จางหลี่เห็นว่าตนเองถูกจับได้ก็ตื่นตระหนกจนทำไข่ไก่ที่ถือออกมาด้วยล่วงหลุดมือ เป็นเหตุให้ไข่ไก่ที่หลี่เวยเก็บไว้แตกจนหมด
มองดูบนพื้นที่มีกองไข่ไก่ซึ่งแตกละเอียดหลี่เวยก็รู้สึกปวดใจยิ่ง เงินที่เขามีตอนนี้มันน้อยมากเสียจนน่าสมเพซ ไข่หนึ่งฟองราคาหนึ่งอีแปะ หลี่เวยซื้อมาเก็บไว้นับสิบฟอง แต่ตอนนี้พวกมันทั้งหมดกลับกลายเป็นเพียงหมอกควัน
นั่นมันเงินสิบอีแปะเชียวนะ!
"ท่านป้า ท่านมาทำอะไรที่บ้านของข้ากัน!" หลี่เวยถามเสียงเย็น
จางลี่ได้ยินน้ำเสียงเฉยชาของหลานชายก็โกรธจนควันออกหู แต่เมื่อเห็นร่างของบุรุษอีกคนที่ยืนจังก้าอยู่ด้านข้างความโกรธพลันหายวับในพริบตา
"ทำไม ข้าเป็นป้าของเจ้า จะมาเยี่ยมเจ้าเสียหน่อยมิได้หรือ"
"เยี่ยมข้าหรือ เยี่ยมข้าแล้วไฉนจึงถือไข่ออกมาด้วย" หลี่เวยย้อนถาม
จางลี่น้ำท่วมปาก นางอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
"ชะ ช่วงนี้ญาติผู้พี่ของเจ้าจางหยางสุขภาพไม่ค่อยดี ข้าจึงคิดจะมาขอยืนไข่จากเจ้าชั่วคราว" นางคิดหาข้ออ้างไปเรื่อย
ช่วงเวลานี้สตรีในหมู่บ้านหลายคนที่พึ่งกลับจากการซักผ้าต่างก็เดินผ่านมาทางนี้พอดี ชายคนหยุดชะงักฝีเท้าสายตาจับจ้องไปที่ด้านในบ้านด้วยความสนใจ
"สุขภาพของพี่จางหยางไม่ดีหรือ แล้วสุขสภาพของเขาไม่ดีเท่าข้าหรือเปล่า" พูดไปมือผอมแห้งของชายหนุ่มก็ลูบขาทั้งสองข้างไปพลาง
"นั่นสิ หลี่เวยขาใช้การไม่ได้ทั้งสองข้าง จางหยางจะไม่สบายเช่นไรแต่ก็คงไม่ลำบากเท่าคนพิการหรอกกระมัง" สตรีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
จางลี่ใบหน้าซีดเผือด นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยนิสัยที่ร้ายกาจของหลี่เวยย่อมต้องไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือสิถึงจะถูก แล้วทำไมตอนนี้พวกนางจึงเข้าข้างเจ้าเด็กที่น่าตายนั่นกัน!
เมื่อหนึ่งคนเอ่ย อีกหลายคนก็เอ่ยขึ้นตามๆ กันจนเรื่องราวลุกลามเป็นวงกว้าง สตรีหลายคนเดินกลับบ้านไปก่อนแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนในครอบครัวฟัง
จากหนึ่งคนรู้ก็กลายเป็นสองคน จากสองกลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นสี่
เพียงไม่นานทุกคนในหมู่บ้านก็ทราบข่าว บ้านไม้หลังใหญ่ ชายชราสูงวัยคนหนึ่งทุบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว
บ้านของหลี่เวยตอนนี้มีผู้คนมากมายรายมุงดุด้วยความสนใจ
จางลี่ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจับจ้องไปยังชายหนุ่มบนรถเข็นไม้
หลี่เวยลอยหน้าลอยตา ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้วเขารอเพียงแค่ให้บุคคลสำคัญมาถึงก็เท่านั้น
ชื่อเสียงของหลี่เวยย่ำแย่มาแสนนาน ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน ครานี้หากเขาทำสำเร็จตามแผนการที่วางไว้แม้จะมีหลายคนไม่ยอมรับ แต่ฐานะของเขาในหมู่บ้านย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน
จางลี่มีนิสัยชั่วร้าย นางเป็นคนปากจัดชอบด่ากราดไปทั่ว แถมนิสัยยังเหมือนงูพิษที่เลี้ยงไม่เชื่อง
หลี่เวยได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายมีสหายอยู่มากมาย ทว่าด้วยนิสัยเห็นแก่ตัวนางจึงแว้งกัดสหายทีละคนเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคบหากับนางอีก
ชายหนุ่มจึงคิดจะใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเขากับนางก็ปะทะฝีปากกันไปหลายกระบวนท่า
"หัวหน้าผู้บ้านมาแล้ว" เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
ใบหน้าของจางลี่ซีดเผือดเมื่อเห็นว่าฝูงชนแหวกออกเป็นทางเดินให้ชายสูงวัยคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา
ฉับพลันจางลี่ทรุดลงบนพื้นพลางเปล่งเสียงร้องไห้โฮ
"หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะ ฮือออออ"
หัวหน้าหมู่บ้านจางเหลือบมองหลี่เวยและหม่าเซี่ยเล็กน้อยก่อนหันไปกล่าวกับจางลี่
"เจ้าลุกขึ้นเถอะ ในเมื่อข้ามาแล้วย่อมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน"
ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน...
เมื่อครู่ผู้ใหญ่บ้านจางกล่าวว่าให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน หาใช่ให้ความเป็นธรรมแก่นาง
จางลี่ตะลึงงัน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็คิดเข้าข้างหลี่เวยหรือ
"เอาล่ะเรื่องมันเป็นเช่นไรไหนเจ้าลองพูดให้ข้าฟังที" ชายชราหันมากล่าวกับหลี่เวย
ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ที่ไสรถเข็นเข้าไปในบ้านจนถึงตอนที่ไปขอความช่วยเหลือจากหม่าเซี่ย
ชายชราหันเหสายตาไปทางจางลี่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาปะหรับปะเหลือกไปมาดูไม่น่าไว้ใจ
"ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง" ชายชรากล่าว
จากเรื่องราวที่ได้ยินก่อนจะมาถึงที่นี่บวกกับคำบอกเล่าจากปากของหลี่เวย ทั้งหมดล้วนตรงกันทุกประการ ชายชราจึงมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้มันเป็นมายังไง
ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามก็ได้ เพราะถึงยังไงหลี่เวยก็พึ่งจะออกจากบ้านของเขามาหลัดๆ แต่เพื่อไม่ใช่เป็นที่นินทาของชาวบ้าน ชายชราจึงต้องทำเช่นนี้
"อาหยางของข้าไม่สบายเจ้าค่ะท่านผู้เฒ่า วันนี้ข้าจึงคิดมาขอยืมไข่จากหลี่เวยก็เท่านั้น"
"อาการของจางหยางหนักหนามากหรือ" ชายชราเลิกคิ้วถาม
จางลี่ลังเลเล็กน้อย ตอนนี้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมา นางไม่อาจแสดงพิรุธออกมามิฉะนั้นคงจะเป็นปัญหาแน่
แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากกล่าวอะไรเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากอีกทิศหนึ่ง ชาวบ้านหลายคนถูกชายผู้มาใหม่ผลักจากทางด้านหลังจนแทบล้มคะมำ
"ท่านแม่ ใครมันรังแกท่าน!"
จางลี่หน้าซีดขาว นางมองไปยังมุมหนึ่งก็เห็นว่าจางหยางกำลังวิ่งแหวกฝูงชนมาทางนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มแสดงความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด
เมื่อหลุดออกจากกลุ่มคนแล้วจางหยางก็รีบมุ่งหน้าไปหามารดาที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวบนท่ามกลางสายตามากมาย
"ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่ เมื่อครู่ข้าได้ยินต้าจวงบอกว่าท่านถูกรังแกจึงรีบวิ่งมาจากทุ่งนา"
ราวกับหน้าของตัวเองแตกเป็นเสี่ยงๆ จางลี่โกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้พูดออกมาหมดแล้ว!
ด้วยเพราะถูกกดดันจากผู้คนนับไม่ถ้วน จางลี่สติแตกลงมือทุบตีบุตรชายอย่างบ้าคลั่ง
"เจ้าสารเลว เจ้าจะโผล่มาทำไมตอนนี้ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!!"
จางหยางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มันเกิดอะไรขึ้น ท่านแม่ถูกคนรักแกเขาจึงรีบมาช่วย แล้วไฉนกลับเป็นเขาที่ถูกตีเล่า
"จางลี่พอได้แล้ว!" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
จางลี่ชะงักมือที่กำลังทุบตีบุตรชายไว้แล้วหันกลับไปมองผู้ใหญ่บ้านด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
"จางลี่ เจ้าเข้าไปขโมยของในบ้านของหลี่เวยจริงหรือ" ชายชราถาม
"ใช่ ข้าเอง ข้าเป็นคนเข้าไปขโมย แล้วพวกเจ้าจะทำไม หลี่เวยเป็นหลานชายของข้า ของๆ เขาก็คือของๆ ข้า ข้าจะมาเอาไข่ไก่ไปกินเอง พวกเจ้ามีปัญหาหรือ" นางตวาดด่าอย่างไม่เกรงกลัว
ชาวบ้านหลายคนส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับตรรกะความคิดป่วยๆ เช่นนี้ของนาง ชายคนหนึ่งที่พึ่งจะมาถึงหลังได้ยินข่าวถึงกับชะงักกึก
ผู้ใหญ่บ้านหันมองหน้าชายหนุ่มบนรถเข็น หลี่เวยยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธเกลียด
"หลี่เวย" ผู้ใหญ่บ้านเรียกเสียงเบา
ชายหนุ่มหันสบตากับชายชราพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้
"ไม่เป็นไร ข้าชินเสียแล้ว"
ผู้ใหญ่บ้านจางหน้าเคร่งขรึม
"ชิน? หรือเจ้าจะบอกว่านี่หาใช่ครั้งแรก?"
หลี่เวยพยักหน้าช้าๆ
"ไม่เพียงแต่ข้าวของในบ้านของข้าที่หายไป แม้แต่เงินที่ข้าเก็บไว้หลังจากไปรับจ้างเขียนจดหมายให้ท่านผู้เฒ่าเองก็หายไปจนนับไม่ถ้วน"
เสียงของหลี่เวยไม่ดังมากนัก ทว่ากลับก้องกังวานไปในหูของผู้คน ชาวบ้านที่ได้ยินต่างเบนสายตาไปยังจางลี่ที่ผงะงันไปอีกหน
"หลี่เวย เจ้าจะบอกว่าข้าคงนี้เก็บคนนำเงินของเจ้าไปหรือ สวรรค์!?เหตุไฉนข้าจึงมีหลานชายสารเลวขนาดนี้!" จางลี่ชี้หน้าด่าหลี่เวยก่อนจะทิ้งลงไปบนพื้นร่ำร้องก่นด่าสวรรค์ด้วยความเสียใจ
"เจ้าจะบอกว่าตนเองมิได้เอาไปงั้นหรือ" หม่าเซี่ยที่เงียบมาตลอดในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมา
"ก็ใช่น่ะสิ ความลำบากของเขาพวกเราล้วนทราบดี ข้าไหนเลยจะขั่วร้ายถึงขั้นขโมยเงินอันน้อยนิดของเขาได้!" จางลี่ตอบปฏิเสธทั้งที่ยังมีน้ำตานองหน้า
หลี่เวยเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เขารู้ดีว่าจางลี่เป็นเพียงคนโง่งมที่ชั่วร้าย นอกจากเรื่องชั่วช้าแล้วความดีต่างๆ นาๆ ของนางก็ไม่เคยปรากฏให้ผู้คนได้กล่าวถึงเลย
และด้วยความโง่งมของนางนี่เองหลี่เวยคิดว่าเพียงเขาขุดหลุมไว้เฉยๆ สตรีไร้สมองอย่างนางก็คงจะเดินลงไปเองอย่างแน่นอน
"แต่ก่อนบ้านของข้าแม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม้ได้ยากจน ทว่าเมื่อบิดามารดาของข้าจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เหล่าโจรร้ายต่างก็ดาหน้ากันเข้ามาปล้นชิงไปจนไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว" น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยตวามเศร้าโศกจนชาวบ้านหลายคนถึงกับรู้สึกวูบโหวงในจิตใจ
"เมื่อไร้บิดามารดา ข้าก็กลายเป็นแกะดำ ถูกผู้คนเอารัดเอาเปรียบ แม้แต่ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดก็ยังมองด้วยความเย็นชา เงินสิบตำลึงที่ข้าเก็บไว้ถูกขโมยไปจนหมด ตลอดมาข้าตามหาโจรร้ายมาตลอด ท่านป้า ตลอดมาข้าไม่เคยทำร้ายท่าน แล้วเหตุไฉนท่านจึงทำกับข้าแบบนี้"
แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะยังคงเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงของเขาสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด หยาดน้ำตาลูกผู้ชายไหลจากหางตาเรียความสงสารจากฝูงชนเป็นทบทวี
เหล่าชาวบ้านสตรีส่วนใหญ่ที่มีจิตใจอ่อนโยนเมื่อได้รับฟังคำพูดของเขาบางคนถึงกับร่ำไห้ไปตามๆ กัน ที่แท้นิสัยร้ายกาจของหลี่เวยก็มีมูลเหตุ เขามิได้ชั่วร้ายมาตั้งแต่แรก
หลายคนต่างพากันก่นด่าสาปแช่งจางลี่ยังดัง แน่นอนว่ามีหลายคนที่รับรู้ว่าโจรที่เข้ามาปล้นชิงสมบัติของชายหนุ่มไปก็คือเหล่าพี่น้องสกุลจางที่บัดนี้แยกย้ายกันออกไปตามทางของตัวเอง
จางลี่อ้าปากพะงาบๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ เงินที่นางขโมยมาจะเยอะขนาดนั้นได้ยังไง นิ้วมืออวบอ้วนชี้ไปที่ชายหนุ่มพร้อมตวาดด่าเสียงดังลั่น
"เจ้าสารเลว เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เงินของเจ้ามีเพียงแค่สามตำลึง จะเอามาจากไหนตั้งสิบตำลึงกัน!"
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่หญิงวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมมเป็นตาเดียว
หากความโกรธสามารถฆ่าคนทางสายตาได้ จางลี่คงถูกฉีกร่างออกเป็นนับพันนับหมื่นชิ้น
"นังสารเลว ที่แท้เงินที่เจ้าเอากลับบ้านมาก็คือเงินที่เจ้าไปขโมยคนอื่นมางั้นหรือ!" เสียงด่ากราดดังกึกก้อง
จางลี่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยจำได้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร ทุกสายตาจับจ้องไปที่มุมหนึ่ง ตรงหน้าปรากฏร่างของชายวัยกลางคนกำลังเดินผ่ากลุ่มคนออกมา
"ทะ ท่านพี่" จางลี่เอ่ยเสียงสั่น
"นังสารเลว วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า" ชายคนดังกล่าวพูดด้วยใบหน้าโกรธขึง เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ มือข้างหนึ่งมีดพร้าคมกริบ ใบมีดมีร่องรอยการถูกใช้งานราวกับเขาพึ่งออกมาจากป่าใหญ่