต่ทรงพลัง ร่างสูงขึ้นม้าจากไปพร้อมกับความสงสัยว่าเหตุผิงอันถึงได้ดื้อดึงให้น้องสาวบุญธรรมร่วมเดินทางไปยังเมืองหลวง
ผิงอันนึกสงสัยว่าลู่เหวินเจี๋ยจะทำเช่นไร หากทราบว่าคนที่อาจหาญแตะต้องเหม่ยฟางคือองค์ชายหวังจื่อเทียน เขาคงต้องละเว้นองค์ชายรองเพราะยศถาบรรดาศักดิ์ที่แตกต่าง และนั่นหมายความว่านางจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว ทว่ามิทันได้จินตนาการถึงบทลงโทษที่จะได้รับ คุณหนูใหญ่ของบ้านก็ถึงกับคอแห้งผากเสียแล้ว
ร่างบางฝืนยิ้มให้กับคนที่วิ่งเข้ามาปลอบใจ แม้เหม่ยฟางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ก็ยังเผื่อเวลามาห่วงใยผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อตรองดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด หากนางสละความต้องการส่วนตัวตั้งแต่ต้นและยอมฝืนทำหน้าที่ภรรยา น้องสาวบุญธรรมผู้นี้ก็คงไม่ต้องลำบากใจ
ในอดีตลู่เหวินเจี๋ยคือแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล รุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่ากลับอับโชคเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว เขาสูญเสียคนในครอบครัวเกือบทั้งหมดเพราะโรคระบาด ในขณะที่ออกนำศึกเพื่อปกป้องประเทศ ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจจนด้านชา
เขาลาออกจากงานราชการและใช้เวลาว่างที่ช่วยเหลือหัวเมืองตามชายแดนที่ประสบปัญหาทางธรรมชาติ แม้เกษียณงานจากเมืองหลวงนานแล้ว ทว่าก็ยังคงมีบทบาทหน้าที่ไม่ต่างจากเดิมนัก
หากเหม่ยฟางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาคงต้องจำยอมกลับเข้าวังหลวงอย่างเสียมิได้ อดีตแม่ทัพภาวนาให้องค์ฮ่องเต้ยังมีเมตตาต่อเขาอยู่และไม่ถือโทษกับเรื่องราวที่เคยก่อไว้ในอดีต
ร่างสูงถึงกับส่ายหน้าเมื่อนึกถึงคุณหนูผิงอัน คำครหาเรื่องรัชทายาทอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นางดูดื้อรั้นมากกว่าในวัยเยาว์เสียอีก ลู่เหวินเจี๋ยเร่งควบม้าด้วยหวังว่าความเร็วจะทำให้เขาคลายกังวลจากเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ได้บ้าง
อาโปสาวใช้ประจำของตัวเหม่ยฟางถึงกับต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินว่าอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ตลอดการเดินทางนายสาวมีอาการซึมเศร้าราวกับคนป่วยทางใจ พอเจออากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจึงมีไข้เข้ารุมเร้าให้ป่วยทางกายเพิ่มเติมไปด้วย
ร่างกายของเหม่ยฟางยังอ่อนแออยู่ก็จริง แต่ก็พอสังเกตได้ว่าตำหนักที่ตนต้องเข้าพักกลับมิได้อยู่ภายในวังหลวงอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ขบวนของนางหยุดอยู่หน้าตำหนักขนาดกลางนอกเมือง ทราบในภายหลังว่าองค์ชายหวังจื่อเทียนได้ย้ายมาพำนักที่ตำหนักเหลียนฮวาเป็นการถาวร เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวหลังจากพิธีสมรสเสร็จสิ้น
“ดื่มยาบำรุงให้ตรงเวลาและพักผ่อนให้มาก ไม่เกินสองราตรีก็จะดีขึ้น” หมอประจำบ้านยืนยันว่าเหม่ยฟางเพียงแค่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและจะหายดีในไม่ช้า กลิ่นหอมของดอกไม้ที่หอมอบอวลอยู่ทั่วทั้งตำหนักก็มีส่วนช่วยให้คนป่วยอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าปล่อยให้องค์ชายเข้าใจผิดไปว่าเจ้าคือสาวใช้ เพราะท่านพ่อคงจะสบายใจมากกว่า หากได้ยินว่าองค์ชายต้องการให้อาโปกลับไปปรนนิบัติที่เมืองหลวง เจ้าคงต้องหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นหน่อย ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้องค์ชายเข้าใจได้ผิดเช่นนี้” ผิงอันกำชับให้เหม่ยฟางใช้สติปัญญาให้มาก เพราะองค์ชายหวังจื่อเทียนไม่ใช่คนที่รับมือกับเรื่องโกหกหลอกหลวงได้ดีนัก
“ท่านพี่โปรดอย่ากังวล เมื่อถึงเวลาข้าจะหาทางอธิบายเรื่องนี้เอง” ค่ำคืนที่วาบหวามยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เมื่อระลึกถึงวาจาที่องค์ชายใช้เกี้ยวพาราสีก็ให้รู้สึกเขินอายจนใบหน้าแดงจัด เหม่ยฟางไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพิษไข้หรืออะไรกันแน่ที่ทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว
“หากทราบความจริงแล้วคงจะโกรธน่าดู อาจถึงขั้นปฏิเสธไม่ยอมร่วมเตียงเคียงหมอน แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าความงามและสติปัญญาของเจ้าจะทำให้องค์ชายใจอ่อนได้ในที่สุด”
ผิงอันเลือกที่จะไม่กล่าวถึงข้อตกลงที่นางใช้ผูกมัดองค์ชายรองให้อยู่ร่วมตำหนักเดียวกับเหม่ยฟาง เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่น่ารอดจากบ่วงเสน่หานี้
หวังจื่อเทียนใช้เวลาตลอดบ่ายฝึกการผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ ผู้คนต่างทราบโดยทั่วกันว่า องค์ชายรองคือต้นแบบของคำว่าสุภาพบุรุษที่ดี แตกต่างจากพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างสิ้นเชิง ทว่าคืนนี้เขามิอาจฝืนความต้องการของตนได้อีก จึงออกคำสั่งให้อาโปเข้ามาปรนนิบัติทันทีที่ตะวันลับฟ้า
ร่างสูงในชุดนอนสีขาวสัญญากับตนเองว่าจะใช้วาจาหว่านล้อมให้นางสมยอมแต่โดยดี ทว่าเมื่อคิดถึงใบหน้าตื่นตระหนกของนางที่เขาเฝ้ารอมามากกว่าสิบราตรีแล้ว ก็บันดาลให้เกิดอารมณ์ปั่นป่วนและปรารถนาที่ก้าวออกจากกรอบของประเพณีที่ล้อมรอบตนไว้โดยเร็ว
องค์ชายรองหมายมั่นว่าจะเอ่ยคำขอโทษที่ล่วงเกินอาโปกลางป่ากลางสวน และสอบถามถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อชายขี่ม้า ทว่าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่ตรงหน้าห้อง เขาก็ได้ลืมเลือนทุกอย่างไปเสียสิ้น ใบหน้าหล่อเหลาหุบยิ้มเมื่อหันมาเจอสาวใช้ผู้หนึ่งนั่งหน้าแป้นรออยู่ หวังจื่อเทียนคาดเดาว่านางคือคุณหนูเล็กจากบ้านต้าหวังไม่ผิดแน่
“คืนนี้ข้าต้องการตัวอาโป เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
หวังจื่อเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ห้วนจนเกินไปนัก ถึงอย่างไรเสียเหม่ยฟางก็คือลูกหลานของเสนาบดีเจิ้งอี้เหยียน เขาจึงไม่ควรหักหาญน้ำใจนางจนเกินไป แต่หลังจากนี้คงจะต้องคุยกับผิงอันเสียหน่อยว่า นี่หรือความงามที่มิสามารถละสายตาได้
“อาโปขออนุญาตรายงานองค์ชาย ตอนนี้อาการของคุณหนูดีขึ้นมากแล้ว หมอประจำบ้านกล่าวว่า พักอีกสองวันก็น่าจะเข้ามาถวายงานได้” อาโปนึกว่าองค์ชายรองเรียกนางมาถามไถ่อาการของคุณหนู จึงเร่งรีบถวายรายงาน
“อยากเล่นตลกก็ไปโรงน้ำชาหรืออยากกลับไปเล่นที่บ้านต้าหวังก็ตามใจเจ้า ฝากบอกผิงอันด้วยว่านางกำนัลขององค์ชายใหญ่ยังงดงามกว่าน้องสาวของนางมากนัก”
น้ำเสียงของหวังจื่อเทียนราบเรียบ ทว่าถ้อยคำบาดใจคนฟังยิ่งนัก เขายังคงแปลกใจที่คุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังทำหน้าราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ
“ทูลองค์ชาย ข้อแรกข้าน้อยมิปรารถนาจะเล่นตลกที่โรงน้ำชาหรือบ้านต้าหวัง เพราะต้องดูแลคุณหนูเหม่ยฟางที่กำลังป่วย ข้อสองหากคุณหนูงดงามมิเท่านางกำนัล เหตุใดองค์ชายจึงจู่โจมจนนางต้องวิ่งหนีออกจากสวนกลางดึกเล่า”
อาโปลมออกหูเพราะองค์ชายรองเอ่ยวาจาดูถูกคุณหนูของตน ความโกรธทำให้นางลืมตัวเอ่ยวาจายอกย้อน และคงต้องถูกลงโทษอย่างหนัก หากคนฟังไม่ตกใจกับข้อมูลเสียก่อน
องค์ชายหวังจื่อเทียนตระหนักได้ในนาทีนั้นเองว่า แท้ที่จริงแล้วสาวงามที่เขาตามหามิใช่อาโป แต่กลับเป็นคนที่เขานึกรังเกียจและหลีกเลี่ยงการพบหน้ามาโดยตลอด ร่างสูงสาวเท้าตรงไปยังห้องรับรองของคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวัง อาโปที่ตามมาติดๆ ถูกสั่งให้รออยู่ข้างนอกอย่างไม่เต็มใจนัก
ใบหน้าของเหม่ยฟางดูซีดเซียว ทว่าความงามกลับมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เสียงประตูที่ถูกผลักอย่างแรงทำให้คนที่ยังพอมีสติอยู่ฝืนประคองตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง ร่างบางดึงผ้าห่มขึ้นสูงเพื่อปิดบังคอเสื้อที่เปิดกว้างอยู่ เลือดของนางแทบจับตัวเป็นน้ำแข็ง เมื่อพบว่าผู้บุกรุกคือองค์ชายหวังจื่อเทียนและใบหน้าของเขาเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว
“องค์ชายโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย”
เสียงหวานปานน้ำผึ้งทำเอาคนฟังลืมความโกรธไปเสียสิ้น ดวงตากลมโตนั้นแดงก่ำเพราะพิษไข้ที่ทรมานนางมาเสียหลายวัน เหม่ยฟางเอ่ยขอโทษอยู่สองสามประโยค ทว่าองค์ชายรองกลับมิสามารถจับใจความสำคัญของมันได้ เขาปรารถนาเพียงอยากจะขบริมฝีปากอันซีดเผือดให้มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
หวังจื่อเทียนรู้สึกอย่างผิดท่วมท้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความกลัวของร่างบางที่อยู่ตรงหน้า เมื่อระงับความต้องการได้ก็นึกโกรธตนเองที่ใช้อำนาจล่วงเกินคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังมาโดยตลอด คิดได้อย่างไรกันว่าสตรีที่มีความงามราวกับเทพธิดาและผิวพรรณผุดผ่องดั่งงาช้างจะเป็นเพียงหญิงรับใช้ธรรมดา
“ข้าเพิ่งทราบจากอาโปเดี๋ยวนี้เองว่าเจ้าคือคุณหนูเหม่ยฟางแห่งบ้านต้าหวัง ข้าประพฤติตัวต่ำทรามและใช้อำนาจล่วงเกินเจ้ามาโดยตลอด ต่อจากนี้ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสมเกียรติ ชดใช้ความผิดที่เคยก่อเอาไว้” ร่างสูงเอ่ยวาจาน่าฟังหลังจากที่เสียเวลาตั้งสติและเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่ใหญ่
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดย่อมมิอาจถือโทษ”
เหม่ยฟางเผยยิ้มแรกในรอบหลายวัน ด้วยอารมณ์ดีใจจึงมิทันระวังตัว ปล่อยให้ผ้าห่มที่คลุมร่างเลื่อนลงและเผยเห็นเนินอกรำไรออกสู่สายตาบุรุษตรงหน้า หวังจื่อเทียนเสมองไปทางอื่นเพื่อข่มความปรารถนาที่ยากจะดับลงได้โดยง่าย
“อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ร่วมมือกันโกหกข้า ล้อเล่นกับความรู้สึกกันเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ” องค์ชายรองเอ่ยความในใจก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ดวงตากลมโตคู่นั้นทำให้หวังจื่อเทียนลืมทุกอย่างที่ต้องการเอ่ย เขาจึงหลีกเลี่ยงการสบตายามต้องการสนทนาถ้อยความสำคัญ
คุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังหมายมั่นที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่กลับต้องทรุดตัวลงแทบจะในทันที หวังจื่อเทียนตรงเข้าประคองตามสัญชาตญาณ ดวงตาเรียวยาวมิอาจหลีกเลี่ยงจากเนินอกอิ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาทำได้เพียงกัดฟันเพื่อข่มความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เหม่ยฟางทราบในตอนนั้นเองว่าชุดของตนนั้นหลุดลุ่ย จึงรีบกระชับคอเสื้อเพื่อปิดบังของสงวน
“เมื่อครู่อาโปเช็ดตัวให้ข้า ยังมิได้จัดการให้เรียบร้อยก็ถูกเรียกตัวไปเสียก่อน” เหม่ยฟางรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนเริ่มมีสีสันเพราะความเขินอาย ด้านหวังจื่อเทียนกลอกตาให้กับตนเองที่อ่อนไหวไปกับความน่ารักของนาง เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและผูกเชือกของเสื้อนอนทั้งสองด้านเข้าหากัน ก่อนจะถอนตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว
“พักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อนแล้วค่อยคิดยั่วยวนข้าในภายหลัง มิใช่มาเชื้อเชิญกันไม่เลือกเวลาแบบนี้” ร่างสูงหอบหายใจแรงเนื่องจากรู้สึกว่าส่วนล่างนั้นตื่นตัวจนยากจะควบคุม เขาต้องการฉีกกระชากชุดนอนของนางออกและเปลี่ยนความหนาวเหน็บให้กลายเป็นเร่าร้อนดั่งไฟเผา
แต่เมื่อมิอาจทำได้อย่างใจหวัง ร่างสูงจึงแสร้งทำเป็นโกรธเคืองและผลักประตูอย่างแรง ก่อนจะรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องนอนของเหม่ยฟางไป
นับเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้วที่องค์ชายหวังจื่อเทียนจ้องมองไปยังเตียงอันว่างเปล่า ปากของเขาบอกกับตนเองว่าอิสรภาพนั้นสำคัญกว่าความปรารถนามาก แต่ภายในใจกลับอยากจะย้อนไปขยี้กุหลาบดอกนั้นให้ย่อยยับไปกับมือ