บทที่12ลองเชิงหมอชรา

1949 Words
บนแคร่ไม้เก่าคร่ำ ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนมองฝ้าเพดานตาปริบๆ และด้วยทัศนียภาพที่ไม่คุ้นเคยชายหนุ่มก็อนุมานว่าตอนนี้เขาคงจะอยู่ที่โรงหมอท้ายหมู่บ้าน เมื่อจะขยับตัวหลี่เวยก็ต้องสูดปากซี๊ดด้วยความเจ็บปวด ราวกับทั่วกายของเขามันระบมไปทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ ร่างกายของหลี่เวยก็ไม่ได้แข็งแรงมากเป็นทุนเดิม ยิ่งเมื่อถูกทุบตีอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่แปลกที่เขาจะเจ็บปวดไปทั่วร่าง ชายหนุ่มยกมือขึ้นประคองศีรษะ ภาพสุดท้ายที่หลี่เวยจำได้ก็คือผู้คนเริ่มมามุงดู ก่อนจะเห็นหม่าเซี่ยและจางไท่อิงวิ่งเข้ามา หลังจากนั้นสติของเขาจะดับวูบไปไม่รู้สึกอะไรอีก จนถึงตอนนี้หลี่เวยเริ่มกลับมาคิดไตร่ตรองว่ามันคุ้นหรือไม่กับการที่เขาเอาตัวเองเข้าเสี่ยงเช่นนี้ ยิ่งไม่รู้ว่านับจากเหตุการณ์วันนั้นเวลาผ่านมานานขนาดไหน ผู้ใหญ่บ้านจางจะจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดหรือเปล่า และการลงทุนลงแรงของเขาจะสัมฤทธิผลแค่ไหน ความกังวนใจนี้ทำให้หลี่เวยรู้สึกราวกับศีรษะหนักอึ้งกระทันหัน "เจ้าหนุ่ม เจ้าฟื้นแล้ว" เสียงแก่ชราดังมาจากทางทิศหนึ่ง หลี่เวยมองตามไปก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายสูงวัยที่ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างกายเพื่อมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างเชื่องช้า "ท่านผู้เฒ่า" หลี่เวยเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม ชายชรายิ้มพยักหน้า ดวงตาฝ้าฟางมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ย "เจ้านอนพักอีกสักหน่อยเถอะ" "ขอบคุณท่านผู้เฒ่า ข้านอนมากพอแล้วขอรับ" หลี่เวยยิ้มตอบ ชายชราไม่สนใจคำตอบเขา อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านข้างแล้วเริ่มอ่านตำราเล่มหนาอย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นว่าอีกฝ่านไม่ได้ให้ความสนใจกับตนเองอีก หลี่เวยจึงละสายตากลับแล้วเริ่มสำรวจรอบห้องแทน รอบห้องนี้ถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย ข้าวของส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ด้านการแพทย์อีกทั้งยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ หลี่เวยพอจะเดาได้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน "ท่านผู้เฒ่าเหอ" ชายชราด้านข้างละสายตาออกจากตำราบนโต๊ะขานรับเสียงฉงน "ว่าอย่างไร" หลี่เวยเผยรอยยิ้มโง่งมออกมา เขานิ่งเงียบไปช่วงหนึ่งทำให้ชายชรามุ่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ "เจ้ามีอะไรไฉนจึงไม่ยอมพูด" หลี่เวยยังคงรอยยิ้มเอาไว้ ผิดกับสมองที่กำลังประมวลผลแผนการบางอย่างด้วยความรวดเร็ว "ท่านผู้เฒ่ามีพระคุณต่อข้านัก คราก่อนก็เป็นท่านที่ช่วยข้าให้รอดพ้นจากความตาย มาตอนนี้ก็เป็นท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือข้าอีกครั้ง หากท่านผู้เฒ่าต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรก็สามารถบอกข้าได้" ผู้เฒ่าเหอมองประกายตาของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ก่อนที่ชายชราจะเบนสายตาลงต่ำไปยังขาทั้งสองข้างของเขา ราวกับรู้ทันความคิด หลี่เวยหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเก้อเขิน "ถึงตอนนี้ข้าจะพิการไร้อนาคต แต่ถ้าไม่เกินความสามารถของข้า ข้าย่อมต้องช่วยเหลือท่านผู้เฒ่าสุดความสามารถแน่นอน" ฟังวาจาที่ติดจะเศร้าโศกเล็กน้อยของอีกฝ่าย ชายชราดึงสายตากลับมาจดจ่อที่ตำราเล่มหนาอีกครั้ง บรรยากาศภายในห้องกลับสู่ความเงียบเหงา หลี่เวยรู้สึกอึดอัดเหลือเกินไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปดี หลี่เวยกลอกกลิ้งลูกตาไปมา ไม่รู้ว่าแผนการทำให้ตัวเองดูน่าสงสารจะสัมฤทธิผลหรือไม่ แต่ชายสูงวัยตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเป็นพิเศษ ดังนั้นสิ่งที่หลี่เวยทำได้ก็คือการรอ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อผู้เฒ่าเหอจึงค่อยถอนหายใจเหนื่อยอ่อนก่อนกล่าวเสียงเนิบนาบ "เจ้ายังไม่หมดอนาคตหรอกนะ ขาของเจ้ายังพอมีหนทางรักษาอยู่" หลี่เวยตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มหันหน้าควับจนลำคอส่งเสียงดังกรอบ หลี่เวยแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงทว่าก็ต้องอดกลั้นมันไว้ก่อนชั่วคราว ดูเหมือนว่าวิธีที่เขาแกล้งทำของเขาจะได้ผล! เพราะหลี่เวยได้รู้เรื่องราวบางอย่างมาว่าหมอเหอผู้นี้มิใช่คนในหมู่บ้านจางตั้งแต่แรก แต่เขาพึ่งจะย้ายเข้ามาเมื่อไม่กี่ปีก่อน หมอเหอผู้นี้มีนิสัยค่อนข้างเก็บตัว ฝีมือเรื่องการรักษาบาดแผลหรืออาการป่วยของเขาดังไปไกลถึงหมู่บ้านข้างเคียง หลายครั้งที่คนจากต่างหมู่บ้านเดินทางมาที่นี่เพื่อขอให้เขารักษา เรื่องฝีมือของเขาในที่นี้ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ขอเสียเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือหมอเหอไม่ชอบความวุ่นวาย! มีหลายคนที่ได้รับการรักษาจากเขาจนหายดี แต่ก็มีหลายคนที่ถูกเขาปฏิเสธที่จะให้การช่วยเหลือเช่นกัน ใครๆ ก็มองออกว่าหมอเหอผู้นี้มีฝีมือ แต่อีกฝ่ายมักจะทำเป็นไร้หนทางรักษา และบอกให้คนผู้นั้นไปหาหมอคนอื่น แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะบอกหนทางรักษาและสมุนไพรที่จำเป็นแบบอ้อมๆ "ท่านผู้เฒ่า ท่านมีวิธีหรือ" หลี่เวยตื่นเต้นมากเสียจนลืมเก็บอาการไปชั่วขณะ "ข้าเป็นถึงหมอเทวดา บนโลกนี้ยังมีอาการบาดเจ็บใดที่หมอเทวดาเช่นข้ารักษาไม่ได้" น้ำเสียงของชายชราติดแววเย่อหยิ่งอยู่บ้าง ความตื่นเต้นดีใจในตอนแรกพลันหดหายไปมากกว่าครึ่ง และนี่ก็คืออีกหนึ่งข้อเสียของหมอสูงวัยคนนี้ เพราะเขาเป็นคนขี้โม้! หมอเทวดาดีๆ ที่ไหนบ้างจะโอ้อวดสรรพคุณตัวเองเช่นนี้บ้างเล่า!? "เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ" ดวงตาฝ้าฟางของชายชราหันมาสบกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่ม หลี่เวยชะงักไปเล็กน้อยก่อนเผยแสร้งเผยยิ้มออกมา "ท่านผู้เฒ่าเป็นหมอ ข้าจะไม่เชื่อท่านได้อย่างไร" ชายชราหรี่ตาแคบ หลี่เวยยิ้มจนหน้าเริ่มแข็งค้าง เขารู้สึกไม่ไว้ใจผู้เฒ่าท่านนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น "ดี ข้าจะจ่ายยาให้เจ้า" ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ "เช่นนั้นหลี่เวยก็ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากขอรับ" "ไม่เป็นไร เกรงก็แต่ว่าเจ้าจะจ่ายไม่ไหว" ชายชราส่ายหน้าช้าๆ "จ่ายไม่ไหวหรือ ยาของท่านมันราคาเท่าไหร่กัน" หลี่เวยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "สิบตำลึง" หลี่เวยแทบสำลักน้ำลายเมื่อได้ยิน สิบตำลึง! นี่มันปล้นกันชัดๆ!! ขณะที่ชายหนุ่มอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายชราก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น "ฮ่า ฮ่า ไฉนจึงทำหน้าเช่นนั้นเล่า" "ทะ ท่านผู้เฒ่า ยาของท่านราคาของมันค่อนข้างจะ... " คำพูดสุดท้ายหลี่เวยไม่ได้กล่าว แต่ชายชราแซ่เหอก็เข้าใจดี อีกฝ่ายหัวเราะส่ายหน้าไปมา "ข้าล้อเจ้าเล่น ความจริงราคาของมันเพียงแค่หนึ่งตะลึงเงินก็เท่านั้น เจ้าจ่ายไหวหรือไม่" หลี่เวยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จนถึงตอนนี้จิตใจของเขาจึงค่อนข้างปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง "ข้าจ่ายไหวขอรับ!" เย็นวันนั้นชาวบ้านหลายคนที่ได้ยินว่าหลี่เวยฟื้นแล้วจึงพากันมาเยี่ยมเยียนด้วยความห่วงใย สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้าง นั่นเพราะเป็นครั้งแรกที่หลี่เวยได้รับความห่วงใยจากคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่พี่น้องของตัวเอง จิตใจของเขาเต้นระรัวอย่างยากจะควบคุม นี่เป็นการตอบสนองของร่างกายซึ่งมันอยู่เหนือการควบคุมของชายหนุ่ม บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่หลี่เวยคนเก่าขวนขวายมาตลอด กับการที่เขาได้รับความสำคัญจากคนรอบข้าง ถูกมองในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง หาใช่บัณฑิตหนุ่มผู้หยิ่งผยอง แต่เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้ในเมื่อมันเป็นเพราะเจ้าตัวทำให้เกิดเรื่องราวแบบนั้นขึ้นมา คืนนั้นหม่าเซี่ยนำรถเข็นไม้มามอบให้เขาบอกว่ารอถึงพรุ่งนี้เช้าอีกฝ่ายจะมาพาหลี่เวยกลับบ้าน เช้าวันต่อมาหลี่เวยนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยท่าทีเรียบเฉย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูซีดขาวมากกว่าปกติ เรียกสายตาเวทนาจากชาวบ้านหลายคนได้ดียิ่ง ด้านหลังของเขาเป็นหม่าเซี่ยที่อาสาเข็นรถให้โดยที่ตลอดทางพวกเขาพุดคุยยิ้มแย้มราวกับเมื่อไม่กี่วันก่อนมิได้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นสักนิด ระหว่างทางหม่าเซี่ยเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวในวันนั้นผู้ใหญ่บ้านโกรธมากถึงขนาดตำหนิจางลี่และสามีอย่างรุนแรง ส่วนจางหยางถูกโบยไปหลายสิบทีจนนอนซมบนเตียงไปอีกหลายวัน กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สามารถออกมาสร้างปัญหาได้ เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ขณะที่กำลังจะเอ่ยร่ำลา หลี่เวยพลันเห็นว่าบ้านข้างๆ มีเงาร่างของหญิงวัยกลางคนเดิมจ้ำอ้าวมาทางนี้ "เสี่ยวเวย" "ท่านน้า" เมื่อมาถึงจางไท่อิงหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่ครู่ใหญ่จนหม่าเซี่ยต้องช่วยประคองด้วยเกรงว่านางอาจหน้ามืดล้มพับไป "น้าได้ยินว่าเจ้าอ่อนแอมาก วันนี้จึงเตรียมของดีไว้ให้เจ้า" จางไท่อิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมยื่นตะกร้ามาเบื้องหน้าของชายหนุ่ม หลี่เวยมองตามไปก็เห็นว่าด้านในมีผักใบเขียวอยู่จำนวนหนึ่ง ถัดมาก็เป็นไข่ไก่และยังมีเนื้อสัตว์! หลี่เวยส่ายหน้าปฏิเสธ ของพวกนี้ล้ำค่าเกินไป ในยุคสมัยที่เนื้อมีราคาแพงหูฉี่ คนธรรมดาไม่อาจเข้าถึง เขารับเอาไว้ไม่ได้จริงๆ เนื้อนี้ดูท่าว่าท่านอาหม่าคงจะขึ้นเขาแล้วล่ามันกลับมาได้แน่เลย "ท่านน้าพูดอะไรเช่นนั้น ข้าแข็งแรงจะตาย ของพวกนี้ท่านเก็บเอาไว้เถอะ" ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อที่ตนเองกล่าว ชายหนุ่มทำท่าเบ่งกล้ามโชว์พวกเขาไปคราหนึ่งสร้างความขบขันแก่ทั้งสองยิ่ง "เจ้าเด็กนี่ ผู้ใหญ่ให้ของแล้วไม่รับไว้เจ้าเป็นคนยังไงกัน เมื่อวันนั้นตอนท่านอาหม่าของเจ้าอุ้มเจ้าไปหาท่านหมอเหอ เขาเร็วจนข้าที่เดินตัวเปล่ายังตามไม่ทัน ดูก็รู้แล้วว่าตัวเจ้าเบามากแค่ไหน หากอยากจะให้ขาหายดีก็จำต้องบำรุงร่างกายด้วยมิใช่หรือ" จางไท่อิงเผยรอยยิ้มขณะที่สายตามองห่อยาในมือของเด็กหนุ่ม หลี่เวยเกาศีรษะแก้เก้อเล็กน้อยในที่สุดก็ผงกศีรษะรับ "เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณท่านน้ากับท่านอามากขอรับ ไว้เมื่อข้ารักษาขาได้เมื่อไหร่ข้าจะตอบแทนพวกท่านแน่นอน" "เรื่องตอบแทนไม่จำเป็นต้องรอขาเจ้าหายหรอก อีกไม่กี่วันอาหยวนก็จะกลับมาแล้ว ถึงเวลานั้นคงลำบากเจ้าที่ต้องคอยสอนสั่ง" จางไท่อิงเอ่ยยิ้มๆ หลี่เวยตาเบิกกว้างก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มพยักหน้าให้อีกฝ่ายรัวๆ พลางขานรับ "แน่นอนขอรับ พวกท่านวางใจได้!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD