EP03
-ลิ้มรสรักครั้งที่3-
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ฉันจมดิ่งเข้าสู่ความมืด รู้สึกตัวอีกทีหูสองข้างก็ได้ยิ่งเสียงของเครื่องสักซึ่งกำลังถูกใช้งานดังก้องไปทั่ว พานให้เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยยกขึ้นช้าๆ พาฉันกลับสู่โลกความจริงอีกครั้ง
ฉันกลอกตามองไปรอบตัวก่อนพบว่าตอนนี้ฉันยังอยู่บนเตียงในห้องสักสำหรับลูกค้า อาการปวดหนึบจู่โจมเข้าสู่ร่างกายทันทีเมื่อเริ่มขยับตัวพานให้องหยุดทุกการกระทำของตัวเองลง ทำได้แค่มองสำรวจเครื่องแต่งกายซึ่งยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวานแต่มีหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย
เห็นเพียงแค่นั้นในหัวก็เริ่มประมวลภาพความทรงจำทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น และการที่สมองเริ่มคิดมันก็เลยทำให้ทั่วหน้าเริ่มร้อนขึ้น ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายฉันในห้องๆนี้
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเรียนจบล่ะ?” เสียงเข้มของพี่คำรามที่ดังมาจากด้านนอกห้องที่ฉันนอนอยู่ หยุดความคิดน่าอายลง ส่วนหูก็เงี่ยฟังโดยอัตโนมัติ
“อีก 2 ปีว่ะพี่”
“นานฉิบ”
“สักเยอะแบบนี้ จบไปมึงจะทำงานไรวะเกอร์?”
“ไม่รู้ว่ะพี่ ใจแม่งอยากทำเบื้องหลัง แต่งานสักก็อยากทำ”
“งานสัก ถ้าอยากทำมึงก็มาทำที่ร้านกู เรื่องเทคนิคเดี๋ยวสอนให้” พี่คำรามกำลังคุยกับใครบางคนอย่างสนิทสนมและคาดว่า คนๆ นั้นน่าจะเป็นลูกค้าที่เข้ามาสักในร้านนั่นแหละ
แต่ไม่นานเสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังแทรกบทสนทนาของคนทั้งคู่ ก่อนตามมาด้วยเสียงทักทาย
“พี่โตหวัดดี!”
แค่ได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้น ใจฉันมันก็เริ่มสั่นไม่หยุด
“มาต่อลายปลายแขนเหรอมึง” ยิ่งได้ยินเสียงเขาก็ยิ่งแล้วใหญ่ ลมหายใจเหมือนจะหอบถี่ลง เมื่อในหัวนึกถึงสิ่งที่เขาทำกับตัวฉันเมื่อวาน “Damaged คำเจ๋งดีนี่หว่า มึงจะไปทำลายใครเขาว่ะ ฮ่าๆ”
“เยอะว่ะพี่ ที่มหา’ลัยมีแต่พวกน่าโดนทำลาย ฮ่าๆ”
“ไอ้เวรนี่มันร้าย ฮ่าๆ” พวกเขาสามคนดูสนิทสนมกัน แต่แล้วไม่นานเสียงพี่โตก็ดังขึ้นอีก
“เดี๋ยวกูมา ทำธุระแป๊บ” เสียงของเขาดังไม่ใกล้ไม่ไกลก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้า ซึ่งดูเหมือนกำลังตรงมายังห้องที่ฉันอยู่ เมื่อรู้สึกเช่นฉันจึงกลั้นใจและแกล้งหลับตาลงทันที
ดูเหมือนสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริง เมื่อไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงแหวกมู่ลี่บริเวณประตูดังขึ้น เสียงเดินและเสียงถุงก๊อบแก๊บที่ดังอยู่ตลอดเวลาที่เขาเคลื่อนไหวทำให้รู้ ว่าพี่โตกำลังเดินตรงมาทางนี้พร้อมด้วยคำพูดรู้ทัน
“จี๊ดแกล้งหลับไม่เนียนเลยนะรู้ไหม ลืมตาเถอะค่ะ”
ฉันก็เหมือนจะว่าง่ายเกินเหตุ พอถูกเขาดักทางแบบนั้นก็รีบเบิกตาโพลงขึ้นมองสิ่งรอบตัวทันที ก่อน้องสะดุ้งเมื่อพบว่าพี่โตนั่งดึงเกาอี้ตัวเล็กมานั่งมองฉันอยู่ข้างเตียง
เขายิ้ม เมื่อเราสบตากัน และหลุบตาลงเพื่อก้มหยิบของบางอย่างส่งมาให้
“กินนี่ด้วยนะคะ” แม้จะทำตัวไม่ถูก ถึงอย่างงั้นฉันก็กล้าๆ กลัวๆ เอื้อมรับซองยาขนาดเล็กมาจากมือเขาอย่างว่าง่าย โดยไม่ลืมที่จะถาม
“หนะ นี่มันอะไรคะ?”
“ยาคุมค่ะ” คำตอบของเขากระตุกใจฉันให้สั่น เพราะการที่เขาตอบออกมาแบบนั้นยิ่งย้ำชัดถึงเรื่องเมื่อวานเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะคำพูดต่อมาซึ่งเขาทำเหมือนว่ามันคือประโยคบอกเล่าทั่วไป
“กินด้วยนะคะ จะได้ไม่ท้อง”
“พ..พี่โตทำแบบนี้ทำไมคะ?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่ถ้อยคำของอีกฝ่ายสิ้นสุดลง
“ทำอะไรคะ?” แต่เขาทำเหมือนไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันพยายามจะสื่อ
“เมื่อวาน...” ฉันพูดได้แค่นี้ แม้จะพอจำได้ลางๆว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มันก็พูดไม่ออกจำต้องเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นซึ่งมีความหมายแนวเดียวกัน “พี่ทำแบบนั้น ทั้งที่หนูเป็นแฟนของเพื่อนพี่นะ!”
ฉันไม่รู้ว่าน้ำหนักเสียงของตัวเองตอนนี้ดังมากแค่ไหน รู้แค่ว่าตลอดเวลาที่พูด จะมีเสียงของเครื่องสักดังแทรกอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับช่วยกลบ
“ค่ะ พี่รู้ว่าจี๊ดเป็นแฟนไอ้ย๊ะ...”
“...”
“แล้วจี๊ดก็รู้ว่าพี่มีตูนแล้ว...” พี่โตพูดทุกอย่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ ไม่ได้มีความรู้สึกผิดราวกับมันคือเรื่องทั่วๆไป “อย่างที่พี่บอก ของขวัญที่ไอ้ย๊ะอยากได้คือจี๊ด...”
พี่ยูยะอยากได้ฉันงั้นเหรอ เขาพูดบ้าอะไรก็ในเมื่อฉันกับพี่ยูยะเราเป็นแฟนกัน!
“พี่ยูยะจะอยากได้หนูทำไม ในเมื่อเราก็เป็นแฟนกัน...” ฉันถามเมื่อความสงสัยในหัวมีมากขึ้นทุกขณะ
“ย้ำจังเลยนะคะ คำว่า ‘แฟนยูยะ’ เนี่ย” เขาขัด “ไม่ต้องย้ำบ่อยๆหรอกค่ะ พี่รู้แล้วว่าจี๊ดเป็นแฟนไอ้ย๊ะ”
“...” อะไรกัน เขากำลังหาเรื่องฉันอยู่หรือไงนะ
“เพราะว่ามันมีจี๊ดเป็นแฟน สิ่งที่มันอยากได้คือร่างกายของแฟนมัน...” พี่โตบอกเหมือนรู้ว่าฉันคิดอะไร แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะทำกับร่างกายฉันแทนพี่ยูยะไม่ใช่เหรอ?
“แล้วพี่...พี่โตมีสิทธิ์อะไร ทำเรื่องแบบนั้นกับหนูล่ะ!?”
“...”
“พี่เองก็มีพี่การ์ตูนอยู่แล้ว แล้วพี่...”
“ตูนก็ส่วนตูน ไอ้ย๊ะก็ส่วนไอ้ย๊ะ...” เขาขัดเสียงเรียบเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ฉันพยายามบอก “ตอนแรกพี่ก็ไม่มีสิทธิ์หรอกค่ะ แต่พอทำเสร็จแล้ว ตอนนี้พี่เลยมีสิทธิ์”
เขาในตอนนี้ไม่เหมือนพี่โตขี้แกล้งคนเดิมที่ฉันรู้จัก สายตาเขาที่มองฉันตอนนี้ก็เช่นกัน “พี่ไม่สนว่าจี๊ดจะคิดยังไง แต่เมื่อพี่ได้แล้ว พี่ถือว่าพี่มีสิทธิ์”
“...” เขาพูดจาเห็นแก่ตัวอย่างน่าเกลียด
“และสิทธิ์ของพี่ก็คือ พี่ไม่ต้องการให้ของของพี่ยุ่งกับผู้ชายคนอื่น...” เขาเงียบเสียงลงเล็กน้อยพลางใช้มือทาบลงกับขอบเตียงสัก โน้มกายเข้ามาหาและเอ่ยขึ้นอีกครั้งราวกับออกคำสั่ง “ไม่ว่าจะเพื่อนจี๊ดหรือไอ้ย๊ะ นั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น...”
“...”
“เพราะพี่หวง” รอยยิ้มของเขาที่ปรากฏบนใบหน้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากรอยยิ้มของปีศาจ เขาไม่ใช่พี่ชายแสนดีที่ทำให้ฉันเคยหลงรักแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ถึงอย่างงั้นฉันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่ายังชอบเขาอยู่
แต่ว่า... สิ่งที่เขาทำตอนนี้มันมากไป!
ฟึ่บ!
“หนูเกลียดพี่โตว่ะ!” ฉันใช้มือผลักไหล่เขาให้ถอยห่างตัว ซึ่งคราวนี้เขายอมถอยออกไปอย่างเช่นทุกครั้ง เปิดโอกาสให้ฉันขยับตัวลงจากเตียง
ทันทีที่ลงมายืนบนพื้นช่วงท้องน้อยก็เริ่มรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาทันที ซึ่งอาการดังกล่าวดูเหมือนพี่โตจะดูออก เขาไม่ได้เข้ามาช่วยฉัน แต่หรี่ตามองนิ่งๆ เหมือนดูเชิงว่าจะฉันจะทำยังไง
เขาคงคิดล่ะสิว่าฉันจะขอให้ช่วย แต่เขาคิดผิด!
ฉันใช้มือกดลงช่วงหัวหน่าว และค่อยๆ ประคองตัวเดินตรงไปยังประตูทางออกแบบไม่คิดจะหันกลับไปสนใจเขาอีก และในตอนนั้นเอง พี่โตก็เรียกฉันอีกครั้งด้วยชื่อที่เขาคุ้นเคย
“จี๊ด!” มันคงเป็นนิสัยที่แก้ยากไปแล้ว กับการบังคับไม่ให้ร่างกายแสดงการตอบรับจากทุกเสียงเรียกและการกระทำของเขา พานให้ต้องหันขวับมองยังคนใจร้ายอีกครั้ง ก่อนต้องตกใจเมื่อเขาโยนของบางอย่างที่ฉันวางทิ้งไปบนเตียงส่งมาให้ พร้อมทั้งกำชับ “ถ้าจี๊ดไม่เอาไอ้นี่กลับไปกิน...”
นี่มันยาคุมที่เขาซื้อมานี่...
“เกิดท้องขึ้นมา จะโทษพี่ไม่ได้นะคะ”
เวลา 17.50 น.
ฉันนั่งมองแผงซองยาคุมฉุกเฉินด้วยความรู้สึกว่างเปล่า อาการหน่วงบริเวณท้องน้อยตอนนี้มันได้หายไปแล้ว แต่ถึงอย่างงั้นแผงยาเปล่ามันก็ยังเป็นตัวบอกชัดอยู่ดีว่าฉันไม่ใช่เด็กสาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว
“เฮ้อออ...” ฉันถอนหายใจทิ้งเบาๆก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
ถ้าจะพูดกันตรงๆ ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกแบบไหนระหว่างเสียใจกับดีใจที่พลาดไปมีความสัมพันธ์กับพี่โต ฉันไม่ได้โรคจิตหรอกนะ และการได้นอนกับเขามันก็ไม่ใช่ความฝันสูงสุดของฉันด้วย แต่ที่ยังสามารถมีความคิดแบบนี้ได้มันก็เพราะ ฉันยังรู้สึกมาตลอดว่ายังรักและชอบเขาเหมือนเดิม ยังไงก็อย่างงั้น..
แต่เพราะรู้ว่าต่อให้พยายามขัดขวางความรักของเขาเท่าไหร่ ฉันก็ไม่มีทางทำสำเร็จ สุดท้ายฉันเองนั่นแหละที่ท้อ ที่เหนื่อย จนต้องรามือไปเอง
หลายครั้งที่ฉันรู้สึกเกลียดเขา ที่ชอบทำดี ทำเป็นให้ความหวัง ทำเหมือนไม่รู้ว่าฉันรู้สึกอะไรต่อเขา แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม ฉันก็ยังเป็นฝ่ายแอบมองเขาก่อนอยู่ดี
“เฮ้ออออออ” พอคิดแล้วฉันก็อยากจะถอนหายใจทิ้งวันละหลายล้านรอบ
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูทำฉันสะดุ้งตัวโยน รีบเก็บซองยาคุมให้พ้นจากสายตาคนนอกส่วนปากก็ตะโกนตอบโต้เจ้าของเสียงเคาะดังกล่าวไปด้วย
“เข้ามาได้เลยค่ะ ประตูไม่ได้ล็อก!”
ยังไงซะ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับพี่โตก็ควรเป็นความลับ
ขืนบอกไปคุณลุงกับคุณป้าต้องเครียดมากแน่ๆ โดยเฉพาะ 'แต้ว' เพื่อนสนิทของฉัน แม้ว่าเธอจะไม่คัดค้านเรื่องฉันชอบพี่ชายเธอแถมยังสนับสนุนก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็บอกไม่ได้อยู่ดี...
เมื่อเคลียร์พื้นที่บนโต๊ะเครื่องเขียนเสร็จฉันก็รีบหันไปยังประตูห้องซึ่งกำลังถูกเปิดเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนพบว่าคนที่เปิดเข้ามาไม่ใช่ใครแต่เขาคือคนที่ฉันกำลังหมกมุ่นนึกถึงอยู่
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันไล่เขาเหมือนอย่างทุกครั้งราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ไหนบอกประตูไม่ได้ล็อก ให้เข้ามาได้เลยไงคะ?” พี่โตถามมิหนำซ้ำยังดึงดันที่จะเดินเข้ามา
“ถ้าหนูรู้ว่าเป็นพี่โต หนูไม่ให้เข้ามาหรอกค่ะ!”
“ทำไมใจร้ายกับพี่จังเลยคะ?” เขาถาม
“หนูเปล่าสักหน่อย”
“ก็นี่ไง จี๊ดเอาแต่ไล่พี่...” พี่โตทำเสียงอ่อนคล้ายกับน้อยใจ มิหนำซ้ำยังเงียบลงช่วงท้ายประโยค
ซึ่งนั่นดูขัดกับรอยยิ้มร้ายๆ มุมปากและคำพูดต่อมาอย่างสิ้นเชิง
“พี่แค่อยากมาหาเมียตัวเองบ้าง มันผิดมากเหรอคะ?”
เมียเหรอ..
“พี่โตอย่ามาพูดอะไรแบบนี้กับหนูนะ...” ทำตัวไม่ถูกจริงๆ แต่ครั้นจะปฏิเสธ ก็ไม่สามารถพุดได้เต็มปากอยู่ดี
“แล้วพี่...พูดผิดตรงไหนล่ะคะ?” พูดจบเขาก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันพอดีในท่ากอดอก บนหน้าเปื้อนยิ้มใจดีที่มักเห็นอยู่บ่อยๆ
“หรือว่าจี๊ดจะบอกไม่ใช่?” อีกครั้งที่คนตรงหน้าเอ่ยขึ้น ด้วยคำถามซึ่งเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งคำถามของเขาทำฉันพูดอะไรไม่ถูก
“พี่โตพอเถอะค่ะ...” แต่ก็ยังดึงดันที่จะพูดออกไปอยู่ดี "เมื่อวานหนูเมา พี่โตเองก็เมา มันคือเรื่องผิดพลาด..."
ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังพูดจะสร้างความไม่พอใจให้แก่คนฟังหรือเปล่า แต่มันคือความรู้สึกที่ฉันควรหยุดไว้แค่นี้ ถ้าหากรู้สึกมากจนเกินไปล่ะก็ อาจต้องกลายเป็นผู้หญิงไม่ดีเพราะสถานะชู้ก็ได้...
“ให้เรื่องของเราจบลงแค่เมื่อวานเถอะค่ะ หนูจะไม่พูด ไม่ทำให้พี่เดือดร้อน หนูสัญญา...”
“แล้วถ้าพี่พูดเองล่ะคะ จี๊ดจะว่าไง?” แต่คำพูดของฉันถูกขัดด้วยประโยคท้าทายราวกับไม่เกรงกลัวว่าใครจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา
เขาพูดแบบไม่สนด้วยซ้ำว่าพี่ยูยะหรือพี่การ์ตูนจะรู้...
“พี่ไม่กลัวพี่การ์ตูนรู้หรือไง!?” ฉันถามแบบไม่เข้าใจความคิดของบุคคลตรงหน้า ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งแฝงอยู่กับลวดลายศิลปะบนผิวหนัง
รอยจ้ำแดงบริเวณต้นคอของคนตัวสูงตรงหน้า ซึ่งมีลักษณะเดียวกับของพี่การ์ตูนเมื่อวานกำลังทำฉันเจ็บไปทั้งใจ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่บริเวณต้นคอเขามันได้บอกไว้ชัดหมดแล้ว ว่าผู้ชายคนนี้มีเจ้าของ
“ทำไมคะ จี๊ดกลัวไอ้ย๊ะรู้เหรอ?”
“ถ้าพี่ไม่ให้เกียรติพี่การ์ตูน อย่างน้อยก็ให้เกียรติรอยที่คอบ้างเถอะค่ะ…” ฉันบอกเขาเพราะไม่อยากฟังคำพูดเห็นแก่ตัวอีกต่อไป หวังว่าอย่างน้อยมันจะทำให้พี่โตฉุกคิดเรื่องของพี่การ์ตูนขึ้นมาได้บ้าง
แต่ก็เปล่า..
ฟึ่บ! ตึงง!!
“อ๊ะ!?” ฉันทำตาโต เมื่อจู่ๆ พี่โตพุ่งเข้าหาฉันอย่างรวดเร็ว
ความแรงของพละกำลังทำเอาเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่กระแทกเข้ากับโต๊ะเครื่องเขียนอย่างแรง วินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนถูกกำราบด้วยนัยน์ตาดุดันของปีศาจตรงหน้า ถึงอย่างนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ทำรุนแรงกับฉันเลยสักนิด
ปีศาจตรงหน้าใช้มือสองข้างจับไหล่ฉันอย่างแผ่วเบา เขาใช้เพียงแค่สายตาเท่านั้นเพื่อหยุด ไม่ให้ฉันขยับ พูด หรือทำอะไรไปมากกว่านี้ จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้ามาหาพร้อมทั้งกระซิบ
“รอยที่คอมันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวเหรอคะ?”
“พี่ พี่โตจะทำอะไร...อ อึก” เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันถามจบประโยคแต่กลับเลือกที่จะฝังใบหน้าลงบริเวณต้นคออย่างรวดเร็ว
ฉันรู้สึกถึงริมฝีปากของเขาที่จูบลงมา มันร้อนและทำให้จักจี้ แต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดให้ต่างไปจากที่เคย จากการจุมพิตแผ่วเบาเป็นการดูดเม้มแรงๆ
ความปวดหนึบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกายเมื่อเขาจงใจขบเขี้ยวฝังลงอย่างดุดดัน ก่อนชำระความเจ็บทั้งหมดด้วยการใช้ปลายลิ้นเลียไปตามรอยซี่ฟันที่ทิ้งไว้
“อึก...” สิ่งที่พี่โตกำลังปฏิบัติใส่ฉัน ทำให้เห็นภาพซ้อนระหว่างเขากับพี่การ์ตูนในช่วงสถานการณ์เดียวกันขึ้นมาในหัว
ฉันหลับตาและพยายามไล่ภาพเหล่านั้นให้หลุดไป มันได้ผล แต่ไม่ได้รวมถึงบางสิ่งบางอย่างที่พี่โตฝากไว้บริเวณต้นคอหลังจากเขายอมผละริมฝีปากออกไป
“ถ้าคิดว่ารอยที่คอคือการแสดงความเป็นเจ้าของ ตอนนี้เราก็มีเหมือนกันแล้วนะคะ...” และทิ้งคำพูดให้ฉันคิด
เขาทำเหมือนกับว่า สถานะฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ต่างหรือด้อยไปจากพี่การ์ตูนแฟนของเขาเลยสักนิด
“ถ้ามันจะต่าง ก็คงต่างตรงที่...” แถมยังทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในคำพูดเสมือนว่าฉันมีค่าเหนือกว่าคนสำคัญข้างกายของเขาอีกด้วย
“จี๊ดไม่ต้องขอ...พี่ก็พร้อมจะทำ”