ชีวิตของหลี่เวยดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ตลอดเวลาหลายวันมานี้เขามักจะออกไปนั่งสอนตำราให้หม่าหยวนที่นอกหมู่บ้าน ระหว่างทางชายหนุ่มก็มักจะเผยรอยยิ้มทักทายชาวบ้านคนอื่นๆ ไปทั่วจนแม้แต่หม่าหยวนยังแปลกใจ
"เจ้ารู้จักยิ้มทักทายผู้อื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด"
หลี่เวยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยประกายของความขี้เล่น
"ข้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
"จริงหรือ แต่ก่อนหน้านี้ข้าว่าเจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ" หม่าหยวนกลอกตา เรื่องนี้ต่อให้ตีเขาจนตายยังไงก็ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด
"ตอนนั้นข้าหลงผิดไปหน่อย ยิ่งท่านพ่อกับท่านแม่จากไป ข้าไร้ที่ยึดเหนี่ยวไม่แปลกที่จะทำตัวเหลวแหลกไปบ้าง"
หลี่เวยเอนกายด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเรื่องที่พึ่งกล่าวออกมาเป็นเพียงนิทานก่อนนอนเท่านั้น
สองสหายพุ่งตรงไปตามเส้นทางที่สองฝั่งข้างเป็นป่ารกทึบอันคุ้นเคย ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ จู่ๆ เสียงอะไรบางอย่างก็ลอยเข้าโสตประสาทจนพวกเขาสะดุ้งโหยง
ตุบ!
หลี่เวยสะดุ้งโหยงจนแทบตกรถ สายตาหันควับไปทางต้นเสียงแต่เห็นเพียงป่ารกชัฏ ความเครียดเกร็งกัดกินจิตใจจนปวดเขาทำตัวไม่ถูก
"เสียงอะไรน่ะ" หม่าหยวนกระซิบถามเสียงเบา ความหวาดหวั่นฉายชัดในน้ำเสียงนั้น
"ข้าไม่รู้"
ท้องฟ้าสีครามเริ่มหมองคล้ำ สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านกาย เสียงใบไม้สั่นไหวดังกึกก้อง
สถานการณ์เช่นนี้ บรรยากาศเช่นนี้ ดูเหมือนหนังสยองขวัญไม่มีผิด!
หมู่บ้านจางตั้งอยู่ในแถบชนบทติดกับป่ารกทึบ เขาจะไม่แปลกใจเลยหากตอนนี้มีเสือสักตัวโผล่ออกมา
กับเหตุปัจจุบันทันด่วนตรงหน้าไม่ว่าอะไรก็ตามที่โผล่มาล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีพวกเขาทั้งสิ้น ขาสองข้างพิการเช่นนี้หากเจ้าของเสียงคือเสือ ตัวเขาคงยากที่จะรอดชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจรป่าเลย
หลี่เวยและหม่าหยวนพยายามเงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หลี่เวยเริ่มเบาใจบ้างเล็กน้อย
"พวกเราคงจะตื่นตูมกันไปเองกระมัง" หลี่เวยกล่าวพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
หม่าหยวนถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ สองหนุ่มสบตากัน พวกเขาเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อโดยไม่ต้องพูดสักนิด
หลี่เวยหมุนล้อทำให้รถเข็นไม้เคลื่อนตัวไปด้านหน้า หม่าหยวนก็ย่องตามไปติดๆ เช่นกัน
เมื่อพวกเขามาถึงจุดกำเนิดเสียง สองหนุ่มพลันเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าใต้พุ่มไม้เป็นร่างของสตรีคนหนึ่งกำลังนอนไม่ได้สติ
หมู่บ้านจาง
เพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ การที่หลี่เวยและหม่าหยวนเจอสตรีหมดสติอยู่ข้างทางแล้วพานางกลับมาหมู่บ้านเช่นนี้ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้คนมากมาย
ร่างของหญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักของหลี่เวย ศีรษะเล็กของนางอิงแอบกับหน้าอกหนาจนชายหนุ่มแทบไม่กล้าหายใจแรง
หญิงสาวคนนี้ค่อนข้างจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดตัวอยู่มาก อีกทั้งใบหน้าก็ยังมอมแมมจนเขามองแทบไม่ออกว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายงดงามหรือขี้เหร่กันแน่ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเพราะสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือพานางไปหาหมอเหอ!
หม่าหยวนผู้มีหน้าที่แข็งรถให้ชายหนุ่มโดยปริยายก็เอ่ยถามเขาสีหน้าจริงจัง
"แล้วเจ้าจะทำยังไงกับนาง"
"จะทำยังไงได้อีก เราก็ต้องพานางไปหาหมอเหอสิ" หลี่เวยตอบ
"เรา? " หม่าหยวนทวนคำด้วยสีหน้าแปลกๆ
"หากเป็นปกติข้าก็ไม่อยากใช้งานเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนตัวข้า เจ้าจะให้ข้าไปคนเดียวได้ยังไง"
หม่าหยวนผงกศีรษะรับเมื่อคิดว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผล
"ได้ งั้นเรารีบไปกันเถอะ"
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังท้ายหมู่บ้าน หลี่เวยตะโกนเรียกหมอเหอเสียงดัง
เพียงไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก ชายชราผมขาวหนวดเคราสีดอกเลาถือไม้เท้าเดินออกมา หมอเหอตอนนี้อายุของเขาน่าจะย่างเข้าเลขแปดแล้ว ทว่าชายชรากลับยังดูแข็งแรงอยู่
แม้แผ่นหลังจะโค้งงอตามอายุ ทว่าแววตากลับไม่ฝ้าฟาง ยามพูดน้ำเสียงก็ฉะฉานชัดเจน
"เจ้าพาใครมาน่ะ" ขณะกล่าว หมอชราก็เดินเข้ามาใกล้ก่อนถือวิสาสะเอื้อมมือจับชีพจรของสตรีในอ้อมอกของหลี่เวย
"ข้าก็ไม่รู้ แต่ไปเจอนางนอนหมดสติอยู่ในป่า"
หมอเหอจับชีพจรนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละมือออกไป
"ไม่เป็นไร นางคงไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ร่างกายอ่อนล้า หากพักสักหน่อยคงจะดีขึ้น" หมอเหอยิ้มบอก
หลี่เวยและหม่าหยวนส่งเสียงอ้อในลำคอ ดวงตาสองคู่สบกันก่อนจะตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่างที่พวกเขามองข้ามไป
"ท่านปู่เหอ ท่านให้นางนอนพักที่นี่ได้หรือไม่"
หมอเหอที่กำลังจะเดินกลับเข้าบ้านไปพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแก่ชราหันมองชายหนุ่มบนรถเข็นก่อนส่ายหัวตอบ
"เจ้าเห็นว่าบ้านข้าเป็นโรงเตี๊ยมหรือไง"
หลี่เวยยิ้มแหย หากหมอเหอไม่รับนาง แล้วเขาจะพานางไปอยู่ที่ไหน หากเป็นบ้านของเขา เขาคงไม่สามารถดูแลนางได้ เมื่อคิดถึงตอนนี้ดวงตาสีดับขลับก็เบนไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
หม่าหยวนคิ้วกระตุกถี่ยิบ
"เจ้ามองอะไร บ้านของข้ามีแค่สองห้องเท่านั้น อีกอย่างข้ามีหญิงคนรักแล้วหากข้าพานางไปนอนบ้านคงจะเกิดปัญหายุ่งยากแน่"
หลี่เวยถอนสายตากลับมา เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอม เช่นนั้นเขาก็ต้องทำให้ชายชรายินยอมรับนางไว้ให้จงได้
"ท่านปู่เหอ จากที่ข้าดูแล้ว นางน่าจะเป็นสตรีเร่ร่อน หากท่านไม่รังเกียจก็รับนางไว้เป็นลูกมือเถอะ นับวันอายุของท่านยิ่งมากขึ้น หากมีนางคอยช่วยเหลือหยิบจับสิ่งของให้คงจะดีไม่น้อยใช่หรือไม่"
ชายชราครุ่นคิดถึงคำพูดของหลี่เวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะอีกหน
"ไม่ได้หรอก ลำพังเพียงข้าแค่คนเดียวก็ยังต้องอดมื้อกินมื้อ หากพานางมาอยู่ด้วยเกรงว่าจะเป็นการทรมานนางเสียงเปล่าๆ และข้าคิดว่าคนที่ต้องการให้นางช่วยหยิบจับยิ่งของ คงจะเป็นเจ้ามากกว่านะ" ประโยคหลังชายชรากล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ
หลี่เวยยิ้มแหย ที่อีกฝ่ายพูดมาก็ไม่ผิด หมอเหอเป็นหมอที่รักษาคนโดยไม่คิดเงิน ไม่แปลกที่เขาจะบอกว่าต้องอดมื้อกินมื้อ และแม้ว่าชายชราจะได้รับเงินจากหลี่เวยเดือนละหนึ่งตำลึงจากค่ายา
แต่สุขภาพของหมอเหอก็ย่ำแย่ลงทุกวันเช่นกัน เขาย่อมไม่สามารถขึ้นเขาไปหาสมุนไพรได้เองเหมือนตอนยังหนุ่มๆ ดังนั้นเงินที่ได้มาล้วนแต่ลงไปกับสมุนไพรทั้งสิ้น
ยิ่งนึกย้อนไปถึงคำพูดของหมอชรา คนพิการเช่นเขาต่างหากที่ต้องการความช่วยเหลือ ชายหนุ่มจนปัญญาจริงๆ สุดท้ายหน้าที่ที่ต้องดูแลนางชั่วคราวก็ตกมาเป็นของเขาจนได้!
เมื่อราตรีกาลมาเยือน เพียงยามซวี หมู่บ้านแถบชนบทต่างก็ปิดบ้านเงียบเตรียมเข้านอนกันแล้ว ทว่าในหมู่บ้านจางกลับมีบ้านหลังหนึ่งที่ยังคงจุดไฟไว้
เสียงไฟในตะเกียงวูบไหวไปมา ส่องให้เห็นร่างของสตรีนางหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่เคยสกปรกมอมแมมไปด้วยคราบต่างๆ บัดนี้ถูกเช็ดออกไปจนเผยให้เห็นความงามของสตรีที่หลี่เวยสามารถพูดได้เต็มปากว่านางคือหญิงสาวผู้งามล่มเมืองจริงๆ
เนื้อตัวนอกร่มผ้าก็ถูกเช็ดจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้วเช่นกัน ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติหากมิใช่เจ้าของบ้านอย่างหลี่เวยกำลังนั่งกุบขมับด้วยความกลัดกลุ้มอยู่ที่มุมห้อง
ใบหน้าของนางทำให้เขานึกย้อนไปถึงการบรรยายในเนื้อหาของนิยายในชาติก่อน งดงามปานล่มเมือง ดวงตาดอกท้อ ใบหน้ายั่วยวนเสมือนนางจิ้งจอก บริเวณตาจะมีไฝติดอยู่
แม้ดวงหน้าของนางจะไม่ได้เกลียงเกลา ทว่าลักษณะที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์นี้กลับทำให้นางดูงดงามมากขึ้น
หลี่เวยจำได้ขึ้นใจ สตรีนางนี้ก็คือนางร้ายตัวประกอบเหมือนกันเขา หลินเสี่ยวเป้ย!
นาง...นางคือหลินเสี่ยวเป้ย!นางร้ายที่รังแกนางเอกไม่เว้นแต่ละวันน่ะหรือ!?