ระหว่างที่หลี่เวยเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองสวีโจว ชายหนุ่มก็พึ่งสัมผัสได้ถึงเรื่องราวบางอย่างที่ผิดแปลกไป
ที่เมืองแห่งนี้ไม่มีผู้ใดสนใจเขาเลย!?
หลี่เวยคนก่อนสร้างเรื่องราวมากมายไว้ที่เมืองแห่งนี้ ทว่าปัจจุบันไม่ว่าหลี่เวยจะไปที่ไหนทุกคนกลับสนใจเขาในฐานะของชายพิการ หาใช่ท**นหลี่เวยผู้ชั่วช้าคนนั้น?
แต่จะยังไงก็ช่าง ตอนที่ชายหนุ่มเดินมาถึงตรอกที่คนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านอะไรบางอย่างที่ดึงความสนใจของเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ร้านหมื่นอักษร
ร้านขายตำราแห่งนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกเป็นพัลวัน หลี่เวยมองเห็นกลุ่มคนส่วนใหญ่มักจะแต่งตัวคล้ายบัณฑิตที่เขาเคยเห็นในละครแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ถึงยังไงเขาก็เป็นคนจากอนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การได้มาเห็นภาพในยุคโบราณด้วยตาตนเองไม่ว่าใครย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามสามครั้งเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในอกให้กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง
เมื่อเข้ามาด้านในแล้วหลี่เวยจึงกวาดตาสำรวจรอบด้านชั่วครู่ ไม่นานก็มีชายสวมชุดสีขาวเรียบง่ายคนหนึ่งเดินเข้ามาพลางเอ่ยถามเขาอย่างนอบน้อม
"ไม่ทราบว่าลูกค้าท่านนี้ต้องการสิ่งใดจากร้านหมื่นอักษรของเราหรือขอรับ"
"ข้าอยากซื้อตำราน่ะ"
เมื่อคำนี้หลุดออกจากปากเขาหลี่เวยก็สัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่กวาดผ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลี่เวยในตอนนี้เป็นชายร่างผอมบาง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เก่าขาด หลายแห่งมีรอยปะชุ่น มิหนำซ้ำยังพิการขาสองข้าง ไม่แปลกที่ชายคนนี้จะแสดงท่าทีเช่นนี้
แต่หลี่เวยก็ไม่สนใจ ชายหนุ่มยังคงเงียบสงบไม่เผยกิริยาที่ขาดเหลาให้อีกฝ่ายได้หัวเราะเยาะ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มบนรถเข็นมีท่าทางมั่นคงชายชุดขาวจึงยิ้มเอ่ย
"เช่นนั้นลูกค้าต้องการซื้อตำราแบบใดเล่าขอรับ"
"เอาแบบที่ผู้คนนิยมอ่านกันน่ะ"
อีกฝ่ายส่งเสียงอ้อคราหนึ่งก่อนจะเดินหายไปทางด้านหลัง รออยู่ไม่นานชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมตำราเล่มหนา
หลี่เวยหรี่ตาแคบมองสำรวจแต่กลับไม่พบสิ่งใดโดดเด่นเป็นพิเศษ
"นี่ขอรับ" ชายชุดขาวยื่นตำราให้หลี่เวยได้เพ่งพินิจ
"นี่คือ?" หลี่เวยพลิกตำราไปมาด้วยความสงสัย
"ตำราวสันต์ขอรับ"
หลี่เวยหน้าเปลี่ยนสีแทบสำลักน้ำลายตัวเอง เขาอยากจะโยนตำราในมือทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้
"ท่านจะบอกข้าว่าผู้คนในสมัยนี้นิยมซื้อตำราวสันต์ไปอ่านงั้นหรือ?" หลี่เวยมองอีกฝ่ายด้วยความไม่อยากเชื่อ
"ถ้าท่านหมายถึงคนหนุ่มสาวล่ะก็ใช่แน่นอนขอรับ อีกอย่างนี่เป็นตำราของนายท่านหงอี้ เป็นตำราที่มีอยู่น้อยมากผู้คนต่างแย่งชิงกันจนวุ่นวายไปหมด ภาพที่เขาเขียนเหมือนกับมีชีวิต ราคาของหนังสือนี้อย่างต่ำก็สิบตำลึงเงินเลยนะขอรับ"
หลี่เวยมองชายตรงหน้าด้วยสายตาพิลึก ก็แค่ภาพวสันต์เล่มเดียวถึงกับมีราคาสิบตำลึง
นี่มันปล้นกันชัดๆ!
ราคาของตำราเล่มนี้แพงเกินไป อีกอย่างมันก็ไม่ใช่จุดเป้าหมายที่เขาต้องการเสียด้วย หลี่เวยยื่นตำราเล่มดังกล่าวคืนให้ชายชุดขาว
"ข้าขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตำราวสันต์"
อีกฝ่ายมองหลี่เวยด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยินยอมรับตำราจากมือของชายหนุ่มมาแต่โดยดี
"เช่นนั้นโปรดรอสักครู่"
เมื่อคนจากไปแล้วหลี่เวยจึงค่อยหายใจหายคอได้สะดวกขึ้นมาหน่อย รอบกายของเขาตอนนี้เงียบสงบยิ่งนัก ดูเหมือนว่าเหล่าบัณฑิตทั้งหลายคงจะพากันออกไปจนหมดแล้ว
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังสอดส่องรอบด้านด้วยความสงสัยก็ต้องผงะจนแทบตกจากรถเข็นเมื่อด้านหลังของเขานี้มีร่างของใครบางคนกำลังยืนมองมาที่เขานิ่งๆ
หลี่เวยลูบอกตนเองปอยๆ สายตาลอบสำรวจอีกฝ่ายก็พบว่าบุคคลผู้นี้เป็นสตรีคนหนึ่ง ร่างกายผอมบางดูอ้อนแอ้นยิ่งนัก จะแปลกก็มีแต่นางสวมเสื้อผ้าของบุรุษอีกทั้งยังโพกหน้าจนมิดชิด ส่วนเดียวที่โผล่พ้นออกมาคงจะมีแค่ดวงตาคู่งามราวดอกท้อนั่น
ชายหนุ่มลอบสบถด่าสตรีเท้าแมวนางนี้อยู่ในใจ การมายืนข้างหลังคนโดยไม่ให้สุ่มให้เสียงเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้ใครตกใจจนตายหรือ!
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางที่ผิดแปลกอะไรหลี่เวยจึงหันความสนใจกลับมา เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
หญิงสาวด้านหลังมองชายหนุ่มตรงหน้าหัวคิ้วพลันขมวดมุ่น แววตาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
"คุณชาย ตำราที่ท่านต้องการมาแล้วขอรับ"
ชายชุดขาวเดินมาอีกฝ่ายพร้อมกับตำราเล่มหนาในมือ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้สายตาก็หันไปสบเข้ากับเงาร่างอ้อนแอ้นด้านหลังของหลี่เวยเข้าพอดี
"คะ คุณชายหงอี้!"
คุณชายหงอี้? คนที่เขียนตำราวสันต์เมื่อครู่น่ะหรือ
หลี่เวยลอบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาพิลึก เป็นสตรีรชัดๆ เหตุใดผู้คนจึงเรียกนางว่าคุณชาย คนพวกนี้ตาบอดจนมองไม่ออกเชียวหรือ???
แต่จะว่าไปนามหงอี้นี้เหมือนเขาจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีก ไม่ว่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
หญิงสาวลอบยิ้มได้ใจ ด้วยคิดว่าชื่อเสียงของคุณชายหงอี้อันโด่งดังคงทำให้บุรุษตรงหน้าที่แสดงท่าทีไม่แยแสต่อนางต้องกลับกลายเป็นยกย่องเชิดชูเหมือนกับคนอื่นๆ ที่นางเคยพบเจอ
ทว่าสิ่งที่นางคิดกลับไม่เคยเกิดขึ้น
หลี่เวยมองหญิงสาวที่ยกอกเชิดหน้าราวตนเองกลายเป็นจุดเด่นที่แสงไฟสาดส่องลงมาจากฟ้าทำให้นางเป็นดั่งนางสวรรค์ที่ทุกคนล้วนหมายปอง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้
ดูท่าสตรีนางนี้จะปัญญาอ่อนไปเสียแล้วกระมัง!
"คุณลูกค้าช่วยรอข้าน้อยสักครู่นะขอรับ ข้าจะพาคุณชายหงอี้ไปพบกับเถ้าแก่ก่อน" ชายชุดขาวกล่าวพลางยื่นตำราเล่มหนึ่งให้เขาก่อนจะเดินนำเจ้าของร่างอ้อนแอ้นไป
หญิงสาวยังคงยกอกเขิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง แต่รอย่นานกลับไม่ได้ยินคำพูดยกยอสรรเสริญก็ต้องเบนสายตากลับมามองดูชายหนุ่มบนรถเข็นด้านหลัง
ภาพที่ปรากฏทำเอานางแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง คนผู้นี้นอกจากจะไม่สนใจนางในฐานะของคุณชายหงอี้ผู้เขียนตำราวสันต์ได้สมจริงที่สุด แต่เขายังสนใจตำราต๊อกต๋อยเล่มหนึ่งที่หาได้ดาดดื่นทั่วไป!
เมื่อไร้ผู้คนมาคอยกดดัน หลี่เวยจึงถือวิสาสะเปิดตำราออกอ่านดูคร่าวๆ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ดูเหมือนว่าที่โลกใบนี้ก็มีสิ่งที่เรียกว่านิยายอยู่ด้วย เช่นนั้นก็เข้าทางเขาแล้ว เพราะอาการป่วยทำให้หลี่เวยในโลกก่อนต้องอ่านนิยายคลายเหงาไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่อง เขามั่นใจว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันมาหาเงินเข้ากระเป๋าได้มากโขแน่นอน
รอไม่นานชายชุดขาวก็เดินกลับออกมา หลี่เวยลองสอบถามถึงเรื่องต่างๆ อีกฝ่ายแม้จะดูไม่ค่อยสนใจแต่ก็ตอบกลับทุกคำถาม
ดูเหมือนร้านหมื่นอักษรแห่งนี้จะดีพอสมควร ลูกน้องเคร่งครัดไม่เลือกปฏิบัติเช่นนี้ ดูท่าเถ้าแก่ของพวกเขาคงจะเป็นคงเด็ดขาดมากเลยสินะ
หลี่เวยกลับออกจากร้านหมื่นอักษรพร้อมกับกระดาษปึกหนึ่งที่ต้องใช้เงินกว่าหนึ่งตำลึงแลกมันมา
จากข่าวสารที่ได้หลี่เวยสรุปพวกมันได้ดังนี้
ร้านขายตำราแห่งนี้จะรับซื้อหนังสือในราคาที่สมเหตุสมผลและต้องเซ็นสัญญาร่วมกัน ในระยะเวลาที่กำหนดผู้เขียนไม่สามารถขายตำราที่ไหนได้อีกนอกจากร้านหมื่นอักษร แน่นอนว่าถ้าหนังสือทำยอดขายได้ดี พวกเขาก็จะเพิ่มเงินให้ผู้เขียนอีกด้วย
"นับว่าเป็นข้อเสนอที่ดียิ่ง" ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา ใบหน้าแสดงความสุขใจออกมา กระดาษปึกใหญ่ถูกวางบนหน้าตัก สองมือหมุนล้อให้วิ่งไปตามทาง
หลี่เวยหยุดรถที่จุดนัดพบกับคนในหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่มาแสดงว่ายังจัดการกับธุระของตนเองไม่เสร็จ
แต่ก็ไม่เป็นไร หลี่เวยเข็นรถไปข้างพลางทางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เขาตัดสินใจที่จะนั่งรอเกวียนมาอย่างเรียบง่าย
สายลมอ่อนโชยพัดผ่านร่าง เส้นผมสีดำขลับของชายหนุ่มพัดไปตามแรงลม เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดแต่หล่อเหลาของชายหนุ่มอายุสิบแปดย่างสิบเก้าปีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบหน้าที่แม้จะซูบซีดไปบ้างทว่ากลับยังความหล่อเหลาดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาให้หันมอง ยิ่งเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่บนรถเข็นด้วยร่างกายที่ราวกับจะปลิวไปพร้อมสายลมได้ก็ทำให้จิตใจของสตรีหลายนางเกิดระลอกคลื่นแปลก