Race – 1
ผมยืนพ่นบุหรี่อยู่ที่ระเบียง มองกลุ่มควันสีเทาค่อยๆ ย่อยสลายกลางอากาศ ในหัวก็กำลังคิดเรื่องยัยนั่น เมื่อเช้าผมยอมรับว่าตกใจที่เปิดประตูออกไปแล้วเจอเทียนยืนอยู่ตรงหน้าแถมยังมีกระเป๋าใบโตมาด้วย
แล้วบอกจะมาอยู่ที่นี่สักพัก... กำลังเล่นตลกอะไรอยู่วะ
ผมเอามือจับราวระเบียง มองตรงไปที่เส้นขอบฟ้าแล้วผ่อนลมหายใจยาวเหยียด บุหรี่ที่มือกำลังจะหมดมวน ผมเคาะก้นบุหรี่อย่างไม่ใส่ใจ นึกถึงครั้งแรกที่เจอยัยนั่น
ริมสระว่ายน้ำที่หัวหินเรามีอะไรกันทั้งที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมไม่รู้อะไรเข้าสิง มองเรือนร่างอวบอิ่มโค้งเว้าได้สัดส่วนใต้ชุดบิกินีนั่นแล้วก็เกิดมีอารมณ์ แล้วบรรยากาศดันเป็นใจ ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษ ไม่รู้จักคำว่าอดทน แล้วกลางดึกกลางดื่น ทุกคนเขาขึ้นห้องนอนกันหมด แต่ยัยนั่นดันออกมาเดินล่อเป้า ใส่แค่บิกินีผืนน้อย ไม่เรียกยั่วแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ถึงจะบอกว่ามาหาสร้อยข้อมือที่ทำตกไว้ก็เถอะ ยังไงก็ไม่ควรออกมาด้วยชุดแบบนั้นคนเดียว
ส่วนตอนที่ไปภูเก็ตนั่น ผมไม่ได้ตั้งใจพาไปด้วย
หลังส่งลูกตาลเสร็จ ผมบังเอิญเหลือบเห็นยัยนั่นยืนเอ๋ออยู่ข้างถนนก็เลยคิดจะรับไปส่งให้ ชดเชยเรื่องที่สระว่ายน้ำถึงผมจะไม่รู้สึกผิดเลยก็เถอะ
แล้วไอ้ฮานก็โทรมาตามให้ไปภูเก็ตกะทันหัน ผมจะไปส่งยัยนั่นอยู่แล้ว แต่ดันเล่นตัว ไม่ยอมบอกมาดีๆ ว่าห้องอยู่ไหน เปลี่ยนใจไม่ไปส่งแม่ง
อยากเรื่องมากเอง ช่วยไม่ได้
อ้อยเข้าปากช้าง ใครจะคายให้โง่วะ จัดหนักกันต่อที่ภูเก็ต เสร็จก็แยกย้าย
ส่วนเรื่องที่ยัยนั่นวิ่งตัดหน้ารถ ผมคิดไม่ถึงเหมือนกันแล้วก็โมโหมากด้วย เหยียบเบรกทันไม่ชนร่างกระเด็นก็นับว่าบุญแค่ไหนแล้ว ผมกำลังยุ่งๆ เรื่องรถเลยไม่ได้สนใจ กลับมาที่อู่ก็ถูกคะนิ้งต่อว่าชุดใหญ่ที่ชนแล้วหนี
‘ยังไม่ได้ชนสักหน่อย และไม่ได้หนีด้วย’ ผมเถียงในใจและบอกกับคะนิ้งไปว่า “ไว้จะหาโอกาสชดเชยให้”
ไม่คิดเลยว่าการ “ชดเชย” ที่ผมแค่พูดออกไปส่งๆ จะทำให้ผมได้เจอยัยนั่นในวันต่อมาและพามาดื่มด่ำกันต่อที่เซฟเฮาส์ ความจริงแค่เลี้ยงข้าวสักมื้อ หรือซื้อกาแฟให้สักแก้วก็น่าจะพอ แต่พอมองเอวคอดกับบั้นท้ายงอนๆ นั่นแล้วพลอยทำให้นึกถึงภาพตอนใส่บิกินีแล้วเกิดอารมณ์อยากจับฟัดขึ้นมา ปกติผมไม่ใช่คนหื่นเรี่ยราด หรือเพราะพักหลังๆ นี้ผมคลุกคลีกับไอ้แฮคมากเกินไปเลยติดเชื้อความไวไฟมาจากมันก็ไม่รู้
พูดถึงไอ้แฮค... ผมชำเลืองมองเข้าไปข้างใน เงียบเกินไปแล้ว
บุหรี่ในมือไหม้จนเกือบจะถึงก้นกรอง ผมอัดควันระลอกสุดท้ายเข้าปอด โยนก้นกรองทิ้งเดินกลับเข้ามาข้างใน สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างนึกสงสัย ประตูห้องครัวเปิดทิ้งเอาไว้แต่ไร้เงาของสองคนนั้น สายตาผมเหลือบมองข้างบนทันที พลันในหัวดันนึกเรื่องสัปดนขึ้นมา
“ไอ้แฮค!”
ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างลืมตัว ไอ้เวรนั่นมันเคยอยู่ใกล้ผู้หญิงแล้วไม่ทำอะไรเลยที่ไหนล่ะ ประตูห้องนอนที่อยู่ตรงข้างกับบันไดเปิดทิ้งเอาไว้ ผมผ่อนฝีเท้าลงอัตโนมัติ ก้าวตรงไปที่ประตูที่เปิดโล่งอย่างเงียบเชียบ
เห็นภาพยัยนั่นเงยหน้าขึ้นหอมแก้มไอ้แฮคแล้วกระซิบกระซาบกันต่อหน้าต่อตา เรียวขาผมรู้สึกเหมือนโดนอะไรถ่วงแต่ความเร็วกลับไม่ลดเลย เพียงสามก้าวผมก็ถึงประตู
“เรซ”
แฮครู้ตัวเร็วกว่าที่คิด มันรีบดึงแขนที่ฝังอยู่ในอกยัยนั่นออกหันมามองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ เหมือนเด็กแอบกินขนมแล้วโดนครูจับได้
“มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ถ้ากูส่งเสียงแล้วจะได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้เหรอ”
ผมมองข้ามไหล่ไอ้แฮคไปที่ยัยนั่น เทียนมีท่าทีผวาเล็กน้อยแต่แวบเดียวเท่านั้นยัยนั่นก็ทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังตามไปจับมือไอ้แฮคคลอเคลียอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาผมอีกต่างหาก
“แฮคอย่าลืมที่สัญญานะ”
“เอ่อ... อือ”
แฮคมองมือที่ถูกจับอ้อนกะทันหัน ขานรับอย่างไม่มีทางเลือก มันยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ไม่แม้แต่จะหันมามองผมด้วยซ้ำ
คิ้วผมขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ราวกับถูกเยาะเย้ยยังไงยังงั้น
“แฮค... มึงลงไปคุยกับกูข้างล่าง” ผมเอ่ยเสียงเย็น เหลือบไปมองยัยนั่นอย่างเย็นชาก่อนหันหลังเดินออกมา
ผมนั่งรอแฮคที่โซฟาในห้องโถงไม่ถึงห้านาทีมันก็ลงมา แฮคหยุดยืนอยู่ข้างโซฟา มันกับผมประสานสายตากันนิ่งอยู่เกือบหนึ่งนาที ไอ้แฮคก็ยักไหล่ เดินไปฉวยรีโมตเปิดทีวีแล้วหย่อนก้นลงนั่งโซฟายาวตัวเดียวกัน เว้นระยะห่างเอาไว้พอประมาณ
เสียงรายการทีวีช่วยผ่อนบรรยากาศลงเล็กน้อย ระหว่างผมกับมันเหมือนถูกความคิดของตัวเองกลืนกิน ไอ้แฮคก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“มึงทำงี้ได้ไงวะ”
น้ำเสียงมันปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ โกรธ หรือแม้แต่เสียดาย ดวงตาคมกริบของแฮคเหมือนสว่านที่ต้องการจะเจาะเข้ามาในหัวผม “สัส กูเกลียดมึงจริงๆ เรซ”
แล้วมันก็ถีบโต๊ะตรงหน้าไปทีหนึ่ง ไม่แรงมาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดเสียงกระทบของที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกโมเดลรถแข่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
ผมรู้ว่าแฮคมันอยากโวยวายเรื่องอะไร ผมไม่คิดแก้ตัว และไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องผมกับเทียนให้มันฟัง ต่อให้มันอยากรู้จนแทบคลั่งแล้วก็เถอะ
“มึงไปตกลงอะไรกับยัยนั่น” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ควานบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ ก่อนหน้านี้ผมก็สูบไปตั้งเท่าไหร่แต่รู้สึกว่าสมองยังไม่ค่อยโล่งเลย
ผมประเมินยัยนั่นต่ำไป ไม่คิดว่าการพามาที่นี่เพียงครั้งเดียวจะทำให้เกิดปัญหา
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ผมไม่พามาตั้งแต่แรกหรอก
“กูต่างหากที่ต้องถามว่ามึงทำอะไรไว้ ทำไมเค้าถึงเก็บกระเป๋ามาขออยู่กับมึงที่นี่”
“กูเปล่า”
ผมพ่นควันสีเทาออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในหัวดันปรากฏภาพกิจกรรมที่ทำกับยัยนั่นขึ้นมาเป็นฉากๆ เสียงหอบหายใจที่ปลุกเร้าอารมณ์ ร่างกายยืดหยุ่นที่ยอมแยกขาออกให้กระแทกใส่หนักๆ ในทุกท่วงท่าทำให้เลือดในกายผมพลันเดือดพล่าน ผมกะพริบตาไล่ความรู้สึกน่ารำคาญนั่นทิ้งไปก่อนสิ่งที่อยู่ใต้กางเกงจะผงาดขึ้นมาจริงๆ
ไอ้แฮคฟังเสียงปฏิเสธไร้เยื่อใยของผมแล้วถึงขั้นเอามือกุมหัว
“มึงรู้มั้ยว่าเขาเลิกกับแฟนแล้ว”
ผมหรี่ตาลง “มึงแน่ใจเหรอ”
“เทียนบอกกูเองว่าเพิ่งเลิกกับแฟน โดนไล่ออกมาตอนนี้ไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีก”
ผมนิ่งฟังพลางขมวดคิ้ว
“และมึงคือสาเหตุที่ทำให้เค้าเลิกกัน”
“….”
“มึงจะเอายังไง”
แฮคพูดอย่างกับผมไปทำน้องสาวมันท้องแล้วบีบให้แสดงความรับผิดชอบ เรื่องที่ว่ายัยนั่นเลิกกับแฟนเพราะผม ได้ยินแล้วก็แอบช็อกนิดหน่อย ผมไม่เคยคิดแย่งของใคร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความผูกพันแต่เป็นเพียงความลุ่มหลงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เหมือนเวลาไปเที่ยวผับแล้วเจอที่ถูกใจก็หิ้วกลับมากินกันต่อที่โรงแรม ไม่มีอะไรนอกจากการหาความสุขทางกาย
“พรุ่งนี้ให้ยัยนั่นย้ายออก”
“แล้วมึงจะให้เค้าไปอยู่ที่ไหน”
“อย่าโง่น่า มึงเชื่อจริงๆ เหรอว่าอย่างยัยนั่นจะหมดทางไปจริงๆ”
“เฮ้ยเรซ!” คอเสื้อผมถูกกระชากอย่างแรง แฮคดึงผมเข้าใกล้ แววตามันเหมือนมีเปลวไฟลูกย่อมๆ อยู่ข้างใน
“....” จำเป็นต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอวะ
ผมไม่ยอมให้ไอ้แฮคมันได้ใจไปมากกว่านี้ ออกแรงผลักมันกลับไป จนตัวมันถอยไปชนกับพนักพิงด้านข้างของโซฟา จ้องผมกลับมาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“คุมสติหน่อย หรือมึงโดนล้างสมองมา” ผมบอก
“สมองกูไม่ได้มีปัญหา แต่นิสัยเหี้ยๆ ของมึงที่ทำกูเดือด กูไม่เคยยุ่งเรื่องมึงกับผู้หญิงคนไหนเลยเรซ กูรู้ว่ามึงฉลาดคบผู้หญิง ไม่ได้เอาใครมั่วๆ เหมือนกู แต่กูประเมินมึงสูงไป ขนาดหื่นๆ อย่างกูยังรู้เลยว่าเทียนคือผู้หญิงที่ไม่ควรจะไปยุ่งด้วยสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเทียนเป็นเพื่อนคะนิ้ง มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ยห๊ะ!”
ผมมองสบตาแฮคนิ่ง ไม่บ่อยนักที่จะเห็นมันพูดจาจริงจังแบบนี้ ผมเข้าใจเรื่องที่มันบอกแจ่มแจ้งเลยล่ะ และเหมือนว่าผมจะสร้างปัญหาให้กับทีมอย่างไม่รู้ตัวเข้าซะแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ผมรู้สึกเดือดนิดหน่อยที่เอายัยนั่นไม่อยู่ ผู้หญิงหลายคนที่ผมควงล้วนอยู่ในโอวาททั้งสิ้น ผมไม่ชอบความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ พวกเธอก็ยินดีทิ้งระยะห่าง มีบ้างบางคนที่เอาแต่ใจ งอแงเรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่ แต่ก็ไม่เคยล้ำเกินเส้นที่ผมขีดเอาไว้
แน่นอนไม่มีผู้หญิงคนไหนเก็บเสื้อผ้ามาอยู่กับผมแบบที่เทียนทำ
ผมคิดแค่ว่า มันชักจะมากเกินไป ยัยนั่นทำเกินไปสำหรับการนอนกับผมแค่ไม่กี่ครั้ง
“คะนิ้งยังไม่รู้เรื่อง แปลว่าริกกี้ก็ยังไม่ระแคะระคายเรื่องนี้เหมือนกัน กูจะถามมึงอีกครั้ง จะเอายังไงกับเทียน”
“พรุ่งนี้กูจะให้ยัยนั่นออกไป”
“….”
กลางดึกคืนนั้น
รถจำนวนห้าคันจอดเรียงอยู่หน้าเซฟเฮาส์ สมาชิกหลักของ RED SUN นั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟายาวสามคนมีเฮียหมู ริกกี้ แล้วก็ฮาน ส่วนผมกอดอกยืนพิงผนังฝั่งเดียวกับทีวี ในขณะที่ไอ้ชั่วแฮคนั่งอยู่บนเบาะหนังที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และตอนนี้มันก็กำลังเลื่อนล้อเก้าอี้ไปมา ล้อหมุนบดคลึงกับพื้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญไม่หยุด
และผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้ทุกคนมารวมตัวกันอย่างกะทันหันนั่งก้มหน้ากุมมือบนตักอยู่บนเบาะหนังข้างๆ ไอ้แฮค ราวกับว่ามันเป็นหลุมหลบภัยที่กำลังใช้ซ่อนตัวยังไงยังงั้น
เห็นแล้วชวนหงุดหงิดฉิบหาย แต่เรื่องมาไกลถึงขนาดนี้แล้วผมจะโวยวายอะไรได้ นอกจากก่นด่าไอ้แฮคในใจ หลังคุยกับผมเสร็จ ก็นึกว่ามันจะจบ ที่ไหนได้ดันส่งไลน์บอกทุกคนว่า
‘เทียนอยากมาเป็นแม่บ้านที่เซฟเฮาส์ กูต้องการเจอพวกมึงทุกคนที่นี่ตอนสี่ทุ่ม’
ในไลน์กลุ่มมีแต่คนอ่าน แต่ไม่มีใครพิมพ์ตอบเลยสักคน ผมรู้ว่าพวกมันสงสัยและคงอยากรู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้บึ่งรถมาถึงที่นี่ตามเวลานัดอย่างพร้อมเพรียงกันขนาดนี้
ทุกคนรู้จักเทียนเพราะเคยไปหัวหินด้วยกัน ส่วนฮานเจอกับเทียนจะๆ ที่ภูเก็ต เพราะงั้นจึงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรกันอีก
“ตกลงว่าจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่บ้านเหรอน้องเทียน” เฮียหมูเปิดประเด็นหลังจากไอ้แฮคเล่าคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับยัยนั่น มันไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด แถมยังบอกอีกว่ามันเป็นคนพาเทียนมาที่นี่เอง เลยไม่มีใครระแคะระคายเรื่องของผมกับยัยนั่น
ส่วนยัยนั่นก็เข้ากับไอ้แฮคได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย รู้เห็นเป็นใจกับมันทุกอย่าง มันพูดอะไรมาก็เออออด้วยหมด ทำเหมือนผมไม่อยู่ในสายตา
“ใช่เฮีย ผมจนปัญญาแล้วจริงๆ ชวนไปอยู่ด้วยที่คอนโดก็ไม่ยอม” แฮคพูดทีเล่นทีจริงแต่กลับทำให้หัวคิ้วเฮียกระตุก
“เฮ้ยอย่าเลย ถ้าจะอยู่กับแฮคไปกับเฮียดีกว่า ห้องกว้างขวาง เป็นสัดเป็นส่วน สะดวกสบายรับรองน้องเทียนจะติดใจจนไม่อยากจากไปไหนเลย” เฮียโม้สรรพคุณที่พักตัวเองพลางขยิบตาส่งให้ยัยนั่นอย่างมีเลศนัย
กลายเป็นศึกยื้อแย่งตัวยัยนั่นระหว่างเฮียกับไอ้แฮคขึ้นมากะทันหัน
“เลิกเล่นกันได้มั้ย” ริกกี้หมดความอดทน พูดสวนขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย มันส่งสายตาเขียวขุ่นให้เฮียกับแฮคคนละทีก่อนเล็งสายตาคมกริบไปที่เทียน
“เราไม่ต้องการแม่บ้านประจำ ที่นี่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว”
“จริง” ผมสำทับเสียงนิ่ง
เทียนตวัดสายตาเขียวปัดมาทางผมคล้ายจะด่าว่าให้อยู่เงียบๆ ก่อนพูดกับริกกี้ด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร
“ขอร้องล่ะริกกี้เห็นใจฉันเถอะนะ ฉัน... เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วเงินที่มีก็ไม่พอจะไปเช่าห้องใหม่ด้วย ฉันทำงานบ้านเก่ง ทำอาหารอร่อยด้วย ถ้าทุกคนให้ฉันอยู่ที่นี่ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงานและไม่สร้างปัญหาให้เด็ดขาด นะ... ขอร้องล่ะ ฉันไหว้ก็ได้หรือจะให้กราบก็ยินดี”
“เฮ้ยๆ เทียน” แฮคกับเฮียหมูรีบถลาเข้าไปรั้งยัยนั่นที่ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้วประนมมือกราบทุกคนจริงๆ
“ขอร้องล่ะ ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ” นัยน์ตากลมสวยแดงรื้น ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกกัดเม้มแน่น
ริกกี้ไม่รู้จะทำยังไง มันลำบากใจเพราะอีกฝ่ายคือเพื่อนเมีย จะเล่นบทโหดด้วยก็คงกลัวเมียด่า เลยส่งสายตาไปที่ฮาน ที่นั่งเงียบมาตลอด
“เอาสิ ป้าเตยเองก็แก่แล้ว ต้องเดินทางมาดูแลความสะอาดที่นี่ทุกอาทิตย์ก็ลำบาก มีคนมาแบ่งเบางานป้าคงสบายขึ้น”
ฮานพูดอย่างมีเหตุผล ป้าเตยคือแม่บ้านที่คอยดูแลที่นี่ รู้สึกอายุน่าจะเลยห้าสิบไปแล้ว
“งั้นก็แสดงว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ยฮาน” ดวงตาของเทียนทอประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที
“ลงคะแนนเสียงกัน” ฮานหันมาพูดกับพวกผมโดยไม่ได้สนใจเทียน ยัยนั่นสลดวูบเมื่อรู้ว่ายังไม่ได้ข้อสรุป เธอคงคิดว่าฮานจะเข้าข้างเธอล่ะสิ เสียใจด้วย หมอนั่นไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
“ใครให้เทียนอยู่ที่นี่ยกมือ”
เฮียหมูกับไอ้แฮคยกพรึบ แววตากระตือรือร้นสุดๆ หนำซ้ำยังส่งสายตามาเร่งเร้าผมกับริกกี้ให้ช่วยกันยกอีก
“สองเสียง... งั้นใครไม่เห็นด้วยยกมือ”
ฮานสรุปพร้อมกับตั้งคำถามใหม่ ผมยกมือโดยไม่ต้องคิด หากแต่... กลับเป็นผมคนเดียวที่ยก
เฮ้ยอะไรวะ ผมมองริกกี้กับฮานด้วยสายตาข้องใจปนสับสน ทำไมมันสองคนถึงไม่ยก
“กูงดออกเสียง” ริกกี้พูดสั้นๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สายตาของผมจับจ้องไปที่ฮานทันที
“กูเป็นกรรมการ ไม่มีส่วนร่วมในเกมของพวกมึง การตัดสินนี้ถือว่าสิ้นสุด”
“งั้นก็แปลว่า...” เทียนเบิกตากว้าง ใบหน้าพลันสดใสขึ้นมาทันตา หันไปส่งยิ้มปลื้มปริ่มให้ไอ้แฮคราวกับว่าเพิ่งผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาด้วยกัน
“สำเร็จแล้วนะเทียน ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
“เฮียโคตรจะตื่นเต้น เฮ้ยเรซมาแลกเวรกับเฮียมั้ย เดี๋ยวเฮียอยู่เฝ้าให้เอง”
ผมกำลังจะประท้วงแต่แฮคกับเฮียดีใจจนออกนอกหน้าไม่มีจังหวะให้ผมได้พูดแทรกเลยสักนิด แล้วพอได้โอกาสพูดกลับถูกคำถามของเฮียหมูเบี่ยงเบนความสนใจโดยไม่รู้ตัว ผมทำหน้าตึงใส่เฮีย ปฏิเสธน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่ได้!”