ชาติก่อนเพราะฐานะทางครอบครัวค่อนข้างร่ำรวยหลี่เวยจึงสามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนระดับแนวหน้าของประเทศได้
แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะรู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้าย ชีวิตของชายหนุ่มยอดเยี่ยมจนใครๆ ต่างก็อิจฉา กราฟชีวิตของหลี่เวยพุ่งขึ้นสูงจนหยุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะในด้านการศึกษา แนวคิด หรือแม้แต่ไหวพริบในการตัดสินใจชายหนุ่มล้วนทำมันได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ชีวิตของหลี่เวยย่ำแย่ถึงขีดสุด จากลูกเศรษฐพันล้าน กลับกลายเป็นชายพิการฐานะยากจน ทำอะไรก็ไม่สะดวก นอกจากความรู้ที่เขาพกติดตัวมานอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
หลังกลับจากการเขียนจดหมายให้ผู้ใหญ่บ้าน หลี่เวยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนสามสิบปีแปะ
สามสิบอีแปะถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมากสำหรับครอบครัวทั่วไป แต่นั่นไม่ใช่กับหลี่เวย ชายหนุ่มไม่คิดที่จะยอมพิการไปตลอดชีวิต ดังนั้นหนทางเดียวก็คือการรวบรวมเงินเพื่อจ้างหมอฝีมือดีสักคนมารักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายดี
เมื่อเข็นรถออกห่างจากบ้านของชายชรามาพักใหญ่ ชายหนุ่มจึงพ่นลมหายใจออกจมูกด้วยความผ่อนคลาย
โชคดีนักที่ภาษาของโลกในนิยายนี้ไม่ต่างอะไรจากโลกที่ในยุคปัจจุบัน การเขียนจดหมายจึงมิใช่ปัญหา
เงินทั้งหมดถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าและซ่อนไว้ที่อกเสื้ออย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มเข็นรถไปตามทางสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้างด้วยคิดว่าอนาคตต่อไปนี้จะใช้ชีวิตยังไง
"นั่นเจ้าหลี่เวย พึ่งไปเขียนจดหมายให้ผู้ใหญ่บ้านมาแน่ๆ เห็นทีมันคงจะเอาไปละเลงกับเหล้าหมดอีกสิท่า"
"ช่างหัวเขาเถอะ เรารีบไปดีกว่า" สหายของคนผู้นั้นเอ่ยเตือนก่อนจะรั้งแขนให้เขารีบเดินไปอีกทาง
เสียงซุบซิบของพวกเขาดังแว่วมาเป็นระยะ เป็นสัญญาณให้เขารู้ว่าหลี่เวยหาได้เป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้านจางไม่ แต่ชายหนุ่มยังคงเมินเฉย กระทั่งเขาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
ที่นี่สภาพไม่เก่าไม่ใหม่ ขนาดไม่ถือว่าใหญ่มาก หลี่เวยเข็นรถเข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูลง
นี่คือบ้านของเขา เป็นมรดกเพียงอย่างเดียวที่ตกทอดจากบิดามารดาก่อนที่พวกท่านจะสิ้นใจ หลายปีก่อนแม้ครอบครัวของหลี่เวยแม้จะไม่ได้มั่งคั่งแต่ก็ไม่ได้อัตคัด บิดาที่มีอาชีพเป็นพรารป่าสามารถหาเงินได้มากพอที่จะส่งเขาเข้าไปร่ำเรียนที่ตัวเมือง
แต่ก็โชคร้ายที่เมื่อสามปีก่อนบิดามารดาของเขาจะล้มป่วยแล้วเสียชีวิตไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ทรัพย์สมบัติที่มีก็ถูกญาติพี่น้องมาแย่งไปจนหมดสิ้น
เพียงสิ่งเดียวที่เหลือไว้ก็มีแค่บ้านหลังนี้เท่านั้น
ชายหนุ่มคิดว่าการที่หลี่เวยซึ่งเป็นอนาคตของครอบครัวกลับทำตัวเหลวไหล บางทีสาเหตุอาจมาจากการสูญเสียบิดามารดาไปก็เป็นได้
เพราะตามต้นฉบับ หลี่เวยก็มิได้ทำตัวแย่ไปเสียทุกเรื่อง แม้เขาจะเป็นคนที่โมโหร้ายของทุบตีผู้อื่น ทว่าเขาก็ไม่เคยลงมือกับสตรี หรือแม้แต่ช่วงชิงคนรักของผู้อื่น อันเป็นวีรกรรมพื้นฐานของเหล่าตัวร้าย
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าก่อนหน้านี้หลี่เวยเองก็เคยร่ำเรียนมาบ้าง
สภาพภายในบ้านรกรุงรังจนแทบไม่มีทางให้เดิน มันย่ำแย่เสียยิ่งกว่าป่าบนภูเขาซะอีก ถ้ามิใช่ว่าก่อนหน้านี้ได้รับการเก็บกวาดไปบางส่วน ชายหนุ่มคงถูกขยะเหล่านี้จนตายก็เป็นได้
ขยะมากมายกองเป็นพะเนิน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นไหสุราที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้าน
หลี่เวยคนนี้ไม่ชื่นชอบการดื่มสุรา ดังนั้นกลิ่นของมันจึงทำให้เขาค่อนข้างแสบจมูกอยู่บ้าง ชายหนุ่มหมุนรถกลับออกไปที่ด้านนอกบ้าน หยิบกิ่งไม้ออกมาเพื่อใช้มันเขี่ยไหสุราไปกองกันไปตรงมุมหนึ่งอย่างรังเกียจ
ไม่รู้ว่าที่โลกใบนี้มีที่ไหนรับซื้อไหสุราหรือไม่ หากเขานำมันไปขายเกรงว่าจะสามารถทำเงินได้มหาศาลทีเดียว
แม้เขาจะเข้ามายังโลกแห่งนิยายได้ราวเดือนเศษแล้ว แต่กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับร่างกายได้จริงๆ ก็พึ่งจะผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เศษเอง หลี่เวยจึงเริ่มวางแผนที่จะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่!
ทว่าเวลาผ่านมาถึงขนาดนี้แล้วเขากลับรู้สึกว่าขยะพวกนี้ไม่ว่าจะทุ่มเทแรงไปมากขนาดไหนก็ไม่มีทางทำให้มันสะอาดได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อยๆ เก็บกวาดมันไปทีละส่วน มาถึงตอนนี้หลี่เวยก็มั่นใจว่า การตายของวายร้ายตัวประกอบนี้คงมิใช่เพราะถูกตีจนขาหัก แต่อาจเป็นเพราะฤทธิ์สุราเสียมากกว่า
แม้ว่าหลี่เวยคนใหม่นี้จะไม่ดื่มสุราและตัดมันออกจากชีวิตอย่างเด็ดขาด แต่ร่างกายของเขาที่ชินไปกับสุราพวกนี้แล้วย่อมเกิดกิริยาตอบสนอง
มือสั่น วิตกกังวลโดยไร้สาเหตุ ปวดหัว เหงื่อออก และนอนไม่ค่อยหลับ
นี่เป็นสิ่งที่หลี่เวยต้องเผชิญในทุกๆ วัน
ทว่า...มันจะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายโดยไม่ที่สามารถทำอะไรได้เล่า...
เมื่อปัดกวาดไหสุราออกไปจนพ้นทางแล้ว เขาจึงหมุนรถเข็นออกจากบ้านไปด้วยแขนทั้งสองข้าง
ชายหนุ่มหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเขาไม่มากนัก หลี่เวยเอ่ยเรียกน้ำเสียงแหบพร่า
"ท่านน้าจาง!?"
รอไม่นานประตูบ้านก็เปิดออกมาพร้อมกับร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร
น้าจาง หรือจางไท่อิง อีกฝ่ายเป็นหญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่กับสามีและบุตรชาย พวกเขายึดอาชีพเหมือนชาวบ้านทั่วไปก็คือเก็บของป่าและปลูกข้าว
ด้วยนิสัยของหลี่เวยคนก่อน ในหมู่บ้านนี้จึงมีผู้ที่เกลียดชังชายหนุ่มมากกว่าเจ็ดส่วน อีกสามส่วนที่เหลือล้วนไม่ติดใจ แม้จะไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบเขาเช่นกัน
ในจำนวนอันน้อยนิดนั้นหลี่เวยคิดว่าอาจมีจางไท่อิงผสมอยู่ด้วย
เพราะเท่าที่เขาจำได้ คนที่พบเจอเจ้าของร่างที่ดื่มสุราจนสิ้นใจตายก็คือนาง ยามหญิงวัยกลางคนไปตามหมอเหอจากท้ายหมู่บ้านมาถึงก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หลี่เวยจากอีกโลกเข้ามาสิงร่างแทนแล้ว
"หลี่เวย เจ้ามาหาน้ามีอะไรหรือ" จางไท่อิงกล่าวด้วยความสงสัย
"ท่านน้า ข้าจำได้ว่าบ้านของท่านเลี้ยงไก่ ไม่ทราบว่ามีไข่ขายให้ข้าหรือไม่"
จางไท่อิงตะลึงงัน แต่เมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอของชายหนุ่มนางก็เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"แน่นอน เจ้าอยากซื้อเท่าใดเล่า"
"สักห้าฟองก็พอแล้วขอรับ" หลี่เวยกล่าวตอบ
หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายไปทางหลังบ้านครู่ใหญ่ก็เดินออกมาพร้อมกับไก่ราวเจ็ดฟองในมือ
"สองฟองนี้น้าให้เจ้า" จางไท่อิงยิ้มบาง
หลี่เวยจ้องหน้านางครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ
"ขอบคุณท่านน้ามากขอรับ"
"ไม่เป็นไร บ้านข้ากับเจ้าอยู่ใกล้กับแค่นี้หากขาดเหลืออะไรก็มาแบ่งซื้อที่ข้าได้"
"ขอรับ" ชายหนุ่มรับคำก่อนยื่นเงินห้าอีแปะไปให้นาง
"ใครมาเรียกหรือ?"
เมื่อเดินกลับเข้ามาในบ้าน ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่กลางบ้านพลันเอ่ยถาม จางไท่อิงยิ้มแย้มเอ่ยเสียงอ่อนโยน
"ท่านพี่ เป็นเสี่ยวเวย"
สามีของจางไท่อิงเป็นคนแซ่หม่า นามหม่าเซี่ย เขาละสายตาจากมีดคู่กายขึ้นสบตาภรรยาด้วยความฉงน
"ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้เสี่ยวเวยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เขาไม่เอาเงินที่หามาได้ไปซื้อสุราอีกแล้ว" จางไท่อิงเอ่ยเสริม
ทว่าหม่าเซี่ยกลับยังนิ่งเงียบ ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับการลับมีดอีกครั้ง
"หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็นับว่าดีไม่น้อย พี่หลี่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้ไม่ต้องทนมองลูกชายของเขาใช้ชีวิตด้วยความเศร้าโศก"
พูดมาถึงตอนนี้สีหน้าของหญิงวัยกลางคนพลันหม่นหมอง ในอดีตครอบครัวของนางกับครอบครัวของหลี่เวยเป็นสหายสนิทกัน บุรุษชอบพากันขึ้นเขาล่าสัตว์ สตรีอยู่บ้านคอยช่วยเหลือเกื่อกูลกัน
ยามหลี่เฉินจากไปไม่นาน บ้านของพวกนางก็เศร้าหมองตามไปด้วย หม่าเซี่ยและจางไท่อิงเห็นว่าตอนนี้หลี่เวยต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังจึงคิดให้ความช่วยเหลือ
ใครเล่าจะคิดว่าเด็กคนนั้นจะถือทิฐิด่ากราดพวกนางโดยไม่ไหวหน้า นับจากนั้นสองครอบครัวก็ไม่ได้สนิทสนมเชกเช่นอดีต
เมื่อได้ไข่ที่เป็นอาหารกลางวันมาแล้วหลี่เวยก็เข็นรถกลับเรือนพอดี แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างกลับเขาจะเจอคนคุ้นเคยกลุ่มหนึ่ง
"อ้าวทุกคน ดูสิว่านี่ใคร ที่แท้ก็เป็นบัณฑิตหลี่ผู้หล่อเหลานี่เอง" เสียงเอ่ยทักของบุรุษผู้หนึ่งดังลั่น ตามมาด้วยร่างของคนกลุ่มหนึ่งเดินตามมา
ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มหรี่แคบ คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาแต่ริมฝีปากกลับบางเฉียบ ใบหน้าดูหมองคล้ำเล็กน้อยดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีอุปนิสัยใจคอคับแคบ!
"ท่านบัณฑิตหลี่ ไฉนจึงเงียบเสียแล้วเล่า" บุรุษคนเดียวยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าใครที่พบเห็นต่างก็ดูออกว่าเจตนาของอีกฝ่ายคงมิใช่เรื่องดี
หลี่เวยแค่นยิ้ม เขาไม่สนใจอีกฝ่าย ขณะที่คิดจะไสรถเข็นของตัวเองผ่านไปคิดไม่ถึงว่าบุรุษคนดังกล่าวกลับเอาตัวเข้าขวางไว้
"หลี่เวย เจ้ากล้าเมินข้าหรือ! "
หลี่เวยหันมองซ้ายขวาสีหน้าฉายแววฉงน ก่อนหันถามเขาสีหน้าจริงจัง
"จางหยาง เจ้าได้ยินเสียงหมาร้องบ้างหรือไม่? "
"....."