"เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อหลี่เวยหรือ"
"ขอรับ" หลี่เวยพยักหน้ารับ
หัวคิ้วขมวดคิ้ว สายตาพลันเพ่งพินิจสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า
"เจ้าคงไม่ใช่เศษสวะหลี่เวยคนนั้นหรอกกระมัง"
แต่ต่อมาชายชราก็หัวเราะส่ายศีรษะ คล้ายกำลังบอกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้และพยายามปัดมันออกจากหัว
"หากท่านหมายถึงหลี่เวยที่เป็นลูกไล่ของซ่งเป่ยเทียน ข้าก็คือคนผู้นั้นเองแหละ"
ชายชราอึ้งงันไป เขากวาดตามองชายหนุ่มอีกหลายรอบ สายตาของเขาจับจ้องหลี่เวยที่กลายเป็นคนพิการซึ่งต้องนั่งอยู่บนรถเข็นแทบตลอดเวลา
แม้เสื้อผ้าจะเก่าดูไปบ้างทว่าก็ยังสะอาดสะอ้าน ใบหน้าติดจะซีดขาวไปนิดแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา ลักษณะท่าทางรวมถึงวาจาก็ไม่เหมือนในข่าวลือกระผีก
ชายหนุ่มตรงหน้าดูคล้ายจะเป็นบุรุษชาวบ้านทั่วไป หน้าตาก็ค่อนไปทางดีเสียด้วยซ้ำ ไม่เห็นจะมีเค้าลางของหลี่เวยผู้ชั่วช้า อัปลักษณ์ โหดเหี้ยม อำมหิต อย่างในข่าวลือเลย
หลี่เวยเห็นสีหน้ากังขาของชายชราก็ยิ้มแหย
ครั้งนี้เขาถูกชายชราจ้องมองด้วยสายตาแปลกพิกลก็ทำเอาเกร็งร่างไปหมด
"ท่านผู้เฒ่า"
เสียงเรียกของหลี่เวยดึงสติของเขากลับมา ชายชรากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ
"กลับเข้าเรื่องเถอะ นิยายของเจ้าไม่ธรรมดา เจ้าอยากจะขายให้ร้านหมื่นอักษรเราจริงหรือ? "
"ขอรับ" หลี่เวยพยักหน้า
"ดี เช่นนั้นเรามาคุยข้อตกลงกัน" ชายชรากล่าวจบก็หยิบกระดาษบางอย่างขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่ม
เจียงผิงหยิบมันส่งให้หลี่เวย ดวงตาสีดำขลับกวาดผ่านทุกตัวอักษรก็หยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
"เจ้าคิดเห็นเช่นไร"
"ดียิ่งขอรับ" หลี่เวยยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นตัวเลขค่าตอบแทนบนกระดาษที่มีจำนวนมากถึงสี่สิบตำลึง
เท่านี้ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเรื่องยารักษาแล้ว
"เจ้ามีอะไรจะเสนอหรือไม่" ชายชรารับกระดาษมาก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
"แน่นอน ข้ามีบางอย่างอยากจะใส่ลงไปในนี้ด้วยขอรับ"
"เจ้าลองว่ามา"
"เรื่องวันส่งต้นฉบับ พวกท่านไม่มีสิทธิ์มาเร่งรัด ไม่ว่าข้าจะส่งช้ามากแค่ไหนก็ตาม"
"..."
ภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบในพริบตา ชายชราและเจียงผิงหันมองหลี่เวยด้วยสีหน้าผิดแปลกราวกับเจอคนบ้า
"อะไร? " ชายหนุ่มยักไหล่พลางเลิกคิ้ว
"เจ้าบ้าไปแล้วหรือ หากทำเช่นนั้นหนังสือของเจ้าจะขายออกได้อย่างไร" เจียงผิงที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยอย่างเหลืออด
หลี่เวยยิ้มบาง ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม ใบหน้าอ่อนใสเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
"พี่เจียงผิงใจเย็นก่อน แน่นอนว่าข้ารู้ถึงความกังวลใจของพวกท่าน พวกท่านคงคิดว่าหากไม่ลงขายในระยะเวลาที่สม่ำเสมออาจจะทำให้ยอดขายของพวกท่านต่ำลง ทว่าหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งมันก็ถือว่าเป็นข้อดีมิใช่หรือ? "
ชายชราเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นสัญญาณว่าให้เขาเอ่ยต่อ
"หากท่านขายเป็นปกติ ทุกสิ่งที่ท่านได้ก็จะเหมือนเดิม ทว่าหากท่านทำให้สินค้าขาดตลาดเล่า ท่านคิดว่ากระแสตอบรับของฝูงชนจะเป็นเช่นไร"
หลี่เวยมองดูชายชราที่ถูคางตนเองสีหน้าครุ่นคิด เขาก็ฉวยโอกาสนี้เอ่ยเสริม
"หากหนังสือของข้าเป็นที่ต้องการของผู้คน ท่านสามารถโก่งราคาได้มากยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าของที่มีจำนวนจำกัดและไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คน มันก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้"
"อื้ม เจ้าพูดมีเหตุผล แต่ถ้าให้ข้าเดาเกรงว่าตัวเจ้าคงจะขี้เกียจเขียนหนังสือมากกว่ากระมัง" ชายชราหรี่ตาแคบอย่างรู้ทัน
หลี่เวยยิ้มเจื่อน คำพูดของชายชราทำเอาเขาแก้ตัวไม่เป็นไปชั่วขณะ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวคือความจริง หลี่เวยไม่คิดจะใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อนั่งเขียนหนังสือ เพราะเขามีสิ่งที่อยากจะทำอีกหลายอย่าง
หากใช้เวลาทั้งหมดเขียนหนังสือเพื่อให้ทันกำหนดส่งตามที่ทางร้านต้องการเกรงว่าแม้แต่ขาของเขาก็คงจะไม่มีโอกาสกลับมาเป็นปกติอีกแล้ว
"แต่ที่ข้าพูดมามันก็ดีมิใช่หรือ" ชายหนุ่มยิ้มยีฟัน
ชายชราไม่พูดอะไรอีก เขาลงมือเขียนข้อตกลงในสัญญาก่อนจะยื่นมันมาให้หลี่เวยพิจารณาอีกครั้ง
หลี่เวยรับมาอ่านดู เขาพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเขียนเพิ่มเข้าไปคือสิ่งที่เขากล่าวเมื่อครู่นี้
ทว่าด้านหลังก็ยังมือข้อแม้เขียนกำกับเอาไว้อยู่ว่าหากผลตอบรับไม่ได้ดีอย่างที่หลี่เวยกล่าวอ้าง เขาก็จำต้องเขียนต้นฉบับส่งทุกเดือนตามกฎของร้านหมื่นอักษร
หลี่เวยค่อนข้างมันใจว่าหนังสือของเขาจะต้องได้รับความนิยมมากแน่ดังนั้นจึงลงชื่อบนสัญญาแต่โดยดี
หลังยื่นหนังสือสัญญาส่งให้อีกฝ่ายแล้วชายชราก็บอกว่าตัวเองอยากจะพักผ่อนจึงให้เจียงผิงออกมาส่งหลี่เวยที่ด้านนอก
คราวนี้ชายหนุ่มสบายมากเพราะเจียงผิงอาสาที่จะเข็นรถให้กับเขาด้วยตัวเอง
"น้องชาย เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่ลงนามในสัญญาแบบนั้น" ระหว่างทางเจียงผิงก็เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
"มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ" หลี่เวยเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยเสียงฉงน
"มันก็ไม่เชิงหรอก แต่หากเจ้าไม่ขายหนังสืออย่างสม่ำเสมอ มันก็ยากที่จะมีคนซื้อหนังสือของเจ้าอย่างต่อเนื้องมิใช่รึ"
หลี่เวยหัวเราะในลำคอ แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความขบขัน
"พี่เจียงผิงคิดมากไปแล้ว หนังสือน่ะจะมีคนซื้อหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อหา หากหนังสือของท่านดีและน่าติดตาม ไม่ว่าจะนานแค่ไหนพวกเขาก็จะรอ"
เจียงผิงมองอีกฝ่ายอย่างกังขา กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอีกฝ่ายกำลังเหน็บแนมถึงหนังสือของเขาไม่ได้เรื่องหรือ
คิ้วหนาของบุรุษหนุ่มกระตุกถี่ ทว่าเมื่อคิดถึงท่าทีที่เถ้าแก่แสดงต่อหลี่เวยผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าหนังสือของเขาจะไม่ธรรมดาจริงๆ
สำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่าชายชราก็ทำตัวปกติไม่มีอะไรที่ผิดแปลก แต่ใครเล่าจะรู้เท่ากับเจียงผิงที่ทำงานอยู่ร้านหมื่นอักษรมาหลายปี
เถ้าแก่ร้านหมื่นอักษรขึ้นชื่อเรื่องความขี้เหนียวและหน้าเลือด โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครต่างก็ถูกวาทะศิลป์ของชายชราเอาเปรียบจนหน้างอไปตามๆ กัน
ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมีชื่อเสียงแค่ไหนแต่เมื่อได้เอาผลงานของตัวเองมาเสนอขายให้ร้านหมื่นอักษร ราคาของมันก็จะลดลงอย่างน่าใจหาย
ทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าร้านหมื่นอักษรแม้จะตั้งอยู่ในชัยถูมิที่ดีแต่ก็ไม่สามารถขยับขยายไปไหนได้เสียที
น่าแปลกที่คนผู้นี้สามารถตอบโต้กับชายชราเพียงแค่ยื่นกระดาษที่เรียบง่ายให้อีกฝ่าย ดูท่าแล้วหนังสือของเขาคงจะดีมากจริงๆ
หลี่เวยเดินเข็นรถออกจากร้านหมื่นอักษรด้วยจิตใจที่โล่งสบาย ในที่สุดเขาก็ได้งานทำ แถมยังได้เงินมาอีกตั้งสี่สิบตำลึง ครานี้ก็ไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเอาเงินสี่สิบตำลึงไปซื้ออะไรก่อนดี พลันมีเสียงทุบอะไรบางอย่างลอยแว่วเข้ามา
"เจ้าเศษสวะ เจ้ากล้าขโมยของของข้าหรือ!"
"ท่านพี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตีมันเลยเจ้าค่ะ! ทุบมันให้ตายไปเลย!"
เสียงทุบตีคลอเคล้ามากับเสียงด่าทอของชายหญิง หลี่เวยไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่นักหรอก เพราะในยุคปัจจุบันเขาอ่านนิยายมามาก และสถานการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วบ่อยครั้ง
และกว่าเก้าส่วนคนที่ถูกทุบตีน่าจะเป็นเหล่าตัวเอกที่กำลังสถานการณ์ลำบาก ทว่าด้วยนิสัยที่แปลกประหลาดของมนุษย์ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองอาจจะไม่ใช่ผลดี แต่ก็ไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นได้
หลี่เวยเข็นรถไปยังทิศทางของเสียงก่อนที่เขาจะต้องตกใจเพราะว่าภาพที่เขาเห็นคือชายคนหนึ่งกำลังนอนคุดคู้อยู่บนพื้น ร่างกายอาบย้อมไปด้วยเลือดสด ด้านข้างของเขายังมีชายหญิงสองคนถือกำลังทุบทีเด็กหนุ่มอย่างโหดร้าย