หลี่เวยนั่งเอามือก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ เพราะตอนนี้เสื้อผ้าที่มีของเขาไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว
"แล้วทำยังไงดีล่ะทีนี้" หลี่เวยถอนหายใจเฮือกใหญ่
ใช้ชีวิตตัวคนเดียว หากเป็นยามปกติเขาก็คงไม่หนักใจเช่นนี้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหลี่เวยกลับเป็นคนพิการขาทั้งสองข้าง เรื่องการซักผ้าด้วยตัวเองแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ชายหนุ่มกำลังจนหนทางไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ขณะนั้นสายตาพลันเหลือบเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินผ่านหน้าบ้านของเขาไปด้วยใบหน้าเบิกบาน
สตรีที่ว่ามีอายุประมาณสิบหกปี รูปร่างค่อนข้างอ้วนท้วนหน้าตาก็ถือว่าธรรมดาหาได้ทั่วไป หลี่เวยกลอกตาไปมาครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก
"หยุดก่อน!"
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันดึงสติที่เบิกบานของหญิงสาวให้กลับมา สายตาที่มองนกมองไม้เมื่อครู่หันควับมองทางชายหนุ่มด้วยความสงสัย
แต่เมื่อนางเห็นว่าใครเป็นผู้ที่เรียกรั้งนางไว้หญิงสาวก็สะดุ้งโหยงราวถูกไฟช็อต ร่างอ้วนท้วนตั้งท่าเตรียมวิ่งหนีในอึดใจถัดมา
"ข้าบอกให้หยุดก่อน เจ้ามิได้ยินรึ!" น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นกว่าเดิมมาก สาวน้อยตกใจจนแทบสิ้นสติ ได้แต่หยุดอยู่กับที่แต่โดยดี
หลี่เวยเข็นรถเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม
"เจ้าจะไปซักผ้าที่แม่น้ำหรือ?"
"เจ้าค่ะ" หญิงสาวก้มหน้าตอบพยายามไม่สบตากับชายหนุ่มบนรถเข็นด้านข้าง ท่าทางดูหวาดกลัวยิ่ง
"เจ้าเป็นบุตรสาวสกุลใด"
ได้ฟังคำถามนี้ของชายหนุ่ม ร่างน้อยตรงหน้าพลันสะท้านเฮือกด้วยความตกใจ นางไม่เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายจะถามเช่นนี้
เพียงไม่นานความคิดถึงวาบเข้าสู่ห้วงความคิด หรือว่าเขาถูกตาต้องใจนางเข้าแล้ว จึงคิดไปสู่ขอนางกับบิดามารดา ไม่ได้! จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด ข้าจะไม่ยอมตบแต่งกับบุรุษชั่วช้าผู้นี้เด็ดขาด!
"ขะ ขออภัยแต่ข้ามีคนที่ชอบแล้วเจ้าค่ะ!" สาวน้อยกลั้นใจตอบด้วยความกวาดกลัว
เห็นท่าทางหวาดหวั่นของนางหลี่เวยพลันหน้าเจื่อน เขายังไม่ทันได้เอ่ยถึงจุดประสงค์ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคิดเองเออเองไปถึงไหนแล้ว
เปลือกตาถูกปิดแน่นสนิทเตรียมทนฟังเสียงด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยวของชายหนุ่มอยู่นานแต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้น
หญิงสาวจึงค่อยๆ เลิกตาขึ้นช้าๆ ก็เห็นว่าตอนนี้เบื้องหน้ามีชายหนุ่มรูปงามแต่ผอมซูบนั่งจ้องตนเองนิ่งๆ
"เจ้าคิดอะไรอยู่? "
สาวน้อยอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความอับอาย เพราะตอนนี้นางรู้แล้วว่าเป็นนางเอกที่คิดเลยเถิดไปไกล
ยิ่งเห็นท่าทางเฉยเมยของเขาแล้วนางก็ยิ่งมั่นใจ หญิงสาวก้มหน้าน้อยๆ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
"ข้าชื่อจางหยูเจ้าค่ะ"
หลี่เวยพยักหน้ารับเรียบๆ พลางกล่าว
"อื้ม ที่แท้ก็บุตรสาวของลุงจางนี่เอง จางหยูเจ้าอยากได้เงินหรือเปล่า"
ได้ฟังคำพูดของเขาความกลัวที่ก่อขึ้นในใจก็ถูกทดแทนด้วยความโกรธเกรี้ยว จางหยูเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแปลกพิลึก
หลี่เวยมุมปากกระตุก หลังเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างลิบลับของหญิงสาวแล้วชายหนุ่มก็เดาได้ว่าตอนนี้นางกำลังคาดเดาเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่อีกแน่
จางหยูจ้องอีกฝ่ายจนตาแถบถลนออกจากเบ้า เขาต้องเป็นคนยังไงกันแน่จึงคิดจะใช้เงินมาล่อหลอกเด็กสาวเช่นนาง บุรุษแซ่หลี่เป็นผู้ชายสารเลวเหมือนที่คนในหมู่บ้านร่ำลือกันจริงๆ หึ่ม!
"เกรงว่าท่านคงต้องไปถามหากับคนในเมืองแล้ว ข้าจางหยูแม้ยากจนแต่ไม่คิดขายเรือนกายแลกเงินเจ้าค่ะ" หญิงสาวยืดอกท่าทางดูภูมิใจนักหนา
แต่รออยู่นานก็ยังไร้การตอบกลับ จางหยูมองไปทางชายหนุ่มพบว่าเขายังคงสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอายอีกหน
ข้าคิดเองเออเองอีกแล้วหรือนี่!
หลี่เวยไม่คิดใส่ใจกับท่าทีของนางอีก เขารีบเอ่ยขัดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
"ผ้าของข้าไม่มีใส่แล้ว ครั้นจะไปซักเองก็คงจะไม่สะดวก ไหนๆ เจ้าก็จะไปซักอยู่แล้วข้าเลยจะฝากเจ้าไปซักชุดของข้าแลกกับเงินสิบอีแปะ"
จางหยูเบนสายตาต่ำลงมาจางใบหน้าหล่อเหลานั้นก็พบว่าบนตักของชายหนุ่มมีกะละมังไม้ใบหนึ่งที่มีเสื้อผ้าวางอยู่สามถึงสี่ชุด
แม้จะยังคงอับอายทว่าเมื่อนึกถึงเงินสิบอีแปะที่อีกฝ่ายหญิงสาวก็ไม่รอช้าพยักหน้ารับงึกงัก
"ดี เมื่อเจ้าซักเสร็จแล้วก็จงนำผ้ากลับมาให้ข้า นี่คือสามอีแปะเป็นค่ามัดจำ เมื่อเจ้ากลับมาแล้วค่อยรับอีกเจ็ดอีแปะที่เหลือ"
"ได้เจ้าค่ะ ข้าจะรีบกลับมา" ว่าแล้วนางก็รับกะละมังไปจากมือของชายหนุ่มก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางแม่น้ำอันเป็นจุดที่เหล่าศรีภรรยามักใช้เป็นแหล่งรวมตัวเพื่อซักผ้าและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
มองตามเงาหลังอีกฝ่ายจนลับสายตาหลี่เวยจึงค่อยเข็นรถกลับเข้าบ้านไป ดูท่าชื่อเสียงของหลี่เวยคงจะต่ำแย่กว่าที่เขาคิดมากนัก ถึงขนาดพูดคุยกับเด็กสาวในหมู่บ้านเพียงไม่กี่คำอีกฝ่ายยังมีอคติกับเขามากถึงเพียงนี้
การจะมีชีวิตอยู่ในยุคที่แร้งแค้นและเต็มไปด้วยความยากลำบากสิ่งที่หลี่เวยจำเป็นต้องทำก็คือการรักษาขาของตนเองให้หายขาด
เขาพลันขบคิดถึงวิธีการรักษา ที่แม้จะไม่ยากและก็ไม่ง่ายด้วยเช่นกัน จากความรู้ที่เขามีในโลกก่อน อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจจะสามารถรักษาให้หายขาดได้จากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต้องได้รับยาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง
การออกกำลังกายมิใช่ปัญหา แต่การที่ต้องได้รับยาอย่างสม่ำเสมอเนี้ยสิ
"เห้อ!" หลี่เวยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่สายตาชายหนุ่มจะหันไปพบเข้ากับไหสุราที่วางกองอยู่ตรงมุมหนึ่ง
"เอาเถอะ ยังวันนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว เช่นนั้นก็เก็บกวาดบ้านเสียหน่อยแล้วกัน"
คิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็เริ่มลงมือในทันที เขาเก็บกวาดขยะที่หลี่เวยคนก่อนทิ้งเอาไว้เป็นของต่างหน้า
กว่าหลี่เวยจะขนขยะส่วนใหญ่ย้ายไปกองไว้ที่นอกบ้านเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ยังไม่ทันได้พักผ่อนกินน้ำดับกระหายก็ได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้นจากหน้าบ้าน
"หลี่เวย เจ้าอยู่หรือไม่"
หลี่เวยปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนไสรถออกไปด้านนอก หน้าบ้านเขาเห็นจางหยูกำลังโบกมือหยอยๆ มาทางตน กระทั่งรถเข็นหยุดลงเบื้องหน้าหญิงสาวจึงได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา
"นะ นี่คือผ้าของท่าน" ว่าแล้วนางก็ยื่นกะละมังมาทางเขา
หลี่เวยรับไว้สายตามองสำรวจมันก่อนพยักหน้าพึงพอใจ ชายหนุ่มล้วงเงินจากอกเสื้อมอบให้อีกฝ่าย
"อื้ม นี่เงินเจ็ดอีแปะของเจ้า"
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายวิบวับก่อนจะรับมาด้วยความตื่นเต้น
"ขอบคุณพี่หลี่เวยเจ้าค่ะ วันหน้าหากท่านต้องการซักอีกก็สามารถเรียกข้าได้ตลอดเลยนะเจ้าค่ะ"
มุมปากของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา พี่หลี่เวยหรือ ไม่คิดว่านางจะเปลี่ยนสีได้เร็วขนาดนี้
เห็นแววตาสุกใสของสาวน้อยหลี่เวยก็ยิ้มพยักหน้า รอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขาเปรียบดังแสงตะวันเจิดจรัส จางหยูผงะงันไปเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเอียงอาย
"ถะ ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน"
"เชิญ" หลี่เวยตอบรับ
เมื่อจางหยูเดินจากไปแล้ว ฉับพลันด้านหลังของนางก็มีสตรีในหมู่บ้านกลุ่มใหญ่เดินตามมาติดๆ ยามพวกนางเดินผ่านหน้าบ้านของเขาหลายคนยังแอบชำเลืองตามองมาด้วยสายตาประหลาดใจ
หลี่เวยแค่นเสียงออกจมูก ดูท่าพวกนางคงรู้เรื่องที่เขาว่าจ้างจางหยู แต่พวกนางไม่ไว้ใจจึงแอบตามมาดูกระมัง
หลายวันถัดมา หลี่เวยรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลายเป็นที่พูดคุยของคนในหมู่บ้าน ยามเขาเข็นรถผ่านที่ไหนผู้คนมักจะกระซิบกระซาบพลางชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นหลี่เวยกลับไม่ได้สนใจ ถึงยังไงเรื่องแบบนี้ก็มิใช่คนแรกเสียหน่อย
วันนี้เป็นวันที่หลี่เวยจะต้องมาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านเพื่อเขียนจดหมาย ยามชายหนุ่มเดินทางมาได้ครึ่งทางก็เห็นชายชราเดินสวนมาเหมือนเช่นปกติ
"หลี่เวย เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าเอง" หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
หลี่เวยไม่ปฏิเสธ ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ช่วงนี้ข่าวการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของหลี่เวยกลายเป็นที่พูดคุยทั่วหมู่บ้าน แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านจางก็แทบจะไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ตลอดการเดินทางเขาลอบสังเกตลักษณะกิริยาของหลี่เวยอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มที่มักจะทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่นบัดนี้กลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งว่าแม้โลกนี้จะแตกสลายใบหน้าของเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
"เสี่ยวหราน เปิดประตูให้ปู่หน่อยสิ" ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ รอไม่นานประตูไม้ก็เปิดออกม่าพร้อมกับศีรษะเล็กๆ ของเด็กน้อยชะเง้อออกมา
"ท่านปู่" จางหรานยิ้มบางก่อนรอยยิ้มจะจางหายไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่
หลี่เวยมองสาวน้อยนิ่งๆ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เสี่ยวหรานจ้องหน้าของหลี่เวยครู่ใหญ่ก่อนที่ในใจจะเกิดแผนการบางอย่างขึ้นมา