หลี่เวยนั่งอยู่บนรถเข็น สายตาของเขามองทอดออกไปที่นอกหน้าต่าง สายลมอ่อนโชยพัดผ่านต้นไม้ใบหน้าสีเขียวขจี เสียงซวบซาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็น
ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มว่างเปล่ายิ่ง นอกจากตัวเขาเองแล้วคนภายนอกย่อมไม่มีทางคาดเดาถึงความคิดของเขาออกได้อย่างแน่นอน
จางเหรินนั่งจิบน้ำอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยถัดจากชายหนุ่มไปไม่ไกลนัก ดวงตากลมโตของเด็กน้อยจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มราวกับกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง
ยามนี้ผู้ใหญ่บ้านจางไม่อยู่ จางเหรินจึงคิดจะฉวยโอกาสเปิดโปงหน้ากากจอมปลอมของหลี่เวยคนโฉดให้จงได้เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าบุรุษผู้นี้ก็ยังคงเป็นชายที่น่ารังเกียจอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แน่
กับสิ่งที่ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากว่าว่าหลี่เวยเริ่มกลับมาทำตัวเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง จางเหรินย่อมเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างยามออกไปวิ่งเล่นกับเด็กในวัยเดียวกัน หลายวันมานี้ไม่มีใครเห็นชายหนุ่มจ้างคนในหมู่บ้านที่เดินทางเข้าเมืองให้ซื้อเหล้ากลับมาเท่านี้ก็นับว่าอัศจรรย์แล้ว
ยิ่งประกอบกับข่าวลือที่ว่ามีคนไปซุบซิบนินทาชายหนุ่มในระยะเผาขนแต่อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีอื่นใดออกมาเสียด้วยซ้ำ
เด็กน้อยคิดถึงตอนนี้แล้วพลันเค้นเสียงออกจมูก ในใจของนางมีความอคติต่อบุรุษผู้นี้เต็มไปหมด ไม่ว่ายังไงนางก็ไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้เด็ดขาด
นางต้องทำให้หลี่เวยเผยธาตุแท้ออกมาให้จงได้!
"พี่หลี่เวย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าค่ะ" เสียงใสของดรุณีน้อยเรียกสติที่หลุดลอยไปของหลี่เวยให้กลับมา
ดวงตาคมกริบแต่แฝงไปด้วยความเฉยเมยของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ร่างเล็กกระจ้อยร่องด้านข้าง
"ข้าอยากให้ท่านอ่านตรงนี้ให้ข้าฟังเจ้าค่ะ"
หลี่เวยเหลือบมองไปก็พบว่าในมือของเด็กน้อยมีตำราอยู่เล่มหนึ่ง หลี่เวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
ราวกับรู้เท่าทันความคิด จางเหรินรีบเอ่ยต่อ
"มันเป็นตำราของท่านอา ปกติเขาไม่ยอมให้ข้าแตะต้องมัน แต่ข้าอยากรู้มากท่านช่วยอ่านให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าค่ะ" ท่าทางของสาวน้อยดูน่าสงสารยิ่ง
"ได้สิ"
คำตอบของเขาทำให้ดรุณีน้อยประหลาดใจ ทว่านางก็ยังคงยื่นตำราให้ชายหนุ่มแต่โดยดี
"อยากให้อ่านตรงไหนเล่า" หลี่เวยถาม
เด็กน้อยยิ้มร่า ถือวิสาสะปีนขึ้นมาบนตัวของชายหนุ่มใช้นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่ตัวหนังสือบนนั้น
หลี่เวยมองเด็กน้อยด้วยสายตาพิลึก แต่ไม่นานเขาก็พอจะคาดเดาถึงเจตนาที่แท้จริงของนางได้
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนไม่ถือสาการกระทำอันไร้มารยาทของเด็กน้อย เขาอ่านตำราเสียงดังฟังชัดสมกับฐานะผู้ที่รับการศึกษาจากเมืองสวีโจว แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านจางซึ่งกำลังเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขนก็ยังต้องเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ
บนเก้าอี้รถเข็น ชายหนุ่มผู้สง่างามนั่งเองพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส ท่าทางของเขายามนี้ทำให้จางเหรินตะลึงงัน
ภาพของบุรุษจอมเสเพลเอาแต่ใจในหัวนางหายวับ ถูกแทนที่ด้วยภาพของบุรุษหนุ่มผู้เปรียบได้กับเทพเซียนบนสวรรค์
แขนข้างหนึ่งถือตำราเล่มหนาอย่างมั่นคง อีกข้างโอบร่างของเด็กน้อยเอาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงว่าอาจจะตกลงไปแล้วจะได้รับบาดเจ็บ
"แค่ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลี่เวยยิ้มถามเมื่อเห็นดรุณีน้อยที่ปีนขึ้นมาบนตัวเขาปากอ้าตาค้างอยู่หลายอึดใจ
"เสี่ยวเหริน เจ้าทำอะไร" เสียงดุเคร่งของชายชราดังมาจากมุมหนึ่ง
ดรุณีน้อยสะดุ้งโหยง นางรีบปีนป่ายลงจากรถม้าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
"ท่านปู่" จางเหรินเอ่ยเสียงสั่น
ผู้ใหญ่บ้านจางมองหน้าหลานสาวตัวแสบ การกระทำของนางมีหรือที่เขาจะไม่ทราบ เด็กน้อยคนนี้ร้ายกาจตั้งแต่วัยเยาว์เชียวหรือ เห็นทีเขาต้องจัดการอย่างเด็ดขาดเสียแล้ว
ดวงตาของชายชราเบนไปยังชายหนุ่มบนรถเข็นอีกครั้ง ตอนนี้หลี่เวยปิดหน้าตำราลงแล้ว ความสนใจที่มีทั้งหมดก็ถูกถ่ายเทไปให้ต้นไม้ใบหญ้าที่ไหวเอนไปมาด้านนอกหน้าต่าง
"เสี่ยวเหรินไม่รู้จักขอบเขต หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสานะ" ชายชราเดินเข้ามาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ
หลี่เวยยิ้มมองอีกฝ่ายก่อนส่ายหน้าช้าๆ
"นางยังเด็ก ข้าไหนเลยจะถือสาได้"
แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็ยังอ่อนโยน นี่ยิ่งทำให้ฐานะของหลี่เวยในใจเขาถูกยกสูงขึ้นยิ่งขึ้น แต่ไหนมาผู้ใหญ่บ้านจางก็มักจะเอ็นดูเด็กๆ ในหมู่บ้านเป็นทุนเดิม
ยิ่งกับหลี่เวยที่เป็นหน้าเป็นตาให้หมู่บ้านโดยการไปร่ำเรียนหนังสือในเมือง แม้ผลสุดท้ายจะไม่เป็นดั่งหวังแต่ก็นับว่าดีมากแล้ว
ตอนนี้หลี่เวยทำตัวดีขึ้นจากแต่ก่อนมาก มีหรือที่ผู้ใหญ่บ้านจางจะไม่ดีใจ
"นี่เงินของเจ้า ส่วนอันนี้ข้าให้เจ้าไปทำกิน"
หลี่เวยรับเงินจากมือของชายชราอย่างนอบน้อมก่อนจะชะงักเมื่อเห็นไข่ไก่อีกสองฟองในมือของผู้ใหญ่บ้าน
"ตามข้อตกลงของเรา สิ่งตอบแทนข้าเพียงแค่เงินก็พอแล้วขอรับ ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องสิ้นเปลืองกับข้ามากเช่นนี้" หลี่เวยเอ่ยปฏิเสธ
"รับไปเถอะ ถือว่าเป็นคำขอโทษที่เสี่ยวเหรินเสียมารยาทต่อเจ้าเมื่อครู่" ชายชรากล่าวหว่านล้อม
เมื่อเห็นปฏิเสธไปก็มีแต่เสียเปล่าเพราะท่าทางของชายชราคือจะไม่ยอมจนกว่าชายหนุ่มจะรับมันไป หลี่เวยก็ผงกศีรษะแต่โดยดี
"เช่นนั้นข้าไม่ปฏิเสธท่านแล้ว
หลี่เวยกล่าวอำลากับผู้ใหญ่บ้านไม่นานก็เข็นรถกลับบ้านไปด้วยจิตใจที่เบิกบาน นอกจากจะได้เงินแล้วเขาก็ยังได้ไข่มาอีก เพียงพอที่จะทำให้เขาอิ่มไปได้อีกหนึ่งมื้อเชียว
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้าน หลี่เวยเปิดประตูเข้าไปก็ต้องมุ่นคิ้วแน่น เมื่อเห็นว่าตอนนี้บ้านของเขาถูกรื้อของจนข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น
หลี่เวยเข็นรถต่อไปเบื้องหน้าก็ได้ยินเสียงของสตรีดังแว่วมาจากห้องนอน
"เจ้าตัวดีนั่นมันเก็บเงินเอาไว้ที่ไหน!"
เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ หลี่เวยขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเขาไม่เคยได้ยินเสียงของสตรีนางนี้มาก่อน
เขาค่อยๆ ถอยออกจากบ้านอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรีบเข็นไปที่บ้านของจางไท่อิงที่อยู่ไม่ไกล หลี่เวยรีบเอ่ยเรียกเสียงเคร่ง
"ท่านน้า! ท่านอยู่หรือไม่!?"
รอไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก แต่คราวนี้คนที่เปิดหาใช่จางไท่อิง แต่เป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ใบหน้าของอีกฝ่ายนับว่าค่อนข้างหล่อเหลา เรือนกายกำยำสูงใหญ่ ผิวเนื้อเป็นสีทองแดงชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักหนา
หลี่เวยมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
"ท่านอา"
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่คล้ายบิดาของเขาถึงแปดส่วน แต่เมื่อคิดถึงวีรกรรมของอีกฝ่ายในหลายปีที่ผ่านมาความเอ็นดูที่เกิดขึ้นก็หายวับไปทันที
"มีอะไรหรือ" ชายวัยกลางคนถามเสียงเรียบ
"คือว่าตอนนี้ที่บ้านข้ามีใครก็ไม่รู้เข้ามารื้อข้าวของบ้านข้าจนกระจัดกระจายไปหมด ข้าไร้หนทางจึงจะมาขอให้ท่านช่วยไปตามผู้ใหญ่บ้านให้หน่อยได้หรือไม่"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหม่าเซี่ยพลันมุ่นคิ้ว สายตามองไปยังบ้านข้างๆ ก็ได้ยินเสียงโครมครามแว่วมาจริงๆ
"เจ้ารอตรงนี้" พูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านคว้าเอาอุปกรณ์ล่าสัตว์ออกมา
"ไป พาข้าไปดูสิว่าโจรที่ไกลมันกล้าบุกบ้านคนกลางวันแสกๆ"
หลี่เวยมองมีดพร้าในมือของชายวัยกลางคนตรงหน้าก่อนเอ่ยยิ้มแหย
"ข้าว่าไม่ต้องถึงขั้นลงมือลงไม้กระมัง เท่าทีข้าได้ยินอีกฝ่ายเป็นสตรีคนหนึ่ง"
หม่าเซี่ยชะงักไป ไม่ต้องลงไม้ลงมือ?
ดวงตาคมกริบจ้องหน้าเด็กหนุ่มบนรถเข็นด้วยความไม่อยากเชื่อ คนที่มีจิตใจชั่วร้ายเช่นหลี่เวยน่ะหรือจะไม่อยากให้เขาลงมือ
"เช่นนั้นก็ได้ งั้นเราไปดูกันเถอะ" หม่าเซี่ยเหน็บมีดพกไว้ที่หลังเอวก่อนจะไสรถพาหลี่เวยไป
เมื่อพวกเขาสองคนมาถึงหน้าบ้าน สายตาพลันเหลือบเห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินสวนออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าอึมครึม
อีกฝ่ายมีร่างกายอวบอ้วน ผิวกายเป็นสีดำราวก้นหม้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยไม่น่าพิศมัย เส้นผมบนศีรษะกระเซอะกระเซิงราวไม่ได้สระมาเป็นแรมปี
"จางลี่? เจ้ามาทำอะไร?!"
หลี่เวยใจกระตุกวูบ ที่แท้สตรีวัยกลางคนตัวอ้วนดำคนนี้ก็คือท่านป้าใหญ่ผู้ชั่วร้ายของเขานี่เอง
ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มมุมปาก หรือว่านี้จะเป็นโอกาสดีที่จะได้กอบกู้ชื่อเสียงอันเน่าเฟะให้กลับมาดียิ่งขึ้นอีกครั