หม่าหยวนเป็นเด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานสูง ใจจริงเขาอยากไปเรียนในสำนักศึกษาทว่าสถานะของครอบครัวไม่สามารถส่งเสียให้เขาทำตามความฝันได้
เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจมุ่งมั่นจึงออกเดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่เมืองสวีโจว อีกฝ่ายทำงานเก็บเงินอย่างหนักหมายมั่นว่าจะใช้มันเพื่อส่งตัวเองเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างที่หวังไว้
แต่โลกนี้ทุกอย่างไม่ได้ราบลื่นสำหรับทุกคน เพราะบางอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หม่าหยวนต้องประสบกับปัญหามากมายที่เด็กคนนึงไม่ควรประสบพบเจอ
ไม่ว่าจะเป็นการรีดไถจากพวกอันธพาล การคดโกงของนายจ้าง หรือแม้แต่การถูกขอทานข้างทางขโมยเงินทีเผลอ
ในทุกๆ เดือนหม่าหยวนก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนบิดามารดาอย่างสม่ำเสมอ ก่อนหน้านี้หลี่เวยเคยเห็นอีกฝ่ายบางครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน
กึกๆๆๆๆ
เสียงเกวียนวัวดังกึกกักยามล้อตกลงไปในหลุมและบ่อ วันนี้เป็นอีกครั้งที่หลี่เวยต้องทนกับอาการวิงเวียนศีรษะเพราะถนนที่ค่อนข้างย่ำแย่
เพราะแรงสะเทือนของมันทำให้หลี่เวยไม่กล้าแม้แต่จะเอาหลังไปพิงบริเวณขอบของเกวียนด้วยซ้ำ
"หลี่เวยเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า" คนขับเกวียนวัยกลางคนเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทีเกร็งผิดปกติจึงหันไปเอ่ยถาม
หลี่เวยส่ายหน้าตอบกลับยิ้มๆ
"มิเป็นไรขอรับท่านอา ข้าแค่เมื่อยนิดหน่อย"
"อื้ม เช่นนั้นข้าจะเร่งเกวียนให้ เราจะได้ไปถึงเมืองสวีโจวเร็วๆ"
หลี่เวยหน้าซีดเผือด เดิมคิดจะเอ่ยห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว บุรุษคนดังกล่าวเอ่ยจบก็สะบัดแซ่เสียงดังเพี๊ยะพ๊ะทำให้วัวสองตัวที่ลากเวียนอยู่เร่งความเร็วเป็นทบทวี
เกวียนวัวที่โคลงเคลงเป็นทุนเดิมความนี้กลับหนักยิ่งกว่าเก่า หลี่เวยถึงกับผวาต้องหาที่ยึดเหนี่ยวเพื่อไม่ให้ตัวเขากระเด็นตกเกวียนไปเสียก่อน
มือข้างหนึ่งจับที่ยึดเหนี่ยว อีกข้างประคองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือมากมายเอาไว้ การนั่งเกวียนครั้งนี้จะเป็นประสบการณ์ที่หลี่เวยจะจำไปจนวันตาย
ชายหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึม เขาจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่ควบคุมเกวียนรถอย่างเมามัน หลี่เวยรวบรวมพลังหมายจะเอ่ยบอกให้เขาขี่ช้าลงหน่อย แต่ขณะที่เขากำลังจะอ้าปาก เกวียนพลันตกบ่ออย่างแรงจนชายหนุ่มกระเด้งลอยไปในอากาศก่อนจะกลับลงมานั่งในท่าเดิม
"ทะ ท่านอา ข้าไม่รีบขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องบังคับเกวียนเร็วก็ได้"
เสียงของชายหนุ่มสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด บุรุษวัยกลางคนหันกลับมาทางด้านหลังก็เห็นว่าสภาพของชายหนุ่มดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ความอับจนแล่นจับหัวใจ
"อื้ม เอางั้นก็ได้" ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเก้อกระดาก
หลี่เวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองอาจจะต้องทิ้งชีวิตที่พึ่งได้มาใหม่ไว้กลางทางเสียแล้ว
ดวงตาสีดำสนิทหันมองข้างกายซึ่งมีตะกร้าสานมากมายวางเรียงรายจนแน่นขนัด พวกมันคือข้าวของที่ชาวบ้านฝากมาขายนั่นเอง จนถึงตอนนี้หลี่เวยพึ่งจะเข้าใจว่าทำไมชาวบ้านหลายคนจึงมักจะกำชับว่าให้อีกฝ่ายมัดข้าวของให้แน่น
ดูท่าท่านอาผู้นี้คงจะเป็นนักซิ่งแห่งโลกโบราณกระมัง!และนี่ก็น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขับเกวียนโดยไม่สนสี่สนแปดด้วย
หลี่เวยมองนกมองไม้ตามรายทางไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มก็เอ่ยปากชวนจางหั่วปินพูดคุยเรื่องสัพเพเหะระไปตลอดทาง กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาโผล่ที่หน้าประตูเมืองสวีโจวเสียแล้ว
"หากเจ้าทำธุระเสร็จก่อนก็มารอข้าที่ตรงนี้เล่า"
"ทราบแล้วขอรับท่านอา"
หลังชายวัยกลางคนอุ้มหลี่เวยวางบนลงเข็นแล้วก็กับชับอีกสองสามคำแล้วก็แล่นเกวียนวัวจากไป
หลี่เวยมองตามเงาหลังของอีกฝ่ายจนหายลับไปในซอยแห่งหนึ่งชายหนุ่มจึงค่อยละสายตาออกมา เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก จุดมุ่งหมายแรกที่เขาไปก็คือร้านหมื่นอักษร
ระหว่างทางหลี่เวยพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนก็จับจ้องมาทางเขาพลางหันไปซุบซิบพูดคุยกับสหายข้างกาย ซึ่งบทสนทนาส่วนใหญ่ของพวกเขาก็เกี่ยวกับขาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม บางคนก็มองมาทางเขาแล้วก็ละสายตาไปอย่างเฉยชา ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติอะไร
ดูท่าแล้วพวกเขาคงจะลืมท**นหลี่เวยผู้ที่ครั้งนึงเคยสร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองสวีโจวแล้วจริงๆ
แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเมื่อเขาจะทำอะไรทุกอย่างก็จะง่ายดายขึ้นกว่าเดิมมาก
ชายหนุ่มไม่เก็บเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจอีก
วันนี้ร้านหมื่นอักษรก็ยังคงมีคนพลุกพล่านเช่นเคย ชายหนุ่มเข็นรถเข้าไปอย่างไม่เร่งไม่ร้อน และผู้ที่เข้ามารับหน้าก็หาเป็นคนคุ้นตา
"อ้าว เราเจอกันอีกแล้วนะขอรับ" บุรุษสวมชุดสีขาวซึ่งน่าจะเป็นเครื่องแบบเฉพาะของร้านหมื่นอักษรยิ้มเอ่ยกับชายหนุ่ม
"ใช่ เรากันอีกแล้ว" หลี่เวยยยิ้มรับ
"ไม่ทราบครานี้ลูกค้าต้องการซื้อสิ่งใดหรือไม่" อีกฝ่ายถามพลางมองสำรวจหลี่เวยเหมือนปกติ
"เราเจอกันมาสองครั้งแล้ว ข้ามีนามว่าหลี่เวย ท่านเรียกข้าเช่นนั้นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพกับข้ามากนักหรอก ข้าไม่ชินน่ะ" หลี่เวยยิ้มยีฟันให้อีกฝ่ายก่อนที่สอดส่ายสายตาไปมาแล้วเอ่ยต่อเสียงกระซิบ
"วันนี้ข้าไม่ได้มาซื้อของ แต่ข้ามาขายหนังสือที่ข้าเขียน"
บุรุษชุดขาวผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่ชายตาจะเหลือบเห็นกระดาษปึกหนึ่งที่วางนิ่งอยู่บนตักของอีกฝ่ายจึงพยักหน้า
"งั้นเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเข้าไปพบกับเถ้าแก่"
"ได้" หลี่เวยผงกศีรษะรับก่อนจะเข็นรถตามอีกฝ่ายไปติดๆ ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูไม้บานหนึ่ง
บุรุษชุดสีสาวส่งสายตาไปทางหลี่เวยพลางเอ่ยกำชับ
"ลูกค้าท่านนี้ ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนว่า... "
"หลี่เวย" อีกฝ่ายเอ่ยไม่ทันจบชายหนุ่มพลันเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
บุรุษชุดขาวคิ้มกระตุก ใจจริงเขาคิดว่าจะเรียกอีกฝ่ายด้วยฐานะหรือชื่อแซ่ความจริงก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก ทว่าเมื่อมันเป็นจุดประสงค์ของเขาบุรุษชุดขาวก็ไม่อยากขัด
เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
"หลี่เวยข้าขอเตือนเจ้าว่าเถ้าแก่ของพวกเราเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก ทางที่ดีเมื่อเจ้าเข้าไปแล้วควรจะทำตัวให้สงบที่สุด"
"ได้ ข้าทราบแล้ว" หลี่เวยพยักหน้ารับ
เมื่อสองฝ่ายพูดคุยกันได้เรียบร้อย บุรุษคนดังกล่าวเคาะประตูไม้สองครั้ง ทั้งคู่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูพักใหญ่ก่อนที่จะได้ยินเสียงขานรับดังมาจากด้านใน
"เข้ามาได้"
เมี่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง บุรุษชุดขาวจึงผลักประตูเปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน พริบตาแรกที่หลี่เวยเข้ามาชายหนุ่มก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น
รอบห้องถูกประดับตบแต่งไปด้วยไหสุรมามากมาย แถมในไหสุราดังกล่าวยังมีสัตว์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตะขาบ งู หรือแมงป่องถูกแช่เอาไว้อีกด้วย
สำหรับคนกลัวตะขาบอย่างหลี่เวยแล้วการเห็นภาพพวกนี้ทำเอาเขาขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว
"เถ้าแก่" บุรุษชุดขาวทำความเคารพคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง
หลี่เวยละสายตาจากสิ่งที่เห็นแล้วเบนสายตาไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยข้าวของมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว โดยเฉพาะกระดาษที่ถูกวางกระเกระกะ บางส่วนถึงบนร่วงหล่นไปกองอยู่บนพื้นเสียด้วยซ้ำ
บนเก้าอี้ทำงานเป็นชายสูงวัยผู้หนึ่งกำลังอ่านกระดาษในมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เส้นผมสีดอกเลากระเซอะกระเซิงขอบตาดำขล้ำ หลี่เวยส่งสัยยิ่งกว่าชายชราคนนี้ได้นอนพักผ่อนบ้างหรือไม่
"เถ้าแก่" หลี่เวยเข็นรถขึ้นมาด้านหน้าก่อนเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
ชายชราละสายตาจากกระดาษในมือชั่วขณะ เขาเหลือบมองทั้งสองก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกระดาษในมืออีกครั้ง
"มีอะไร"
"เถ้าแก่ ข้าอยากจะขายหนังสือให้ร้านหมื่นอักษรของท่าน" หลี่เวยเอ่ยตอบเสียงแจ่มชัด
ชายชราตอบกลับโดยไม่ละสายตา
"เจ้ากลับไปเถอะ วันนี้มีคนขายหนังสือให้ข้ามากพอแล้ว"
หลี่เวยอึ้งงัน เขาหันไปสบตากับบุรุษชุดขาวที่อยู่ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ อีกฝ่ายเองก็ทำท่าทีบุ้ยใบไปทางผู้เฒ่าสูงวัยเป็นเชิงให้เขาเอ่ยต่อ
หลี่เวยพยักหน้ารับรู้ เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะเริ่มแสดงละครฉากหนึ่ง
น้ำตาปลอมๆ ไหลนองออกจากหางตา ใบหน้าหล่อใสบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นน่าสงสารน่าเวทนายิ่งนัก
"ท่านปู่ได้โปรดเท่านช่วยพิจารณาหนังสือของข้าก่อนเสียหน่อยเถอะ หากไม่ถูกใจท่านค่อยปฏิเสธก็ยังไม่สายนะขอรับ ข้าอุตส่าห์ใช้เวลาทั้งวันคืนเขียนมันขึ้นมาแทบไม่ได้หลับนอน กว่าจะเขียนเสร็จก็ต้องพาร่างที่พิการของข้าบากบั่นดั้นด้นจากหลังเขาเพื่อขายมันให้ท่าน บ้านของข้ายากจนนัก หากวันนี้ไม่ได้เงินกลับไปเกรงว่าข้าคงจะอดตายกันทั้งครอบครัว ฮือ ฮือ"
บุรุษชุดขาวอ้าปากค้างด้วยความทึ่งจัด จะ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างร้ายกาจนัก เมื่อครู่ยังหน้าระลื่นอยู่เลย ไฉนจู่ๆ จึงร่ำไห้ปานจะขาดใจได้เล่า
ชายชราละลายตามองร่างของชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่บนรถเข็นจริงๆ ก็เกิดความเวทนาขึ้นมา
"ช่างเถอะๆ เจียงผิงเจ้าหยิบกระดาษของเขามาให้ข้าอ่านหน่อยสิ"
"ขอรับ" ชายชุดขาวรับคำก่อนจะนำกระดาษที่หลี่เวยส่งให้ยื่นไปทางผู้สูงวัย
หลี่เวยมองบุรุษชุดขาวแวบหนึ่ง ที่แท้ชายคนนี้ก็ชื่อเจียงผิงนี่เอง
ชายชราเหลือบมองชื่อเรื่องก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
"อื้ม ยอดบุรุษสกุลฉิน ตั้งชื่อได้แปลกนัก"
หลี่เวยกลอกตาไปมา แน่ล่ะ เท่าที่เขากวาดตาผ่านชั้นหนังสือที่ด้านนอก ชื่อเรื่องส่วนใหญ่อย่างกับประพันธ์บทกลอน ไม่รู้จะยาวไปไหน
เพียงย่อหน้าแรกที่ผู้ชรากวาดตาผ่านก็ทำเอาเขาผงะงัน เขาขยี้ตาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
"นะ นี่มัน!"
"เป็นอย่างไรเล่าขอรับ หนังสือของข้าดีมากใช่หรือไม่" หลี่เวยตอนนี้ไม่เหลือคราบของชายหนุ่มผู้หน้าสงสารอีกต่อไป มีเพียงชายพิการที่หยิ่งผยองเท่านั้น
ชายชราหันมาสบตาของหลี่เวยอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาชายหนุ่มแทบกระอัก
"เจ้าหนุ่ม ลายมือของเจ้าแย่มาก เกรงว่าแม้แต่หลานชายวัยเจ็ดขวบของข้า เจ้าก็ยังเทียบเขาไม่ได้"
หลี่เวยรู้สึกกระดากยิ่งนัก แต่สำหรับคนที่มาจากโลกอนาคตอย่างเขาที่พู่กันได้รับความนิยมเฉพาะคนบางกลุ่ม การเขียนได้ขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วมิใช่หรือ
คิดได้แล้วชายหนุ่มรีบเอ่ยแก้ตัว
"ท่านผู้เฒ่า จุดเด่นของข้ามิใช่การเขียนตัวหนังสือ แต่เป็นเนื้อหาของหนังสือต่างหาก"
ชายชรามองหลี่เวยอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จะเบนความสนใจกลับมาที่กระดาษเบื้องหน้า ดวงตาคมกวาดอ่านทุกตัวหนังสือ
บรรยากาศโดยรอบถูกความเงียบเข้าปกคลุมหลี่เวยและเจียงผิงไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไร ทว่าดวงตาสองคู่ยังคงจับจ้องชายชราไม่คลาย
"อื้ม ยอดเยี่ยม" ชายชราพึมพำเสียงเบา ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดดูจะผ่อนคลายลงมาก เขาพยักหน้าหลายครั้งจนเส้นผมสีดอกเลาสะบัดไหวไปตามแรง
หลี่เวยดีใจจนเนื้อเต้น กิริยาของชายชราเมื่อครู่นี้แสดงว่าหนังสือของเขาเข้าตาอีกฝ่ายแล้วใช่หรือไม่
"เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร" ท้ายที่สุดชายชราก็เปิดปากถามเขา
"หลี่เวยขอรับ"
ได้ยินคำว่าหลี่เวย ชายชราถึงกับหันควับ สายตาเต็มไปด้วยความกังขา