ท่ามกลางแสงตะวันที่แผดจ้าจากท้องฟ้าแผ่กระจายรัศมีความอบอุ่นลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง สายลมหอบเอาไอร้อนพัดผ่านเรือนกายของสองหนุ่มใต้ต้นไม้จนอาภรณ์ตัวเก่าพริ้วไหวไปมา
"ไหนเจ้าลองทวนที่ข้าสอนไปสิ" หลี่เวยนั่งอยู่บนรถเข็น สายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังทบทวนสิ่งที่เขาพึ่งสอนไปหลัดๆ
หม่าหยวนทบทวนสิ่งที่พึ่งจะเรียนรู้มาโดยไม่พลาดเลยแม้แต่ตัวเดียว แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายของความตื่นเต้น
พื้นที่บริเวณนี้เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านชอบพาสัตว์เลี้ยงจำพวกวัวมากินหญ้า
หลี่เวยและหม่าหยวนก็พากันมาที่นี่เพราะมันห่างไกลจากหมู่บ้านและไม่มีเสียงรบกวนซึ่งทำให้พวกเขาสามารถทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การเรียนการสอนได้
"เจ้าเก่งมาก" หลี่เวยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หม่าหยวนคนนี้ไม่แปลกที่อนาคตจะได้เป็นหนึ่งผู้พิพากษาที่ยิ่งใหญ่
เขาเป็นเด็กที่กระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เขาสอนให้อีกฝ่าย แม้มันจะยากสักแค่ไหนหม่าหยวนก็พร้อมที่จะเรียนรู้ อีกทั้งเมื่อเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจชายหนุ่มก็จะรีบสอบถาม ไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว
"หึ่ม ข้าคนแซ่หม่าล้วนไม่เคยด้อยกว่าผู้ใด" หม่าหยวนเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
"โอหังนักเจ้าเด็กน้อย เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วไปเสียก่อนเล่า"
"หลี่เวย เจ้าแก่กว่าข้าแค่ไม่กี่ปี หากข้าเป็นเด็กน้อยแล้วเจ้าเป็นอะไร" หม่าหยวนตอบอย่างไม่ยินยอม
"เป็นพี่ชายของเจ้าอย่างไรเล่า ฮ่าฮ่า!" หลี่เวยหัวเราะร่า เขาปิดตำราที่ถืออยู่แล้ววางมันไว้บนตัก
"วันนี้ก็เรียกก่อนแล้วกัน เจ้ากลับไปบ้านแล้วก็อย่าลืมทบทวนสิ่งที่ข้าสอนไปด้วยล่ะ โบราณว่าไว้ บัณฑิตที่ดีนั้นมากความรู้ยังไม่เพียงพอ เจ้าต้องหมั่นทบทวนสิ่งที่ได้ร่ำเรียน นั่นจึงจะถือว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปไม่สูญเปล่า" หลี่เวยกล่าวสีหน้าอ่อนโยน
หม่าหยวนคิดตามอีกฝ่ายก็ผงกศีรษะรับราวไก่จิกข้าวสาร
"ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ข้าจะจำไว้แล้วกัน"
หลี่เวยยิ้มแหย ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะข้าคิดขึ้นมาเองอย่างไรเล่า
"เอาล่ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า" หลี่เวยทำท่าเตรียมจะใช้มือเข็นล้อทั้งสองข้าง หม่าหยวนเห็นดังนั้นจึงผุดลุกขึ้นรีบอาสาเป็นคนดันรถให้ชายหนุ่มเอง
"วันนี้เจ้าไปกินข้าวที่บ้านข้าดีกว่า" ขณะดันรถ หม่าหยวนค่อนข้างอารมณ์ดี ยามเอ่ยถามน้ำเสียงจึงน่าฟังมากกว่าปกติ
"เจ้ากินเถอะ ข้าเคยกินแล้ว" หลี่เวยยิ้มส่ายศีรษะ
หม่าหยวนชะงักกึก เขาหมดคำจะพูดกับเจ้าคนพิการนี่เสียจริง หากมิใช่ว่าอีกฝ่ายอาสาสอนหนังสือเขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน เขาก็อยากจะตบกระบาลของเจ้าคนปากมากนี่ให้หลาบจำ
"ท่านพ่อกับท่านแม่ชอบบ่นว่าอยากให้เจ้าไปกินด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขาหลงอะไรเจ้านักหนา"
"เพราะข้าคือพี่ชายของเจ้าไง" หลี่เวยเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจ
ชายหนุ่มที่อ่อนอาวุโสกว่ากลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่ายกับนิสัยขี้เล่นของหลี่เวยผู้นี้
"แล้ววันพรุ่งนี้เจ้าจะมาสอนข้าอีกหรือเปล่า"
"แน่นอน หากไม่มีธุระที่จำเป็นข้าจะไปสอนเจ้า"
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านสองบุรุษหนุ่มก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย โดยที่เขาหารู้ไม่ว่าตรงมุมหนึ่งหลังต้นไม้ใหญ่ มีบุรุษในชุดคลุมสีดำกำลังแอบมองเขาเงียบๆ
เมืองสวีโจว ตระกูลหลิน
"นังสารเลว นี่เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่!"
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกโยนลงเบื้องหน้าของหญิงสาวที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น
เมื่อดวงตาดอกท้อเหลือบมองแผ่นกระดาษที่วางนิ่งอยู่บนพื้น ใบหน้าของหลินเสี่ยวเป้ยพลันซีดเผือด
"หึ! เป็นของเจ้าจริงๆ ด้วยสินะนังตัวดี เจ้าทำให้ชื่อเสียงตระกูลหลินของเขาป่นปี้หมดแล้ว!" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางใช้เท้าถีบไปที่หน้าอกของหลินเสี่ยวเป้ยจนหญิงสาวหงายท้องตึง
หลินเสี่ยวเป้ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้นางจะเจ็บปวดสักเพียงใดทว่านางก็ยังต้องรีบผุดลุกขึ้นนั่งคุกเข่าในท่าเดิมด้วยความหวาดกลัว
"ทะ ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ นะ นี่ไม่ใช่ของข้า" หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเครือ
เบื้องหน้าของหลินเสี่ยวเป้ยเป็นชายวัยกลางคนซึ่งมีอายุราวสี่สิบปีเศษ แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะมีริ้วรอยแห่งการเวลาปรากฏ ทว่าก็มิอาจบดบังความหล่อเหลาของเขาได้
คนผู้นี้ก็คือประมุขของตระกูลหลินคนปัจจุบัน
ชายวัยกลางคนมองหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้า ทว่ายิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
"เจ้าคิดทำร้ายฉีหนิงยังไม่พอ กล้าดีอย่างไรถึงได้ปีนเตียงคุณชายเหยียน!"
"ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ" หลินเสี่ยวเป้ยส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตา
"ไม่ต้องพูดแล้ว นับจากนี้ไปไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก จากนี้หลินเสี่ยวเป้ยจะไม่ใช่คนสกุลหลินอีกต่อไป!"
"ท่านพ่อ!"
"ท่านพี่!" ด้านข้างฮูหยินเอกรีบเข้ามาอ้อนวอนขอร้องผู้เป็นสามีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะขับไล่บุตรสาวของนางออกไปจริงๆ
"เจียวซื่อ เจ้าเองก็มีความผิดเช่นกัน" ชายวัยกลางคนหันมองฮูหยินเอกของตนด้วยสายตาเยือกเย็น
"ความผิดของข้าหรือ? " ฮูหยินเจียวมองหน้าสามีอย่างไม่เข้าใจ
"ความผิดของเจ้าก็คือการที่เจ้าสั่งสอนนางได้ไม่ดี จากนี้ไปหากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามเจ้าออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว!"
อีกทางด้านหนึ่ง หมู่บ้านที่ค่อนข้างห่างไกลจากความวุ่นวาย บ้านสกุลหม่า บนโต๊ะไม้ขนาดไม่ใหญ่มาก ครอบครัวหนึ่งกำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
"เป็นเช่นไรบ้าง ฝีมือน้าถูกปากเจ้าหรือไม่"
"ขอรับท่านน้า อาหารฝีมือท่านกินอย่างไรก็ไม่เบื่อจริงๆ" หลี่เวยยิ้มพลางเอ่ยประจบ
"ดี ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็กินเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ" หม่าหยวนเอ่ยต่อพลางคีบเนื้อกระต่ายที่ผู้เป็นบิดาล่ามาได้มอบให้กับชายหนุ่ม
ตลอดหลายวันมานี้ ความสัมพันธ์ของหลี่เวยกับคนบ้านตระกูลหม่าแน่นแฟ้นเราวกับเป็นคนจากครอบครัวเดียวกัน
บางครั้งหม่าหยวนที่เบื่อกับการอยู่บ้านตัวเองก็มักจะไปนั่งเล่นที่บ้านของหลี่เวย หรือบางทีพวกเขาก็จะพากันออกไปเที่ยวเล่นที่นอกหมู่บ้าน
ช่วงพักหลังมานี้ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเจอหลี่เวย ก็มักจะเห็นหม่าหยวนเดินตามต้อยๆ อยู่เสมอ ชวนให้ชาวบ้านหลายคนคิดย้อนไปถึงสมัยก่อนตอนที่หลี่เฉินยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นหม่าเซี่ยเองก็มีท่าทางแบบนี้เหมือนกัน
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หลี่เวยเข็นรถออกมาด้านนอก ชายหนุ่มนั่งเอนหลังบนพนักพิงพลางหลับตา จู่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับเนื้อหาในนิยายก็แล่นเข้ามาในโสตประสาท
หงอี้หรือนางเอกของนิยายเรื่องนี้ ความจริงมีนามว่าหลินฉีหนิง ส่วนพระเอกของเรื่องก็มีนามว่าเหยียนหุย เป็นบุตรชายของเหยียนอ๋องแห่งเมืองหลวง
ชีวิตความเป็นอยู่ของหลินฉีหนิงค่อนข้างดีแม้จะเป็นลูกอนุ แต่บิดาก็รักนางมากกว่าบุตรคนอื่นๆ และเช่นเดียวกัน เพราะความรักที่บิดามอบให้มันไม่คู่ควรกับฐานะบุตรอนุอย่างนาง
สุดท้ายเมื่อยามที่บิดาต้องออกไปทำธุระที่ต่างเมือง นางก็มักจะถูกคนในตระกูลกลั่นแกล้ง โดยหัวโจกก็คือบุตรีของฮูหยินเอก หลินเสี่ยวเป้ย
ปะมุขตระกูลหลินหรือบิดาของพวกนางเป็นพ่อค้าที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเหยียนอ๋องให้รอดพ้นจากความตายเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาทั้งสองจึงสาบานนับถือกันเป็นดั่งพี่น้อง ดังนั้นในทุกๆ ปี เหยียนหุยมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนประมุขตระกูลหลินที่เมืองสวีโจวแทนบิดาที่ป่วยกระเซอะกระแซะไม่อาจเดินทางไกลได้
ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเหยียนหุยทำให้หลินเสี่ยวเป้ยหลงรักตั้งแต่แรกพบ ทว่าเหยียนหุยไม่ได้มีใจให้นาง แต่กลับชอบพอใจตัวหลินฉีหนิงผู้เป็นบุตรีจากอนุมากกว่า
บวกกับมีช่วงหนึ่งที่หลินฉีหนิงเคยช่วยเหลือเหยียนหุยในตอนที่ยากลำบาก จึงยิ่งทำให้พ่อพระเอกรักมั่นใจตัวนางยิ่งขึ้น
นั่นจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเล็กๆ ภายในจวนสกุลหลิน
แต่นอกจากนั้นเรื่องราวเป็นเช่นไรต่อหลี่เวยก็จำมันไม่ได้เสียแล้ว บางทีคงต้องรอเวลาหรือโอกาส เขาจึงจะทำเนื้อหาของนิยายที่เคยอ่านไปเมื่อหลายปีก่อนได้